Christian Siam

 

 

 

 

Christian Siam - เว็บสำหรับคนอยากรู้จักพระเจ้า

 
 :: สำหรับผู้สนใจพระเจ้า ::
Christian Siam คำถาม - คำตอบ
Christian Siam พระเยซูคือใคร
Christian Siam พระเยซูเกิดจริงหรือ?
Christian Siam เราเกิดมาทำไม
Christian Siam เราตายแล้วไปไหน
Christian Siam ทฤษฎีวิวัฒนาการ...จริง?
Christian Siam เป็นคริสเตียนได้อย่างไร
Christian Siam คำพยานชีวิต

Christian Siam
H O M E
:: สำหรับคริสเตียนใหม่ ::
:: สื่อคริสเตียนออนไลน์ ::
Christian Siam มานาประจำวัน
Christian Siam เพลงจาก Youtube
 

                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN

         CHRISTIAN SIAM.COM
         CHRISTIAN SIAM.COM
         CHRISTIAN SIAM.COM

                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN



๑พงศ์กษัตริย์

1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |

16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22

1พงศ์กษัตริย์ 1
1 กษัตริย์ดาวิดมีพระชนมายุและทรงพระชรามากแล้ว แม้เขาจะห่มผ้าให้พระองค์มากก็ยังไม่อบอุ่น
2 เพราะฉะนั้นบรรดาข้าราชการของพระองค์จึงกราบทูลว่า "ขอเสาะหาหญิงพรหมจารีมาถวายพระราชาเจ้านายของ ข้าพระบาท และขอให้เธออยู่งานเฉพาะฝ่าพระบาท และดูแลฝ่าพระบาท ให้เธอนอนในพระทรวงของฝ่าพระบาท เพื่อพระราชาเจ้านายของข้าพระบาทจะได้ทรงอบอุ่น"
3 เขาจึงได้แสวงหานางสาวที่สวยงามตลอดดินแดนอิสราเอล ได้พบนางสาวอาบีชากหญิงชาวชูเนม จึงได้นำเธอมาเฝ้าพระราชา
4 หญิงสาวคนนั้นงามยิ่งนัก เธอได้ดูแลพระราชาและอยู่ปรนนิบัติพระองค์ แต่พระราชาหาทรงร่วมกับเธอไม่
5 ฝ่ายอาโดนียาห์ โอรสของพระนางฮักกีทได้ยกตัวเองขึ้นกล่าวว่า "เราเองจะเป็นพระราชา" และท่านได้เตรียมรถรบและพลม้า กับพลวิ่งนำหน้าห้าสิบคนไว้เพื่อตนเอง
6 พระราชบิดาของท่านก็ไม่เคยขัดใจท่านด้วยถามว่า "ทำไมเจ้ากระทำเช่นนี้เช่นนั้น" ท่านเป็นชายงามด้วย ท่านเกิดมาถัดอับซาโลม
7 ท่านได้ปรึกษากับโยอาบบุตรนางเศรุยาห์ และกับอาบียาธาร์ปุโรหิต เขาทั้งสองก็ติดตามและช่วยเหลืออาโดนียาห์
8 แต่ศาโดกปุโรหิต และเบไนยาห์บุตรเยโฮยาดา และนาธันผู้เผยพระวจนะกับชิเมอี และเรอี และพวกทแกล้วทหารของดาวิดมิได้อยู่ฝ่ายอาโดนียาห์
9 อาโดนียาห์ได้ถวายแกะ วัว และสัตว์อ้วนพีเป็นเครื่องบูชา ณ โศเฮเลท ซึ่งอยู่ข้างๆเอนโรเกล และท่านได้เชิญพี่น้องทั้งสิ้นของท่าน คือราชโอรสของพระราชา และประชาชนทั้งสิ้นแห่งยูดาห์ ที่เป็นข้าราชการของพระราชา
10 แต่ท่านมิได้เชิญนาธันผู้เผยพระวจนะ หรือเบไนยาห์หรือพวกทแกล้วทหาร หรือซาโลมอนอนุชาของท่าน
11 แล้วนาธันก็ทูลพระนางบัทเชบาพระชนนีของซาโลมอน ว่า "ฝ่าพระบาทไม่ทรงทราบหรือว่า อาโดนียาห์โอรสของพระนางฮักกีทได้ทรงราชย์แล้ว และดาวิดเจ้านายของข้าพระบาทก็มิได้ทรงทราบเรื่อง
12 เพราะฉะนั้นขอข้าพระบาทถวายคำปรึกษา เพื่อฝ่าพระบาทจะได้ทรงช่วยชีวิตของฝ่าพระบาท และชีวิตของซาโลมอนโอรสของฝ่าพระบาทไว้
13 ขอเสด็จเข้าเฝ้าพระราชาดาวิดทันที และกราบทูลพระองค์ว่า 'พระราชาเจ้านายของหม่อมฉัน ฝ่าพระบาทได้ทรงปฏิญาณกับสาวใช้ของฝ่า พระบาทไว้มิใช่หรือว่า "ซาโลมอนบุตรของเจ้าจะครองสมบัติต่อจากเรา และจะนั่งบนบัลลังก์ของเรา มิใช่หรือ" ไฉน อาโดนียาห์จึงทรงครองเล่าเพคะ'
14 ดูเถิด ขณะที่ฝ่าพระบาทกราบทูลพระราชาอยู่ ข้าพระบาทจะตามเข้าไปเฝ้า และสนับสนุนพระเสาวนีย์ของฝ่าพระบาท"
15 แล้วพระนางบัทเชบา ก็เข้าไปเฝ้าพระราชาที่ห้องบรรทม (พระราชาทรงพระชรามาก และอาบีชากชาวชูเนมก็กำลังอยู่ปรนนิบัติพระราชา)
16 เมื่อพระนางบัทเชบากราบถวายบังคมแล้ว พระราชาก็ตรัสถามว่า "เจ้าประสงค์สิ่งใด"
17 พระนางทูลพระองค์ว่า "ข้าแต่เจ้านายของข้าพระบาท ฝ่าพระบาทได้ทรงปฏิญาณในพระนามของพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของฝ่าพระบาทต่อสาวใช้ของฝ่าพระบาทว่า 'ซาโลมอนบุตรของเจ้าจะครองสมบัติต่อจากเราแน่นอน และเขาจะนั่งบนบัลลังก์ของเรา'
18 ดูเถิด บัดนี้อาโดนียาห์ทรงราชย์แล้ว แม้ว่าพระองค์คือพระราชาเจ้านายของหม่อมฉัน ก็หาทรงทราบไม่
19 เธอได้ถวายวัวสัตว์อ้วนพีและแกะเป็นอันมาก และได้เชิญบรรดาโอรสของพระราชากับอาบียาธาร์ปุโรหิต กับโยอาบผู้บัญชาการกองทัพ แต่ซาโลมอนผู้รับใช้ของพระองค์ เธอหาได้เชิญไม่
20 ข้าแต่พระราชาเจ้านายของหม่อมฉัน บัดนี้อิสราเอลทั้งสิ้นก็เพ่งดูฝ่าพระบาท เพื่อฝ่าพระบาทจะตรัสแก่เขาว่า จะทรงให้ผู้ใดนั่งบนบัลลังก์ของ พระราชาเจ้านายของหม่อมฉันแทนฝ่าพระบาท
21 มิฉะนั้นจะเป็นดังนี้ คือเมื่อพระราชาเจ้านายของหม่อมฉันล่วงลับไปอยู่กับ บรรพบุรุษของพระองค์แล้ว หม่อมฉันและซาโลมอนบุตรของหม่อมฉันก็จะตกเป็นฝ่ายผิด"
22 ขณะเมื่อพระนางกำลังกราบทูลพระราชาอยู่ นาธันผู้เผยพระวจนะก็เข้ามา
23 เขาทั้งหลายจึงกราบทูลพระราชาว่า "ดูเถิด นาธันผู้เผยพระวจนะ" เมื่อนาธันเข้ามาต่อพระพักตร์พระราชา เขาก็ซบหน้าลงถึงพื้นถวายคำนับพระราชา
24 และนาธันกราบทูลว่า "ข้าแต่พระราชาเจ้านายของข้าพระบาท ฝ่าพระบาทรับสั่งไว้หรือว่า 'อาโดนียาห์จะครองต่อจากเรา และจะนั่งบนบัลลังก์ของเรา'
25 เพราะวันนี้เธอได้ลงไปถวายวัว สัตว์อ้วนพีและแกะเป็นอันมาก และได้เชื้อเชิญบรรดาโอรสของพระราชา ทั้งผู้บัญชาการกองทัพและอาบียาธาร์ปุโรหิต และดูเถิด เขาทั้งหลายกำลังกินดื่มต่อหน้าเธอและกล่าวว่า 'ขอพระราชาอาโดนียาห์ทรงพระเจริญ'
26 แต่ส่วนข้าพระบาทผู้รับใช้ของฝ่าพระบาท และศาโดกปุโรหิตกับเบไนยาห์บุตรเยโฮยาดา และซาโลมอนผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทเธอหาได้เชิญไม่
27 เหตุการณ์ทั้งนี้บังเกิดขึ้นโดยพระราชาเจ้านาย ของข้าพระบาทหรือ และฝ่าพระบาทมิได้ตรัสบอกแก่ผู้รับใช้ของฝ่า พระบาทว่า จะทรงให้ผู้ใดนั่งบนบัลลังก์ของพระราชาเจ้านาย ของฝ่าพระบาท ต่อจากฝ่าพระบาท"
28 แล้วพระราชาดาวิดตรัสตอบว่า "จงเรียกบัทเชบาให้มาหาเรา" พระนางก็เสด็จเข้ามาเฝ้าต่อพระพักตร์พระราชา และประทับยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระราชา
29 แล้วพระราชาทรงปฏิญาณว่า "พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด คือพระองค์ผู้ทรงไถ่ชีวิตของเราจากบรรดาความทุกข์ยาก
30 เราได้ปฏิญาณต่อเจ้าในพระนามพระเยโฮวาห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลว่า 'ซาโลมอนบุตรของเจ้าจะครองสมบัติต่อจากเราแน่นอน และเธอจะนั่งบนบัลลังก์ของเราแทนเรา' เราก็จะกระทำอย่างนั้นวันนี้แหละ"
31 แล้วพระนางบัทเชบาก็ซบพระพักตร์ลงถึงดิน ถวายบังคมพระราชา และกราบทูลว่า "ขอพระราชาดาวิดเจ้านายของหม่อมฉันจงทรง พระเจริญเป็นนิตย์"
32 พระราชาดาวิดรับสั่งว่า "จงเรียกศาโดกปุโรหิต และนาธันผู้เผยพระวจนะ กับเบไนยาห์บุตรเยโฮยาดามาหาเรา" เขาทั้งหลายจึงเข้ามาเฝ้าพระราชา
33 และพระราชาตรัสสั่งเขาทั้งหลายว่า "จงพาข้าราชการของเจ้านายของเจ้า ไปจัดให้ซาโลมอนโอรสของเราขึ้นขี่ล่อของเรา และนำเขาลงไปที่น้ำพุกีโฮน
34 และให้ศาโดกปุโรหิต และนาธันผู้เผยพระวจนะเจิม ตั้งเขาไว้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล แล้วท่านทั้งหลายจงเป่าเขาสัตว์ และประกาศว่า 'ขอพระราชาซาโลมอนทรงพระเจริญ'
35 แล้วท่านทั้งหลายจงติดตามเขาขึ้นมา และเขาจะมานั่งบนบัลลังก์ของเรา เพราะว่าเขาจะได้เป็นกษัตริย์แทนเรา เราได้กำหนดตั้งเขาไว้ให้เป็นผู้ ครอบครองเหนืออิสราเอลและเหนือยูดาห์"
36 และเบไนยาห์บุตรเยโฮยาดาได้ กราบทูลตอบพระราชาว่า "อาเมน ขอพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งพระราชา เจ้านายของข้าพระบาท ตรัสดังนั้นเทอญ
37 พระเจ้าได้ทรงสถิตกับพระราชาเจ้านาย ของข้าพระบาทมาแล้วฉันใด ก็ขอทรงสถิตกับซาโลมอนฉันนั้น และขอทรงกระทำให้พระที่นั่งของพระองค์ใหญ่ยิ่งกว่า พระที่นั่งของพระราชาดาวิดเจ้านายของข้าพระบาท"
38 ดังนั้นศาโดกปุโรหิต นาธันผู้เผยพระวจนะ และเบไนยาห์บุตรเยโฮยาดาและคนเคเรธีกับ คนเปเลทได้ลงไปจัดให้ซาโลมอนประทับบนล่อพระที่นั่งของพระราชาดาวิด และได้นำท่านมาถึงน้ำพุกีโฮน
39 แล้วศาโดกปุโรหิตได้นำเขาสัตว์ที่บรรจุน้ำมันมาจากเต็นท์ของพระเจ้า และเจิมตั้งซาโลมอนไว้ และเขาทั้งหลายก็เป่าเขาสัตว์ และประชาชนทั้งปวงกล่าวว่า "ขอพระราชาซาโลมอน ทรงพระเจริญ"
40 และประชาชนทั้งปวงก็ตามเสด็จ ไปเป่าขลุ่ยและเปรมปรีดิ์ด้วยความชื่นบานยิ่งนัก แผ่นดินก็แยกด้วยเสียงของเขาทั้งหลาย
41 อาโดนียาห์และบรรดาแขกที่อยู่กับท่าน เมื่อรับประทานเสร็จแล้วก็ได้ยินเสียงนั้น และเมื่อโยอาบได้ยินเสียงเขาสัตว์ก็พูดว่า "เสียงอึกทึกครึกโครมนี้ที่ในกรุงหมายความว่ากระไร"
42 ขณะที่เขากำลังพูดอยู่ ดูเถิด โยนาธานบุตรอาบียาธาร์ปุโรหิตก็มาถึง และอาโดนียาห์ก็กล่าวว่า "เข้ามาเถิดเพราะเจ้าเป็นคนดีแท้ๆ นำข่าวดีมา"
43 โยนาธานกราบเรียนอาโดนียาห์ว่า "หามิได้ เพราะพระราชาดาวิดเจ้านายของเราทั้งปวงได้ทรง กระทำให้ซาโลมอนเป็นกษัตริย์
44 และพระราชาได้รับสั่งให้ศาโดกปุโรหิต นาธันผู้ เผยพระวจนะ และเบไนยาห์บุตรเยโฮยาดากับคนเคเรธีและคน เปเลทตามซาโลมอนไป และเขาทั้งหลายก็ได้จัดให้ซาโลมอนประทับบนล่อพระที่นั่งของพระราชา
45 และศาโดกปุโรหิต กับนาธันผู้เผยพระวจนะได้เจิมตั้งท่านไว้ให้เป็นกษัตริย์ ณ น้ำพุกีโฮน และเขาทั้งหลายก็ขึ้นมาจากที่นั่นด้วยความเปรมปรีดิ์ เพราะฉะนั้นในกรุงจึงอึกทึกครึกโครม นี่เป็นเสียงที่ท่านทั้งหลายได้ยิน
46 ซาโลมอนได้ทรงประทับบนพระราชบัลลังก์ด้วย
47 ยิ่งกว่านั้นอีก บรรดาข้าราชการของพระราชาก็เข้าไปถวายพระพร แด่พระราชาดาวิด เจ้านายของเราว่า 'ขอพระเจ้าของฝ่าพระบาททรงกระทำให้พระนาม ของซาโลมอนบันลือไป ยิ่งกว่าพระนามของฝ่าพระบาท และขอทรงกระทำให้บัลลังก์ของพระองค์ใหญ่ยิ่งกว่า บัลลังก์ของฝ่าพระบาท' แล้วพระราชาก็ทรงโน้มพระกายลงบนแท่นที่บรรทม
48 และพระราชาก็ตรัสด้วยว่า 'สาธุการแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอล ผู้ได้ทรงประทานให้มีคนหนึ่งนั่งบนบัลลังก์ของเราในวันนี้ ด้วยตาของเราเองได้เห็นแล้ว'"
49 แล้วบรรดาแขกทั้งปวงของอาโดนียาห์ก็กลัว และลุกขึ้นต่างคนต่างไปตามทางของตน
50 ฝ่ายอาโดนียาห์ก็กลัวซาโลมอน จึงลุกขึ้นไปจับเชิงงอนของแท่นบูชา
51 มีคนไปกราบทูลซาโลมอนว่า "ดูเถิด อาโดนียาห์กลัวพระราชาซาโลมอน เพราะนี่แน่ะเธอจับเชิงงอนที่แท่นบูชาอยู่กล่าวว่า 'ขอพระราชาซาโลมอนได้ปฏิญาณแก่ข้าพเจ้าก่อนว่า ท่านจะไม่ประหารผู้รับใช้ของท่านเสียด้วยดาบ'"
52 และซาโลมอนตรัสว่า "ถ้าแม้เขาสำแดงตัวได้ว่าเป็นคนดี ผมสักเส้นเดียวของเขาจะไม่ตกลงยังพื้นดิน แต่ถ้าพบความอธรรมอยู่ในตัวเขา เขาจะต้องถึงแก่ความตาย"
53 พระราชาซาโลมอนตรัสสั่งให้คนไปนำท่านลง มาจากแท่นบูชา และท่านก็มากราบลงต่อพระราชาซาโลมอนและ ซาโลมอนตรัสแก่ท่านว่า "จงกลับไปวังของท่านเถิด"

1พงศ์กษัตริย์ 2

1 เมื่อเวลาที่ดาวิดจะสิ้นพระชนม์ใกล้เข้ามา พระองค์ทรงกำชับซาโลมอนราชโอรสของพระองค์ว่า
2 "เรากำลังจะเป็นไปตามทางของโลกแล้ว จงเข้มแข็งและสำแดงตัวของเจ้าให้เป็นลูกผู้ชาย
3 และจงรักษาพระบัญชากำชับของพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของเจ้า คือดำเนินในบรรดาพระมรรคาของพระองค์ และรักษากฎเกณฑ์ของพระองค์ พระบัญญัติของพระองค์ กฎหมายของพระองค์ และพระโอวาทของพระองค์ ดังที่ได้จารึกไว้ในธรรมบัญญัติของโมเสส เพื่อเจ้าจะได้จำเริญในบรรดาการซึ่งเจ้าได้กระทำ และในที่ใดๆที่เจ้าไป
4 เพื่อพระเจ้าจะได้สถาปนาพระวจนะของพระองค์ ซึ่งพระองค์ตรัสเกี่ยวกับเราว่า 'ถ้าลูกหลานทั้งหลายของเจ้าระมัดระวังในวิถีทางทั้งหลาย ของเขา ที่จะดำเนินต่อหน้าเราด้วยความซื่อสัตย์อย่างสุดจิต สุดใจของเขา ราชวงศ์จะไม่ขาดชายที่จะนั่งบนบัลลังก์ของอิสราเอล'
5 ยิ่งกว่านั้นอีก เจ้าก็รู้อยู่แล้วว่า โยอาบบุตรนางเศรุยาห์ได้กระทำอะไรแก่เรา คือว่าเขาได้กระทำประการใดแก่ผู้บัญชา การทั้งสองแห่งกองทัพของอิสราเอล คือกระทำแก่อับเนอร์ บุตรเนอร์ และแก่อามาสา บุตรเยเธอร์ที่โยอาบได้ฆ่าเสีย แก้แค้นในยามสันติแทนโลหิตที่ตกในยามสงคราม และวางโลหิตที่ไม่มีความผิดลงบนเจียระบาดที่เอวของเรา และลงบนรองเท้าที่อยู่ใต้เท้าของเรา
6 เพราะฉะนั้นเจ้าจงกระทำให้เหมาะสมตามปัญญาของเจ้า อย่าปล่อยให้ศีรษะหงอกของเขาลงไปสู่แดนคนตายอย่างสันติ
7 แต่จงปฏิบัติด้วยความซื่อตรงต่อบุตรชายทั้งหลายของ บารซิลลัยคนกิเลอาด จงยอมให้เขาอยู่ในหมู่คนที่รับประทานอยู่ที่โต๊ะของเจ้า เพราะว่าเมื่อเราหนีจากอับซาโลมพี่ชายของเจ้านั้น เขาทั้งหลายได้มาพบกับเราด้วยความซื่อตรงดังนั้นแหละ
8 และมีชิเมอี บุตรเก-รา คนเบนยามินจากบ้านบาฮูริมอยู่กับเจ้าด้วย เขาเป็นผู้ด่าเราอย่างน่าสลดใจ ในวันที่เราเดินไปยังมาหะนาอิม แต่เขามาต้อนรับเราที่แม่น้ำจอร์แดน และเราจึงได้ปฏิญาณต่อเขาในพระนามพระเจ้าว่า 'เราจะไม่ประหารชีวิตเจ้าด้วยดาบ'
9 เพราะฉะนั้นเจ้าอย่าถือว่าเขาไม่มีความผิด เพราะเจ้าเป็นคนมีปัญญา เจ้าจะทราบว่าควรจะกระทำประการใดแก่เขา และเจ้าจงนำศีรษะหงอกของเขาลงไปสู่แดนคน ตายพร้อมกับโลหิต"
10 แล้วดาวิดก็บรรทมหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาก็ฝังพระศพไว้ในนครดาวิด
11 และเวลาที่ดาวิดทรงครอบครองอยู่เหนืออิสราเอลนั้น เป็นสี่สิบปี พระองค์ทรงครอบครองในเฮโบรนเจ็ดปี และในกรุงเยรูซาเล็มสามสิบสามปี
12 ดังนั้นแหละ ซาโลมอนจึงประทับบนพระที่นั่งของดาวิดราชบิดาของพระองค์ และราชอาณาจักรของพระองค์ก็ดำรงมั่นคงอยู่
13 แล้วอาโดนียาห์โอรสของพระนางฮักกีท ได้เข้าเฝ้าพระนางบัทเชบา พระชนนีของซาโลมอน พระนางมีพระเสาวนีย์ว่า "เจ้ามาอย่างสันติหรือ" ท่านทูลว่า "อย่างสันติขอรับกระหม่อม"
14 แล้วท่านทูลว่า "เกล้ากระหม่อมมีเรื่องที่จะทูลฝ่าพระบาท" พระนางมีพระเสาวนีย์ว่า "จงพูดไปเถิด"
15 ท่านจึงทูลว่า "ฝ่าพระบาททรงทราบแล้วว่า ราชอาณาจักรนั้นเป็นของกระหม่อม และว่าบรรดาชนอิสราเอลทั้งสิ้นก็หมายใจว่า กระหม่อมจะได้ครอบครอง อย่างไรก็ดี ราชอาณาจักรก็กลับกลายมาเป็นของพระอนุชาของกระหม่อม ด้วยราชอาณาจักรเป็นของเธอจากพระเจ้า
16 บัดนี้กระหม่อมทูลขอแต่ประการเดียว ขอฝ่าพระบาทอย่าได้ปฏิเสธเลย" พระนางมีพระเสาวนีย์ต่อเธอว่า "จงพูดไปเถิด"
17 และเธอทูลว่า "ขอฝ่าพระบาททูลพระราชาซาโลมอน ท่านคงไม่ปฏิเสธฝ่าพระบาท คือทูลขออาบีชากชาวชูเนมให้เป็นชายาของกระหม่อม"
18 พระนางบัทเชบามีพระเสาวนีย์ว่า "ดีแล้ว เราจะทูลพระราชาแทนเจ้า"
19 พระนางบัทเชบาจึงเข้าเฝ้าพระราชาซาโลมอน เพื่อทูลพระองค์ให้อาโดนียาห์ และพระราชาทรงลุกขึ้นต้อนรับพระนาง และทรงคำนับพระนาง แล้วก็เสด็จประทับบนพระที่นั่งของพระองค์ รับสั่งให้นำพระเก้าอี้มาถวายพระชนนี พระนางก็เสด็จประทับที่เบื้องขวาของพระองค์
20 แล้วพระนางทูลว่า "แม่จะขอจากเธอสักประการหนึ่ง ขออย่าปฏิเสธแม่เลย" และพระราชาทูลพระนางว่า "ขอมาเถิด ผมจะไม่ปฏิเสธเสด็จแม่"
21 พระนางทูลว่า "ขอยกอาบีชากชาวชูเนมให้กับอาโดนียาห์เชษฐา ของเธอให้เป็นชายาเถิด"
22 พระราชาซาโลมอนตรัสตอบพระชนนีของพระองค์ว่า "ไฉนเสด็จแม่จึงขออาบีชากชาวชูเนมให้แก่อาโดนียาห์เล่า น่าจะขอราชอาณาจักรให้เขาเสียด้วย เพราะเขาเป็นพระเชษฐาของผม และฝ่ายเขามีอาบียาธาร์ปุโรหิตและโยอาบบุตรนาง เศรุยาห์"
23 แล้วพระราชาซาโลมอนทรงปฏิญาณในพระนามของ พระเจ้าว่า "ถ้าถ้อยคำนี้ไม่เป็นเหตุให้อาโดนียาห์เสียชีวิตของเขาแล้ว ก็ขอพระเจ้าทรงลงโทษผม และยิ่งหนักกว่า
24 เพราะฉะนั้นพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใดพระองค์ ผู้ทรงสถาปนาผมไว้ และตั้งผมไว้บนบัลลังก์ของดาวิดราชบิดาของผม และทรงตั้งไว้เป็นราชวงศ์ ดังที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ อาโดนียาห์จะต้องตายในวันนี้ฉันนั้น"
25 ดังนั้นพระราชาซาโลมอนจึงรับสั่ง ใช้เบไนยาห์บุตรเยโฮยาดา เขาก็ไปประหารชีวิตอาโดนียาห์เสีย และท่านก็ตาย
26 ส่วนอาบียาธาร์ปุโรหิตนั้น พระราชารับสั่งว่า "จงไปอยู่ที่อานาโธท ไปสู่ไร่นาของเจ้าเพราะเจ้าควรที่จะตาย แต่ในเวลานี้เราจะไม่ประหารชีวิตเจ้า เพราะว่าเจ้าหามหีบของพระเยโฮวาห์ พระเจ้าไปข้างหน้าดาวิดราชบิดาของเรา และเพราะเจ้าได้เข้าส่วนในบรรดาความทุกข์ใจราชบิดาของเรา"
27 ซาโลมอนจึงทรงขับไล่อาบียาธาร์เสียจากหน้าที่ ปุโรหิตของพระเจ้า กระทำให้สำเร็จตามพระวจนะของพระเจ้าซึ่งพระองค์ตรัส เกี่ยวกับเชื้อสายของเอลีที่เมืองชีโลห์
28 เมื่อข่าวนี้ทราบไปถึงโยอาบ (เพราะแม้ว่าโยอาบมิได้สนับสนุนอับซาโลม ท่านได้สนับสนุนอาโดนียาห์) โยอาบก็หนีไปที่เต็นท์ของพระเจ้าและจับเชิงงอนแท่นบูชาไว้
29 เมื่อมีคนไปกราบทูลพระราชาซาโลมอนว่า "โยอาบได้หนีไปที่เต็นท์ของพระเจ้าและดูเถิด เขาอยู่ข้างแท่นบูชานั้น" ซาโลมอนรับสั่งเบไนยาห์บุตรเยโฮยาดาตรัสว่า "จงไป ประหารชีวิตเขาเสีย"
30 เบไนยาห์ก็มายังเต็นท์ของพระเจ้าพูดกับท่านว่า "พระราชามีรับสั่งว่า จงออกมาเถิด" ท่านตอบว่า "ไม่ออกไป ข้าจะตายที่นี่" แล้วเบไนยาห์ก็นำความไปกราบทูลพระราชาอีกว่า "โยอาบพูดอย่างนี้ และเขาตอบข้าพระบาทอย่างนี้"
31 พระราชาตรัสตอบเขาว่า "จงกระทำตามที่เขาบอก จงประหารเขาเสียและฝังเขาไว้ ทั้งนี้จะได้เอาโทษของความผิด ซึ่งโยอาบได้กระทำให้เขาตาย ด้วยไร้เหตุสมควรนั้นไปเสียจากเรา และจากเชื้อสายบิดาของเรา
32 พระเจ้าทรงนำการกระทำอันนองเลือดของเขา กลับมาตกบนศีรษะของเขาเอง เพราะว่าเขาได้โจมตีและฆ่าชายสองคนที่ชอบธรรม และดีกว่าตัวเขาด้วยดาบโดยที่ดาวิดราชบิดาของ เราหาทรงทราบไม่ คืออับเนอร์บุตรเนอร์ผู้บัญชาการกองทัพของอิสราเอล และอามาสาบุตรเยเธอร์ผู้บัญชาการกองทัพของยูดาห์
33 ดังนั้นที่เขาทั้งสองต้องตายนั้น โยอาบและพงศ์พันธุ์ของเขาต้องรับผิดชอบเป็นนิตย์ แต่ส่วนดาวิดและพงศ์พันธุ์ของพระองค์และราชวงศ์ ของพระองค์ และราชบัลลังก์ของพระองค์จะมีสวัสดิภาพจากพระเจ้าอยู่ เป็นนิตย์"
34 แล้วเบไนยาห์บุตรเยโฮยาดาก็ขึ้นไปประหารชีวิต เขาเสีย และฝังเขาไว้ในบ้านของเขาเองซึ่งอยู่ในถิ่นทุรกันดาร
35 พระราชาได้ทรงแต่งตั้งเบไนยาห์บุตรเยโฮยาดา เหนือกองทัพแทนโยอาบ และพระราชาก็ทรงแต่งตั้งศาโดกผู้เป็นปุโรหิตไว้ใน ตำแหน่งของอาบียาธาร์
36 แล้วพระราชาทรงใช้คนไปเรียกชิเมอีให้เข้ามาเฝ้า และตรัสกับเขาว่า "ท่านจงสร้างบ้านอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มและอาศัยอยู่ที่นั่น อย่าออกจากที่นั่นไปที่ไหนเลย
37 เพราะในวันที่ท่านออกไป และข้ามลำธารขิดโรนนั้น ท่านจงรู้เป็นแน่เถิดว่า ท่านจะต้องตาย ที่ท่านต้องตายนั้น ท่านเองก็รับผิดชอบ"
38 และชิเมอีทูลพระราชาว่า "ที่ฝ่าพระบาทตรัสนั้นก็ดีแล้ว ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทจะกระทำตามที่พระราชา เจ้านายของข้าพระบาทตรัสนั้น" ชิเมอีจึงได้อาศัยอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มเป็นเวลานาน
39 เมื่อล่วงไปสามปีก็เกิดเรื่อง ขึ้นคือทาสสองคนของชิเมอีได้หลบหนีไปยังอาคีช โอรสของมาอาคาห์กษัตริย์เมืองกัท และเมื่อเขามาบอกชิเมอีว่า "ดูเถิด ทาสของท่านอยู่ในเมืองกัท"
40 ชิเมอีก็ลุกขึ้นผูกอานขี่ลาไปเฝ้าอาคีชที่เมืองกัท เพื่อเสาะหาทาสของตน ชิเมอีได้ไปนำทาสของตนมาจากเมืองกัท
41 และเมื่อมีผู้กราบทูลซาโลมอนว่าชิเมอีได้ไปจาก กรุงเยรูซาเล็มถึงเมืองกัท และกลับมาแล้ว
42 พระราชาก็ทรงใช้ให้เรียกชิเมอีมาเฝ้าและตรัส กับเขาว่า "เราได้ให้ท่านสาบานในพระนามของพระเจ้ามิใช่หรือ และได้ตักเตือนท่านแล้วว่า 'ท่านจงรู้เป็นแน่ว่า ในวันที่ท่านออกไป ไม่ว่าไปที่ใดๆ ท่านจะต้องตาย' และท่านก็ได้ตอบเราว่า 'ที่ฝ่าพระบาทตรัสนั้นก็ดีแล้วข้าพระบาทจะเชื่อฟัง'
43 ทำไมท่านจึงไม่รักษาคำสาบานไว้ต่อพระเจ้า และรักษาคำบัญชาซึ่งเราได้กำชับท่านนั้น"
44 พระราชาตรัสกับชิเมอีว่า "ท่านเองรู้เรื่องเหตุร้ายทั้งสิ้น ซึ่งท่านได้กระทำต่อดาวิดราชบิดาของเรา เพราะฉะนั้นพระเจ้าจะทรงนำ เหตุร้ายมาสนองเหนือศีรษะของท่านเอง
45 แต่พระราชาซาโลมอนจะได้รับพระพร และพระที่นั่งของดาวิดจะตั้งมั่นคงต่อพระเจ้าอยู่เป็นนิตย์"
46 แล้วพระราชาทรงบัญชาเบไนยาห์บุตรเยโฮยาดา และเขาก็ออกไปประหารชีวิตชิเมอีเสีย ดังนั้นราชอาณาจักรก็ตั้งมั่นคงอยู่ในพระหัตถ์ของซาโลมอน

1พงศ์กษัตริย์ 3

1 ซาโลมอนได้ทรงกระทำให้เป็น ทองแผ่นเดียวกันกับฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ โดยได้ทรงรับราชธิดาของฟาโรห์ และทรงนำพระนางมาไว้ในนครของดาวิด จนพระองค์ทรงสร้างพระราชวังของพระองค์ และทรงสร้างพระนิเวศของพระเจ้า และกำแพงรอบกรุงเยรูซาเล็มสำเร็จ
2 อย่างไรก็ตาม ประชาชนได้ถวายสัตวบูชา ณ ปูชนียสถานสูง เพราะยังไม่ได้สร้างพระนิเวศเพื่อพระนามของพระเจ้า
3 ซาโลมอนทรงรักพระเจ้า ทรงดำเนินตามกฎเกณฑ์ของดาวิดราชบิดาของพระองค์ เว้นแต่พระองค์ทรงถวายสัตวบูชาและเผาเครื่องหอม ณ ปูชนียสถานสูง
4 และพระราชาเสด็จไปที่เมือง กิเบโอนเพื่อถวายเครื่องสัตวบูชาที่นั่น เพราะที่นั่นเป็นมหาปูชนียสถานสูง ซาโลมอนทรงถวายเครื่องเผาบูชาพันตัวบนแท่นบูชานั้น
5 พระเจ้าทรงปรากฏแก่ซาโลมอนที่เมืองกิเบโอน เป็นพระสุบินในกลางคืน และพระเจ้าตรัสว่า "เจ้าอยากให้เราให้อะไรเจ้าก็จงขอเถิด"
6 และซาโลมอนตรัสว่า "พระองค์ได้ทรงสำแดงความรักมั่นคง และยิ่งใหญ่แก่ดาวิดพระราชบิดาผู้รับใช้ของพระองค์ เพราะว่าเสด็จพ่อดำเนินต่อพระพักตร์พระองค์ ด้วยความสัตย์ซื่อและความชอบธรรม ด้วยจิตใจเที่ยงตรงต่อพระองค์ และพระองค์ทรงรักษาความรักมั่นคงและใหญ่ยิ่ง นี้ไว้เพื่อเสด็จพ่อ และได้ทรงประทานบุตรชายคนหนึ่งแก่เสด็จพ่อ ให้นั่งบนราชบัลลังก์ของท่านในวันนี้
7 ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพระองค์ ถึงแม้ว่าข้าพระองค์เป็นแต่เด็ก บัดนี้พระองค์ทรงกระทำให้ผู้รับใช้ของพระองค์เป็นกษัตริย์แทนดาวิดเสด็จพ่อของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ไม่ทราบว่าจะเข้านอกออกในอย่างไรถูก
8 และผู้รับใช้ของพระองค์ก็อยู่ท่ามกลางประชากร ของพระองค์ ผู้ซึ่งพระองค์ทรงเลือกไว้ เป็นชนชาติใหญ่ ซึ่งจะนับหรือคำนวณประชาชนก็ไม่ได้
9 เพราะฉะนั้นขอพระองค์ทรงประทานความคิดความ เข้าใจแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ เพื่อจะวินิจฉัยประชากรของพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะประจักษ์ในความผิดแผกระหว่างดีและชั่ว เพราะว่าผู้ใดเล่าจะสามารถวินิจฉัยประชากรใหญ่ของ พระองค์นี้ได้"
10 ที่ซาโลมอนทูลขอเช่นนี้ก็เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า
11 พระเจ้าจึงตรัสกับซาโลมอนว่า "เพราะเจ้าได้ขอสิ่งนี้และมิได้ขอชีวิตยืนยาว หรือความมั่งคั่งหรือชีวิตของบรรดาศัตรูของเจ้าเพื่อตัวเจ้าเอง แต่เจ้าขอความเข้าใจเพื่อตัวเจ้าเอง เพื่อให้ประจักษ์ว่าสิ่งใดถูกต้องและเป็นธรรม
12 ดูเถิด เราจะกระทำตามคำของเจ้า ดูเถิด เราให้จิตใจอันประกอบด้วยปัญญาและความเข้าใจ เพื่อว่าจะไม่มีใคร ที่เป็นอยู่ก่อนเจ้าเหมือนเจ้า และจะไม่มีใครที่ขึ้นมาภายหลังเจ้าเหมือนเจ้า
13 เราจะให้สิ่งที่เจ้าไม่ได้ขอแก่เจ้าด้วย ทั้งความมั่งคั่งและเกียรติยศ เพื่อว่าตลอดวันเวลาทั้งสิ้นของเจ้า จะไม่มีกษัตริย์องค์อื่นเปรียบเทียบกับเจ้าได้
14 และถ้าเจ้าจะดำเนินตามทางของเรา รักษากฎเกณฑ์ของเรา และบัญญัติของเรา ดังดาวิดบิดาของเจ้าได้ดำเนินนั้น เราก็จะให้วันเวลาของเจ้ายืนยาว"
15 และซาโลมอนก็ตื่นบรรทม และ ดูเถิด เป็นพระสุบิน แล้วพระองค์ก็เสด็จมาที่กรุงเยรูซาเล็ม และประทับยืนอยู่หน้าหีบพันธสัญญาของพระเจ้า และถวายเครื่องเผาบูชาและเครื่องศานติบูชา และพระราชทานเลี้ยงแก่บรรดาข้าราชการของพระองค์
16 แล้วหญิงแพศยาสองคนมาเฝ้าพระราชา และยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์
17 หญิงคนหนึ่งทูลว่า "ข้าแต่เจ้านายของข้าพระบาท ข้าพระบาทและผู้หญิงคนนี้อาศัยอยู่ในเรือนเดียวกัน และข้าพระบาทก็คลอดบุตรคนหนึ่ง ขณะที่นางนั้นอยู่ในเรือน
18 เมื่อข้าพระบาทคลอดบุตรได้สามวันแล้ว นางคนนี้ก็คลอดบุตรด้วย และข้าพระบาททั้งสองอยู่ด้วยกัน ไม่มีผู้ใดอยู่กับข้าพระบาททั้งสองในเรือนนั้น ข้าพระบาททั้งสองเท่านั้นอยู่ในเรือนนั้น
19 แล้วบุตรของหญิงคนนี้ก็ตายเสียในกลางคืน ด้วยเขานอนทับ
20 พอเที่ยงคืนนางก็ลุกขึ้น และเอาบุตรของข้าพระบาทไปเสียจากข้างข้าพระบาท ขณะที่สาวใช้ของฝ่าพระบาทหลับอยู่ และวางเขาไว้ในอกของเธอ และเธอเอาบุตรของเธอที่ตาย แล้วนั้นไว้ในอกของข้าพระบาท
21 เมื่อข้าพระบาทตื่นขึ้นในตอนเช้าเพื่อให้บุตรของข้าพระบาทกินนม ดูเถิด เขาตายเสียแล้ว แต่เมื่อข้าพระบาทพินิจดูในตอนเช้า ดูเถิด เด็กนั้นไม่ใช่บุตรที่ข้าพระบาทได้คลอดมา"
22 แต่หญิงอีกคนหนึ่งพูดว่า "ไม่ใช่ เด็กที่เป็นเป็นบุตรของฉัน เด็กที่ตายเป็นของเจ้า" หญิงคนที่หนึ่งพูดว่า "ไม่ใช่ เด็กที่ตายเป็นของเจ้า และเด็กที่เป็น เป็นของฉัน" เขาทั้งสองพูดกันดังนี้ต่อพระพักตร์พระราชา
23 แล้วพระราชาตรัสว่า "คนหนึ่งพูดว่า 'คนนี้เป็นบุตรของฉัน คือเด็กที่เป็นอยู่ และบุตรของเจ้าตายเสียแล้ว' และอีกคนหนึ่งพูดว่า 'ไม่ใช่ แต่บุตรของเจ้าตายเสียแล้ว และบุตรของฉันเป็นคนที่มีชีวิต'"
24 และพระราชาตรัสว่า "เอาดาบมาให้เราเล่มหนึ่ง" เขาจึงเอาพระแสงดาบมาไว้ต่อพระพักตร์พระราชา
25 และพระราชาตรัสว่า "จงแบ่งเด็กที่มีชีวิตนั้นออกเป็นสองท่อน และให้คนหนึ่งครึ่งหนึ่ง และอีกคนหนึ่งครึ่งหนึ่ง"
26 แล้วหญิงคนที่บุตรของตนยังมีชีวิตอยู่นั้นทูลพระราชา เพราะว่าจิตใจของเธออาลัยในบุตรของเธอ เธอว่า "ข้าแต่เจ้านายของข้าพระบาท ขอทรงมอบเด็กที่มีชีวิตนั้นให้เขาไป และถึงอย่างไรก็ดีอย่าทรงฆ่าเสีย" แต่หญิงอีกคนหนึ่งว่า "อย่าให้ฉันเป็นเจ้าของ หรือของฉัน ขอทรงแบ่งเถิดเพคะ"
27 แล้วพระราชาตรัสตอบเขาว่า "จงให้เด็กที่มีชีวิตนั้นแก่หญิงคนแรก อย่าฆ่าเสียเลย นางเป็นมารดาของเด็กนั้น"
28 อิสราเอลทั้งปวงทราบเรื่องการพิพากษา ซึ่งพระราชาประทานการพิพากษานั้น และเขาทั้งหลายก็เกรงกลัวพระราชา เพราะเขาทั้งหลายประจักษ์ว่า พระสติปัญญาของพระเจ้าอยู่ในพระองค์ ที่จะทรงวินิจฉัยให้ความยุติธรรม

1พงศ์กษัตริย์ 4
1 พระราชาซาโลมอนเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลทั้งสิ้น
2 และคนต่อไปนี้เป็นข้าราชการผู้ใหญ่ของพระองค์ คือ อาซาริยาห์บุตรศาโดกเป็นปุโรหิต
3 เอลีโฮเรฟและอาหิยาห์บุตรชิชา เป็นราชเลขา เยโฮชาฟัทบุตรอาหิลูด เป็นเจ้ากรมสารบรรณ
4 เบไนยาห์บุตรเยโฮยาดาเป็นผู้บัญชาการกองทัพ ศาโดกและอาบียาธาร์เป็นปุโรหิต
5 อาซาริยาห์บุตรนาธันเป็นหัวหน้าข้าหลวง ศบุดบุตรนาธันเป็นปุโรหิต และเป็นพระสหายของพระราชา
6 อาหิชาร์เป็นเจ้ากรมวัง และอาโดนีรัมบุตรอับดาเป็นผู้ควบคุมคนที่ทำงานโยธา
7 ซาโลมอนทรงมีข้าหลวงสิบสองคนอยู่เหนืออิสราเอลทั้งปวง เป็นผู้จัดหาเสบียงอาหารสำหรับพระราชา และสำหรับพระราชสำนัก ข้าหลวงคนหนึ่งจัดหาเสบียงอาหารสำหรับเดือนหนึ่งในหนึ่งปี
8 ต่อไปนี้เป็นชื่อของเขาคือ เบนเฮอร์ ประจำแดนเทือกเขาเอฟราอิม
9 เบนเดเคอร์ ประจำในมาคาสและในชาอัลบิม เบธเชเมช และเอโลนเบธฮานัน
10 เบนเฮเสด ประจำในอารุบโบท (โสโคห์และแผ่นดินเฮเฟอร์ขึ้นอยู่กับเขา)
11 เบนอาบีนาดับ ประจำในนาฟาทโดร์ทั้งหมด (เขามีทาฟัทธิดาของซาโลมอนเป็นชายา)
12 บาอานาบุตรอาหิลูดประจำในทาอานาค และเมกิดโดและเบธชานทั้งหมดซึ่งอยู่ข้าง ศาเรธานเชิงเมืองยิสเรเอล และตั้งแต่เบธชานถึงอาเบล-เมโฮลาห์ไป จนถึงทิศเหนือของโยกเมอัม
13 เบนเกเบอร์ ประจำในราโมทกิเลอาด (เขามีชนบททั้งหลายของยาอีร์บุตรมนัสเสห์ ซึ่งอยู่ในกิเลอาดและเขามีท้องถิ่นอารโกบ ซึ่งอยู่ในบาชาน หัวเมืองใหญ่หกสิบหัวเมืองซึ่งมีกำแพงเมือง และดาน ทองสัมฤทธิ์ขึ้นอยู่แก่เขา)
14 อาหินาดับบุตรอิดโด ประจำในมาหะนาอิม
15 อาหิมาอัส ประจำในนัฟทาลี (ท่านก็เหมือนกันได้บาเสมัทธิดาของซาโลมอนเป็นชายา)
16 บาอานาบุตรมุซัย ประจำในอาเชอร์ และเบอาโลท
17 เยโฮชาฟัทบุตรปารูอาห์ ประจำในอิสสาคาร์
18 ชิเมอีบุตรเอลา ประจำในเบนยามิน
19 เกเบอร์บุตรอุรี ประจำในแผ่นดินกิเลอาด แผ่นดินในสิโหนกษัตริย์ของคนอาโมไรต์ และของโอก กษัตริย์แห่งเมืองบาชาน มีข้าหลวงคนเดียวที่ประจำในแผ่นดินนั้น
20 คนยูดาห์และคนอิสราเอลนั้นมีจำนวน มากมายดังเม็ดทรายชายทะเล เขาทั้งหลายกินและดื่มและมีจิตใจเบิกบาน
21 และซาโลมอนทรงปกครองเหนือราชอาณาจักรทั้งสิ้น ตั้งแต่แม่น้ำยูเฟรติสไปจนถึงแผ่นดินฟีลิสเตีย และถึงพรมแดนอียิปต์ เขาทั้งหลายถวายส่วยอากร และปรนนิบัติซาโลมอนตลอด วันเวลาแห่งพระชนม์ชีพของพระองค์
22 เสบียงอาหารสำหรับซาโลมอนในวันหนึ่งนั้น คือยอดแป้งสามสิบโคเรและแป้งหกสิบโคเร
23 วัวอ้วนสิบตัว วัวจากทุ่งหญ้ายี่สิบตัว แกะหนึ่งร้อยตัว นอกจากนี้มีกวางตัวผู้ เนื้อสมัน อีเก้ง และไก่อ้วน
24 เพราะพระองค์ทรงครอบครองเหนือท้องถิ่น ทั้งสิ้นฟากตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส ตั้งแต่ทิฟสาห์ถึงกาซาและทรงครอบครองเหนือ บรรดากษัตริย์ที่อยู่ฟากตะวันตกของแม่น้ำนั้น และพระองค์ทรงมีสันติภาพอยู่ทุกด้านรอบพระองค์
25 ยูดาห์และอิสราเอลก็อยู่อย่างปลอดภัย ทุกคนก็นั่งอยู่ใต้ซุ้มองุ่น และใต้ต้นมะเดื่อของตน ตั้งแต่เมืองดานกระทั่งถึงเมืองเบเออร์เชบา ตลอดวันเวลาของซาโลมอน
26 ซาโลมอนยังมีคอกขังม้า เดี่ยวอีกสี่หมื่นสำหรับรถรบของพระองค์ และพลม้าหนึ่งหมื่นสองพันคน
27 และบรรดาข้าหลวงเหล่านั้นก็จัดเสบียงอาหารส่ง พระราชาซาโลมอน และเพื่อทุกคนที่มายังโต๊ะเสวยของพระราชาซาโลมอน ต่างก็ส่งของตามเดือนของตน เขาทั้งหลายไม่ให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดขาดไปเลย
28 ทั้งข้าวบารลีและฟางข้าวสำหรับม้าและม้าอาชาไนย เขานำมายังสถานที่ของมัน ตามที่ได้มีรับสั่งแก่ทุกคน
29 และพระเจ้าทรงประทานสติปัญญา และความเข้าใจแก่ซาโลมอนอย่างเหลือประมาณ ทั้งพระทัยอันกว้างขวางดุจทะเลทรายที่ชายทะเล
30 และสติปัญญาของซาโลมอนล้ำกว่าสติปัญญาทั้งสิ้นของ ชาวตะวันออกและกว่าบรรดาสติปัญญาของอียิปต์
31 เพราะพระองค์ทรงมีสติปัญญาฉลาดกว่าคนอื่นทุกคน ทรงฉลาดกว่าเอธานตระกูลเอสราห์ และเฮมาน คาลโคล์ และดารดา บรรดาบุตรของมาโฮลและพระนามของพระองค์ก็เลื่องลือ ไปในทุกประชาชาติที่อยู่ล้อมรอบ
32 พระองค์ตรัสสุภาษิตสามพันข้อด้วย และบทเพลงของพระองค์มีหนึ่งพันห้าบท
33 พระองค์ตรัสถึงต้นไม้ตั้งแต่ต้นสนสีดาร์ซึ่งอยู่ ในเลบานอน จนถึงต้นหุสบ ซึ่งงอกออกมาจากกำแพง พระองค์ตรัสถึงสัตว์ป่าด้วย ทั้งบรรดานกและสัตว์เลื้อยคลานและปลา
34 และคนมาจากชนชาติทั้งหลาย เพื่อฟังสติปัญญาของซาโลมอน และมาจากบรรดาพระราชาแห่งแผ่นดินโลก ผู้ได้ยินถึงสติปัญญาของพระองค์

1พงศ์กษัตริย์ 5
1 ฝ่ายฮีรามกษัตริย์เมืองไทระ ได้ส่งข้าราชการของท่านมาเฝ้าซาโลมอน เมื่อท่านได้ยินว่า เขาได้เจิมตั้งพระองค์ไว้แทนราชบิดาของพระองค์ เพราะฮีรามรักดาวิดอยู่เสมอ
2 และซาโลมอนได้ส่งพระดำรัสไปยังฮีรามว่า
3 "ท่านคงทราบอยู่แล้วว่าดาวิดราชบิดาของข้าพเจ้าสร้าง พระนิเวศสำหรับพระนามของพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของพระองค์ไม่ได้ เพราะการสงครามซึ่งศัตรูของพระองค์ล้อมรอบพระองค์อยู่ จนกว่าพระเจ้าจะทรงปราบเขาเสียให้อยู่ใต้ฝ่าพระบาท ของพระองค์
4 แต่บัดนี้พระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพเจ้าทรง ประทานให้ข้าพเจ้าได้หยุดพักรอบด้าน ปฏิปักษ์หรือเหตุร้ายก็ไม่มี
5 ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงประสงค์จะสร้างพระนิเวศสำหรับพระนาม ของพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของข้าพเจ้าดังที่พระเจ้าได้ตรัสไว้กับดาวิดราช บิดาของข้าพเจ้าว่า 'บุตรชายของเจ้า ผู้ซึ่งเราจะตั้งไว้บนบัลลังก์แทนเจ้าจะสร้างพระนิเวศ สำหรับนามของเรา'
6 เพราะฉะนั้นขอท่านสั่งให้ตัด ไม้สนสีดาร์แห่งเลบานอนเพื่อข้าพเจ้า และข้าราชการของข้าพเจ้า จะสมทบกับพวกข้าราชการของท่าน ข้าพเจ้าจะมอบเงินค่าจ้าง ข้าราชการของท่านแก่ท่านตามที่ท่านตั้งไว้ เพราะท่านคงทราบแล้วว่า ท่ามกลางเรานี้ไม่มีผู้ใดรู้จักตัดไม้เหมือนชาวซีโดน"
7 และอยู่มาเมื่อฮีรามได้ยินถ้อยคำของซาโลมอน ท่านก็ชื่นชมยินดียิ่งนักและว่า "สาธุการแด่พระเจ้าในวันนี้ ผู้ทรงประทานบุตรชายที่ฉลาดองค์หนึ่งแก่ดาวิด ให้อยู่เหนือชนชาติใหญ่นี้"
8 และฮีรามก็ใช้คนให้มายังซาโลมอนทูลว่า "ข้าพเจ้าได้ทราบข่าวซึ่งท่านส่งไปยังข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าพร้อมที่จะกระทำตามที่ท่านปรารถนาใน เรื่องไม้สนสีดาร์ และไม้สนสามใบ
9 ข้าราชการของข้าพเจ้าจะนำลงมาจาก เลบานอนถึงทะเล และข้าพเจ้าจะผูกแพล่องมาตามทะเลถึงที่ที่ ท่านจะกำหนดให้ และข้าพเจ้าจะให้แก้แพที่นั่น ขอท่านมารับเอา และขอท่านส่งเสบียงอาหารแก่สำนักวังของข้าพเจ้าก็แล้วกัน เป็นที่พอใจข้าพเจ้าแล้ว"
10 ฮีรามจึงได้จัดส่งไม้สนสีดาร์ และไม้สนสามใบให้แก่ซาโลมอน ตามที่พระองค์มีพระประสงค์
11 ฝ่ายซาโลมอนทรงประทาน ข้าวสาลีให้เป็นอาหารแก่สำนักวังของฮีรามสองหมื่นโคเร และน้ำมันบริสุทธิ์ยี่สิบโคเร ซาโลมอนทรงประทานแก่ฮีรามเป็นปีๆไปอย่างนี้แหละ
12 และพระเจ้าพระราชทานสติปัญญาแก่ซาโลมอน ดังที่พระองค์ทรงสัญญาไว้และมีสันติภาพระหว่างฮีราม และซาโลมอน และทั้งสองก็ทรงกระทำสนธิสัญญากัน
13 พระราชาซาโลมอนทรงเกณฑ์ แรงงานจากชนอิสราเอลทั้งปวง คนที่ถูกเกณฑ์แรงนับได้สามหมื่นคน
14 และพระองค์ทรงใช้เขาไปยังเลบานอน เวรละหนึ่งหมื่นคนต่อเดือน เขาจะอยู่ที่เลบานอนเดือนหนึ่งและอยู่บ้านสองเดือน และอาโดนีรัม เป็นผู้บังคับบัญชาพวกถูกเกณฑ์แรง
15 ซาโลมอนมีคนขนของหนักเจ็ดหมื่นคน และคนสกัดหินในถิ่นเทือกเขาแปดหมื่นคน
16 นอกจากนี้ข้าราชการผู้ใหญ่อีกสามพันสามร้อยคนของซาโลมอน เป็นผู้ดูแลการงาน และเป็นผู้ปกครองดูแลประชาชนผู้ดำเนินงาน
17 พระราชาทรงบัญชาและเขาทั้งหลายสกัดก้อนหิน ใหญ่มีค่าออกมา เพื่อวางรากฐานของพระนิเวศด้วยหินที่แต่งแล้ว
18 ดังนั้นพนักงานก่อสร้างของซาโลมอน และพนักงานก่อสร้างของฮีราม และชาวเกบาลก็แต่งและ เตรียมตัวไม้และหินเพื่อสร้างพระนิเวศ

1พงศ์กษัตริย์ 6

1 อยู่มาในปีที่สี่ร้อยแปดสิบ หลังจากที่ชนอิสราเอลออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ ในปีที่สี่แห่งการที่ซาโลมอนครอบครองอิสราเอล ในเดือนศิฟ ซึ่งเป็นเดือนที่สอง พระองค์ทรงเริ่มสร้างพระนิเวศของพระเจ้า
2 พระนิเวศซึ่งพระราชาซาโลมอนทรง สร้างสำหรับพระเจ้านั้นยาวหกสิบศอก กว้างยี่สิบศอกและสูงสามสิบศอก
3 มุขหน้าห้องโถงของพระนิเวศนั้นยาวยี่สิบศอก เท่ากับด้านกว้างของพระนิเวศ และลึกเข้าไปหน้าพระนิเวศสิบศอก
4 และพระองค์ทรงสร้างหน้าต่าง สำหรับพระนิเวศมีขอบสอบออกข้างนอก
5 พระองค์ทรงสร้างห้องติดผนังพระนิเวศ อยู่รอบผนังของพระนิเวศ ทั้งที่ห้องโถงและที่ห้องหลัง และพระองค์ทรงสร้างห้องระเบียงโดยรอบ
6 ห้องชั้นล่างที่สุดกว้างห้าศอก ชั้นกลางกว้างหกศอก และชั้นที่สามกว้างเจ็ดศอก เพราะรอบด้านนอกของพระนิเวศพระองค์ทรงสร้างหยัก บ่าไว้ที่ผนัง เพื่อว่าไม้รอดจะไม่ได้ทะลวงเข้าไปในผนังพระนิเวศ
7 เมื่อกำลังสร้าง พระนิเวศนั้นก็สร้างด้วยศิลา ซึ่งเตรียมมาจากบ่อศิลา เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้ยินเสียงค้อนหรือขวาน หรือเครื่องมือเหล็กใดๆ ในพระนิเวศ ขณะเมื่อทำการก่อสร้าง
8 ทางเข้าห้องชั้นล่างอยู่ทางด้านขวาของตัวพระนิเวศ และคนขึ้นไปยังห้องชั้นกลางทางบันไดเวียน และขึ้นจากห้องชั้นกลางไปห้องชั้นที่สาม
9 พระองค์ทรงสร้างพระนิเวศดังนี้และทรงให้สำเร็จ และพระองค์ทรงสร้างเพดานของพระนิเวศ มีไม้คร่าวและกระดานเป็นไม้สนสีดาร์
10 พระองค์ทรงสร้างห้องรอบพระนิเวศสูงห้าศอก และติดกับตัวพระนิเวศด้วยกระดานไม้สนสีดาร์
11 และพระวจนะของพระเจ้ามาถึงซาโลมอนว่า
12 "เกี่ยวด้วยพระนิเวศนี้ซึ่งเจ้าสร้างอยู่ ถ้าเจ้าดำเนินตามกฎเกณฑ์ของเรา และเชื่อฟังกฎหมายของเรา และรักษาบัญญัติของเราทั้งสิ้น และดำเนินตาม เราก็จะสถาปนาถ้อยคำของเรากับเจ้า ซึ่งเราพูดกับดาวิดบิดาของเจ้า
13 และเราจะอยู่ในหมู่ชนอิสราเอล และจะไม่ทอดทิ้งอิสราเอลชนชาติของเราเลย"
14 ซาโลมอนได้ทรงสร้างพระนิเวศและทรงให้สำเร็จ
15 พระองค์ทรงกรุผนังข้างในด้วยกระดานไม้สนสีดาร์ ตั้งแต่พื้นพระนิเวศจนถึงไม้เพดาน พระองค์ทรงกรุข้างในด้วยไม้ และพระองค์ทรงปูปิดพื้นพระนิเวศด้วยไม้สนสามใบ
16 พระองค์ทรงสร้างด้านหลังของพระนิเวศ ยี่สิบศอกด้วยกระดานไม้สนสีดาร์จากพื้นถึงไม้เพดาน และพระองค์ทรงสร้างห้องนี้ภายใน ให้เป็นห้องหลัง คืออภิสุทธิสถาน
17 ตัวพระนิเวศคือห้องโถงซึ่งอยู่ส่วนหน้า ห้องหลังนั้นยาวสี่สิบศอก
18 มีไม้สนสีดาร์ที่อยู่ข้างในพระนิเวศแกะเป็นรูปนางนูน และดอกไม้บานเป็นไม้สนสีดาร์ทั้งสิ้น ในที่นั่นแลไม่เห็นหินเลย
19 พระองค์ทรงจัดเตรียมห้องหลังไว้ข้างในพระนิเวศ เพื่อจะวางหีบพันธสัญญาของพระเจ้าไว้ที่นั่น
20 ห้องหลังนั้นยาวยี่สิบศอก กว้างยี่สิบศอก และสูงยี่สิบศอก และพระองค์ทรงบุด้วยทองคำบริสุทธิ์ พระองค์ทรงกรุแท่นบูชาด้วยไม้สนสีดาร์ด้วย
21 และซาโลมอนทรงบุข้างในพระนิเวศด้วย ทองคำบริสุทธิ์ และพระองค์ทรงลากโซ่ทองคำข้ามข้างหน้าห้องหลัง และบุด้วยทองคำ
22 และพระองค์ทรงบุพระนิเวศทั้งหลังด้วยทองคำ จนพระนิเวศนั้นสำเร็จทั้งสิ้น แท่นบูชาทั้งแท่นที่เป็นของห้องคลัง พระองค์ก็ทรงบุด้วยทองคำ
23 ในห้องหลังพระองค์ทรงสร้างเครูบ สองรูปด้วยไม้กระบกสูงรูปละสิบศอก
24 ปีกข้างหนึ่งของเครูบยาวห้าศอก ปีกอีกข้างหนึ่งของเครูบยาวห้าศอก จากปลายปีกข้างหนึ่งไปถึงปลายปีกอีกข้างหนึ่งยาวสิบศอก
25 เครูบอีกรูปหนึ่งก็วัดได้สิบศอกด้วย เครูบทั้งสองมีขนาดเท่ากัน และรูปอย่างเดียวกัน
26 ความสูงของเครูบรูปหนึ่งเป็นสิบศอก และเครูบอีกรูปหนึ่งก็เหมือนกัน
27 พระองค์ทรงวางเครูบไว้ในส่วนชั้นในที่สุดของพระนิเวศ ปีกของเครูบนั้นกางออกเพื่อให้ปีกหนึ่งจดผนังข้างหนึ่ง และปีกของเครูบอีกรูปหนึ่งจดผนังอีกข้างหนึ่ง ส่วนปีกข้างอื่นก็มาจดกันตรงกลางพระนิเวศ
28 และพระองค์ทรงบุเครูบด้วยทองคำ
29 พระองค์ทรงสลักผนังของพระนิเวศนั้นโดยรอบ ด้วยรูปแกะสลักเป็นรูปเครูบ และต้นอินทผลัมและดอกไม้บานทั้งข้างในและข้างนอก
30 พื้นของพระนิเวศนั้น พระองค์ทรงบุด้วยทองคำทั้งข้างในและข้างนอก
31 สำหรับทางเข้าสู่ห้องหลัง พระองค์ทรงสร้างประตูด้วยไม้กระบก กรอบประตูชิ้นบนและวงกบประตูรวมเข้าเป็นรูปห้าเหลี่ยม
32 พระองค์ทรงสร้างบานประตู ทั้งสองด้วยไม้กระบกแกะรูปเครูบ ต้นอินทผลัม และดอกไม้บาน ทรงบุด้วยทองคำ พระองค์ทรงแผ่ทองคำหุ้มเครูบและหุ้มต้นอินทผลัม
33 พระองค์ทรงสร้างวงกบประตูทาง เข้าห้องโถงด้วยไม้กระบกเป็นรูปสี่เหลี่ยมด้วย
34 และประตูสองบานด้วยไม้สนสามใบ บานสองบานของบานประตูหนึ่งหมุนได้ และบานอีกสองบานของบานประตูหนึ่งก็หมุนได้
35 พระองค์ทรงแกะเครูบต้นอินทผลัมและดอกไม้ บานบนบานประตูนั้น และพระองค์ทรงบุด้วยทองคำสม่ำเสมอกันบนงานแกะสลักนั้น
36 พระองค์ทรงสร้างลานภายในด้วยกำแพงหินสกัดสามชั้น และด้วยไม้สนสีดาร์ชั้นหนึ่ง
37 ในปีที่สี่ก็ได้วางรากพระนิเวศของพระเจ้า ในเดือนศิฟ
38 และในปีที่สิบเอ็ดในเดือนบูล ซึ่งเป็นเดือนที่แปด พระนิเวศนั้นก็สำเร็จหมดทุกๆส่วน และสำเร็จตามรายการทั้งสิ้นพระองค์ ทรงสร้างพระนิเวศนั้นเจ็ดปี

1พงศ์กษัตริย์ 7
1 ซาโลมอนทรงสร้างพระราชวังของพระองค์สิบสามปี และพระองค์ทรงให้พระราชวังของพระองค์สำเร็จทั้งสิ้น
2 พระองค์ทรงสร้างพระตำหนักพนาเลบานอน ยาวหนึ่งร้อยศอกและกว้างห้าสิบศอก และสูงสามสิบศอก อยู่บนเสาไม้สนสีดาร์สี่แถว มีคานไม้สนสีดาร์อยู่บนเสา
3 ชั้นบนมุงด้วยไม้สนสีดาร์ บนห้องซึ่งอยู่บนเสาสี่สิบห้าห้องแถวละสิบห้าห้อง
4 มีกรอบหน้าต่างสามแถบ หน้าต่างอยู่ตรงข้ามหน้าต่างทั้งสามแถว
5 ประตูและหน้าต่างทั้งหมดมีกรอบสี่เหลี่ยม และหน้าต่างก็อยู่ตรงข้ามหน้าต่างทั้งสามแถว
6 และพระองค์ทรงสร้างท้องพระโรงเสาหาน ยาวห้าสิบศอกและกว้างสามสิบศอก มีมุขด้านหน้ากอปรด้วยเสาหาน และมีหลังคาข้างหน้า
7 และพระองค์ทรงสร้างท้องพระโรงพระที่นั่ง เป็นที่ซึ่งพระองค์ทรงให้คำพิพากษา คือท้องพระโรงพินิศจัยก็ทำสำเร็จด้วยไม้สนสีดาร์ด้วย ตั้งแต่พื้นจนถึงไม้คร่าว
8 พระราชวังของพระองค์ ซึ่งพระองค์จะทรงประทับ อยู่ที่ลานอีกแห่งหนึ่งหลังท้องพระโรง ก็กระทำด้วยฝีมือช่างอย่างเดียวกัน ซาโลมอนได้ทรงสร้างวังเหมือนท้องพระโรง นี้สำหรับราชธิดาของฟาโรห์ ซึ่งพระองค์ทรงได้มาเป็นมเหสี
9 ทั้งสิ้นเหล่านี้สร้างด้วยหินอันมีค่าสกัดออกมาตามขนาด ใช้เลื่อยเลื่อยทั้งด้านหลังและด้านหน้าตั้งแต่ฐานถึงยอดผนัง และมีตั้งแต่ข้างนอกถึงลานใหญ่
10 ฐานนั้นทำด้วยหินมีค่า หินก้อนมหึมาหินขนาดแปดและสิบศอก
11 ข้างบนก็เป็นหินมีค่า สกัดออกมาตามขนาด และไม้สนสีดาร์
12 กำแพงลานใหญ่มีหินสกัดสามชั้นโดยรอบและไม้สน สีดาร์ชั้นหนึ่ง ลานชั้นในของพระนิเวศของพระเจ้า ก็มีเหมือนกันทั้งมุขพระนิเวศด้วย
13 พระราชาซาโลมอนทรงใช้คนให้นำ ฮีรามมาจากเมืองไทระ
14 ท่านเป็นบุตรชายของหญิงม่ายเผ่านัฟทาลี และบิดาของท่านเป็นชายชาวเมืองไทระ เป็นช่างทองสัมฤทธิ์ และท่านประกอบด้วยสติปัญญา ความเข้าใจ และฝีมือที่จะทำงานทุกอย่างด้วยทองสัมฤทธิ์ ท่านมาเฝ้าพระราชาซาโลมอนและทำงานทั้งสิ้นของพระองค์
15 ท่านได้ทำเสาหานทองสัมฤทธิ์สองเสา เสาหานต้นหนึ่งสูงสิบแปดศอก วัดขนาดเส้นรอบต้นที่สองได้สิบสองศอก
16 ท่านทำบัวคว่ำหัวเสาสองอันด้วยทองสัมฤทธิ์หล่อ เพื่อจะวางไว้บนยอดเสา บัวคว่ำหัวเสาอันหนึ่งสูงห้าศอก และความสูงของบัวคว่ำหัวเสาอีกอันหนึ่งก็ห้าศอก
17 แล้วมีตาข่ายเป็นตาหมากรุก ด้วยมาลัยโซ่สำหรับบัวคว่ำที่อยู่บนหัวเสา เจ็ดอันสำหรับบัวคว่ำอันหนึ่ง และเจ็ดอันสำหรับบัวคว่ำอีกอันหนึ่ง
18 ท่านทำลูกทับทิมทำนองเดียวกัน มีสองแถวล้อมทับตาข่ายผืนหนึ่ง เพื่อคลุมบัวคว่ำที่อยู่ยอดเสาหาน และท่านก็ทำเช่นเดียวกัน สำหรับบัวคว่ำอีกอันหนึ่ง
19 ฝ่ายบัวคว่ำซึ่งอยู่บนยอดเสาหานที่อยู่ ในมุขนั้นเป็นดอกพลับพลึง ขนาดสี่ศอก
20 บัวคว่ำอยู่บนเสาหานสองต้นนั้น และอยู่เหนือคิ้วซึ่งอยู่ถัดตาข่ายด้วย มีลูกทับทิมสองร้อยลูกอยู่ล้อมรอบเป็นสองแถว บัวคว่ำอีกอันหนึ่งก็มีเหมือนกัน
21 ท่านตั้งเสาไว้ที่มุขพระนิเวศ ท่านตั้งเสาข้างขวาไว้ และเรียกชื่อว่ายาคีน และท่านตั้งเสาข้างซ้ายไว้ เรียกชื่อว่าโบอัส
22 และบนยอดเสานั้นเป็นลายดอกบัว งานของเสาก็สำเร็จดังนี้แหละ
23 แล้วท่านได้หล่อขันสาครเป็นขันกลม วัดจากขอบหนึ่งไปถึงอีกขอบหนึ่งได้สิบศอก สูงห้าศอก และวัดโดยรอบได้สามสิบศอก
24 ใต้ขอบเป็นลูกนางนูนระยะสิบศอก อยู่รอบขันสาครนางนูนอยู่สองแถวหล่อ พร้อมกับเมื่อหล่อขันสาคร
25 ขันสาครนั้นวางอยู่บนวัวสิบสองตัว หันหน้าไปทิศเหนือสามตัวหันหน้าไปทิศตะวันตกสามตัว หันหน้าไปทิศใต้สามตัว หันหน้าไปทิศตะวันออกสามตัวเขาวางขันสาครอยู่บนวัว ส่วนหลังทั้งหมดของวัวอยู่ด้านใน
26 ขันสาครหนาหนึ่งคืบ ที่ขอบของขันทำเหมือนขอบ ถ้วยเหมือนอย่างดอกบัวบรรจุได้สองพันบัท
27 ท่านทำแท่นทองสัมฤทธิ์สิบอัน แท่นอันหนึ่งยาวสี่ศอก กว้างสี่ศอกสูงสามศอก
28 ท่านสร้างแท่นอย่างนี้ แท่นนี้มีแผง แผงนี้ฝังอยู่ในกรอบ
29 บนแผงที่ฝังอยู่ในกรอบนั้นมีรูปสิงห์ วัว และเครูบ ข้างบนกรอบที่อยู่เหนือ และใต้สิงห์และวัว มีลวดลายเป็นมาลัยฝีค้อน
30 ยิ่งกว่านั้นอีก แท่นหนึ่งๆมีล้อทองสัมฤทธิ์สี่ล้อ และมีเพลาทองสัมฤทธิ์ ที่มุมทั้งสี่มีที่หนุน ขันที่หนุนอันหนึ่งหล่อมีมาลัยห้อยข้างๆทุกข้าง
31 ช่องเปิดอยู่ในบัวหงาย ซึ่งยื่นขึ้นไปหนึ่งศอก ช่องเปิดนั้นกลมอย่างที่เขาทำเชิงรอง ลึกหนึ่งศอกคืบ ตรงช่องเปิดมีลายสลัก และแผงนั้นก็สี่เหลี่ยมไม่กลม
32 ล้อทั้งสี่อยู่ใต้แผง เพลาล้อนั้นเป็นชิ้นเดียวกับแท่นล้ออันหนึ่งสูงหนึ่งศอกคืบ
33 ล้อนั้นเขาทำเหมือนล้อรถรบ ทั้งเพลาขอบล้อ กำ และดุมก็หล่อ
34 แท่นหนึ่งๆมีที่หนุนอยู่ที่มุมทั้งสี่ ที่หนุนนี้หล่อเป็นชิ้นเดียวกับแท่น
35 ที่บนยอดแท่นมีแถบยอดสูงคืบหนึ่ง และบนยอดแท่นนั้นมีกรอบและแผงติดเป็นอันเดียวกับแท่น
36 ที่พื้นกรอบ และพื้นแผง ท่านสลักเป็นรูปเครูบ สิงห์ และต้นอินทผลัม ตามที่ว่างของแต่ละสิ่งมีลายมาลัยรอบ
37 ท่านได้ทำแท่นสิบแท่นตามอย่างนี้ หล่อเหมือนกันหมดทุกอัน ขนาดเดียวกัน และรูปเดียวกัน
38 ท่านทำขันทองสัมฤทธิ์สิบลูก ขันลูกหนึ่งจุสี่สิบบัท ขนาดขันลูกหนึ่งสี่ศอก มีขันแท่นละลูกทั้งสิบแท่น
39 ท่านวางแท่นขันนั้นไว้ ทางด้านขวาของพระนิเวศห้าแท่น และทางด้านซ้ายของพระนิเวศห้าแท่น และท่านวางขันสาครไว้ที่ด้านขวา พระนิเวศทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
40 ฮีรามได้ทำหม้อ ทัพพี และชามด้วย ดังนั้นฮีรามก็เสร็จงานทั้งสิ้น ซึ่งเขาต้องกระทำถวายพระราชาซาโลมอน สำหรับพระนิเวศของพระเจ้า
41 เสาหานสองต้น คิ้วทั้งสองของบัวคว่ำที่อยู่บนยอดเสาหานและตาข่ายสองผืน ซึ่งคลุมคิ้วทั้งสองของบัวคว่ำซึ่งอยู่บนยอดเสาหาน
42 และลูกทับทิมสี่ร้อยสำหรับตาข่ายสองผืน ตาข่ายผืนหนึ่งมีลูกทับทิมสองแถว เพื่อคลุมคิ้วทั้งสองของบัวคว่ำซึ่งอยู่บนเสาหาน
43 แท่นสิบแท่นและขันสิบลูกซึ่งอยู่บนแท่น
44 และขันสาครลูกหนึ่ง และวัวสิบสองตัวที่อยู่ใต้ขันสาคร
45 หม้อ ทัพพีและชาม ภาชนะทั้งสิ้นเหล่านี้ในพระนิเวศของพระเจ้า ซึ่งฮีรามได้ทำถวายพระราชาซาโลมอนเป็นของที่ทำ ด้วยทองสัมฤทธิ์ขัดมัน
46 พระราชาทรงหล่อสิ่งเหล่านี้ในลุ่มแม่น้ำจอร์แดน และในที่ดินโคลนระหว่างเมืองสุคคท และศาเรธาน
47 ซาโลมอนทรงหาได้ชั่งเครื่องใช้ทั้งหมดนี้ไม่ เพราะว่ามีมากด้วยกัน จึงมิได้หาน้ำหนักของทองสัมฤทธิ์
48 ซาโลมอนได้ทรงกระทำเครื่องใช้ ทั้งสิ้นซึ่งอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า คือแท่นบูชาทองคำ และทรงทำโต๊ะขนมปังหน้าพระพักตร์ด้วยทองคำ
49 เชิงประทีปทองคำบริสุทธิ์อยู่ทางด้านขวาห้าอัน อยู่ทางด้านซ้ายห้าอัน ข้างหน้าห้องหลัง ดอกไม้ ตะเกียง และคีม ทำด้วยทองคำ
50 ถ้วย ตะไกรตัดไส้ตะเกียง ชาม ช้อนและกระถางไฟ ทำด้วยทองคำ และเดือยสำหรับประตูของส่วนชั้นในพระนิเวศ คืออภิสุทธิสถานและสำหรับประตูห้องโถงของ พระวิหาร ก็ทำด้วยทองคำ
51 บรรดากิจการซึ่งพระราชาซาโลมอนกระทำ เกี่ยวด้วยพระนิเวศของพระเจ้าก็ได้สำเร็จดังนี้ และซาโลมอนทรงนำบรรดาสิ่งซึ่งดาวิดราชบิดา ทรงถวายไว้เข้ามา คือเครื่องเงิน เครื่องทองคำ และเครื่องใช้ต่างๆ และเก็บไว้ในคลังพระนิเวศของพระเจ้า

1พงศ์กษัตริย์ 8
1 แล้วซาโลมอนทรงประชุมพวกผู้ใหญ่ของอิสราเอล และหัวหน้าของเผ่า คือบรรดาประมุขของตระกูลคนอิสราเอล ต่อพระพักตร์พระราชาซาโลมอนในกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อจะนำหีบพันธสัญญาของพระเจ้าขึ้นมาจากนครดาวิด คือเมืองศิโยน
2 และผู้ชายทั้งสิ้นของอิสราเอลก็ประชุมต่อ พระพักตร์พระราชาซาโลมอน ณ การเลี้ยงในเดือนเอธานิม ซึ่งเป็นเดือนที่เจ็ด
3 พวกผู้ใหญ่ทั้งสิ้นของอิสราเอลมา และพวกปุโรหิตก็ยกหีบ
4 และเขาทั้งหลายนำหีบของพระเจ้า และเต็นท์นัดพบ และเครื่องใช้บริสุทธิ์ทั้งสิ้น ซึ่งอยู่ในเต็นท์ขึ้นมา ของเหล่านี้ บรรดาปุโรหิต และชนเลวีหามขึ้นมา
5 และพระราชาซาโลมอน และชุมนุมชนอิสราเอลทั้งสิ้นที่ได้ประชุมกันต่อพระองค์ อยู่กับพระองค์ต่อหน้าหีบได้ถวายแกะและวัวมากมาย ซึ่งเขาจะนับหรือเอาจำนวนก็ไม่ได้
6 แล้วปุโรหิตก็นำหีบพันธสัญญาของพระเจ้ามายังที่ของหีบ ที่อยู่ในห้องหลังของพระนิเวศ คือในอภิสุทธิสถาน ภายใต้ปีกเครูบ
7 เพราะว่าเครูบนั้นกางปีกออกเหนือที่ของหีบ เครูบจึงเป็นเครื่องคลุมเหนือหีบ และไม้คานของหีบ
8 คานหามของหีบนั้นยาวมาก จึงเห็นปลายคานหามได้จากวิสุทธิสถาน ซึ่งอยู่ข้างหน้าห้องหลัง แต่เขาจะเห็นจากข้างนอกไม่ได้ และคานหามก็ยังอยู่ที่นั่นจนทุกวันนี้
9 ไม่มีสิ่งใดในหีบนอกจากศิลาสองแผ่น ซึ่งโมเสสเก็บไว้ ณ โฮเรบ เมื่อพระเจ้าทรงกระทำพันธสัญญากับชนอิสราเอล เมื่อเขาทั้งหลายออกมาจากแผ่นดินอียิปต์
10 และอยู่มาเมื่อปุโรหิตออกมาจากวิสุทธิสถาน เมฆมาเต็มพระนิเวศของพระเจ้า
11 ปุโรหิตจึงยืนปรนนิบัติอยู่ไม่ได้ เพราะเมฆนั้น เพราะพระสิริของพระเจ้า เต็มพระนิเวศของพระเจ้า
12 แล้วซาโลมอนตรัสว่า "พระเจ้าได้ตรัสว่า พระองค์จะประทับในความมืดทึบ
13 ข้าพระองค์ได้สร้างพระนิเวศ อันเป็นที่ประทับสำหรับพระองค์ เป็นสถานที่เพื่อพระองค์จะทรงสถิตอยู่เป็นนิตย์"
14 แล้วพระราชาก็หันมาและทรงให้พรแก่ ชุมนุมชนอิสราเอลทั้งปวง ขณะที่ชุมนุมชนอิสราเอลทั้งปวงยืนอยู่
15 พระองค์ตรัสว่า "สาธุการแด่พระเยโฮวาห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้ทรงกระทำให้สำเร็จด้วยพระหัตถ์ของพระองค์ ตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ด้วยพระโอษฐ์ต่อดาวิดราชบิดาของข้าพเจ้าว่า
16 'ตั้งแต่วันที่เราได้นำอิสราเอลชนชาติ ของเราออกจากอียิปต์ เรามิได้เลือกเมืองหนึ่งเมืองใดในเผ่า อิสราเอลทั้งสิ้นเพื่อจะสร้างพระนิเวศ เพื่อนามของเราจะอยู่ที่นั่น แต่เราได้เลือกดาวิด ให้อยู่เหนืออิสราเอลชนชาติของเรา'
17 ดาวิดราชบิดาของข้าพเจ้าทรงตั้งพระทัยแล้ว ที่จะสร้างพระนิเวศ สำหรับพระนามแห่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอล
18 แต่พระเจ้าตรัสกับดาวิดราชบิดาของข้าพเจ้าว่า 'ที่เจ้าตั้งใจสร้างพระนิเวศสำหรับนามของเรานั้น เจ้าก็ทำดีอยู่แล้ว เพราะเรื่องความตั้งใจของเจ้า
19 อย่างไรก็ตาม เจ้าจะไม่สร้างพระนิเวศ แต่บุตรชายของเจ้าผู้ซึ่งจะเกิดแก่เจ้าจะสร้าง พระนิเวศเพื่อนามของเรา'
20 บัดนี้พระเจ้าทรงให้พระสัญญาของพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงกระทำนั้นสำเร็จ เพราะข้าพเจ้าได้ขึ้นมาแทนดาวิด ราชบิดาของข้าพเจ้า และนั่งอยู่บนบัลลังก์ของอิสราเอล ดังที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้และข้าพเจ้าได้สร้างพระนิเวศ สำหรับพระนามของพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล
21 ข้าพเจ้าได้กำหนดที่ไว้สำหรับหีบที่นั่นแล้ว ซึ่งพันธสัญญาของพระเจ้าอยู่ในนั้น ซึ่งพระองค์ได้ทรง กระทำไว้กับบรรพบุรุษของเรา เมื่อพระองค์ทรงนำเขาทั้งหลายออกมาจากแผ่นดินอียิปต์"
22 แล้วซาโลมอนประทับยืนหน้าแท่นบูชาของพระเจ้า ต่อหน้าชุมนุมชนอิสราเอลทั้งปวง และกางพระหัตถ์ของพระองค์ออกสู่ฟ้าสวรรค์
23 และทูลว่า "ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล ไม่มีพระเจ้าองค์ใดเหมือนพระองค์ ในฟ้าสวรรค์เบื้องบน หรือที่แผ่นดินเบื้องล่าง ผู้ทรงรักษาพันธสัญญา และทรงสำแดงความรักมั่นคงแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ ซึ่งดำเนินอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ด้วยสิ้นสุดใจของเขา
24 พระองค์ได้ทรงกระทำกับดาวิดบิดาของข้าพระองค์ ผู้รับใช้ของพระองค์ ตามบรรดาสิ่งซึ่งพระองค์ทรงสัญญาไว้แก่ท่าน พระองค์ตรัสด้วยพระโอษฐ์ของพระองค์ และพระองค์ได้ทรงกระทำให้สำเร็จในวันนี้ ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์
25 ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล เพราะฉะนั้นขอทรงธำรงอยู่กับผู้รับใช้ของพระองค์ คือดาวิดราชบิดาของข้าพระองค์ ตามซึ่งพระองค์ทรงสัญญาไว้กับท่านว่า 'ถ้าเพียงแต่ลูกหลานทั้งหลายของเจ้าระมัดระวังในทาง ดำเนินของเขาที่จะดำเนินไปต่อหน้าเรา อย่างที่เจ้าได้ดำเนินต่อหน้าเรานั้น เจ้าจะไม่ขาดชายผู้หนึ่งต่อหน้าเราที่จะนั่งบน บัลลังก์ของอิสราเอล'
26 เพราะฉะนั้น ข้าแต่พระเจ้าแห่งอิสราเอล ขอพระวจนะของพระองค์จงดำรงอยู่ ซึ่งพระองค์ได้ตรัสกับผู้รับใช้ของพระองค์ คือดาวิดบิดาของข้าพระองค์
27 "แต่พระเจ้าจะทรงประทับที่แผ่นดินโลกหรือ ดูเถิด ฟ้าสวรรค์และฟ้าสวรรค์อันสูงที่สุดยังรับพระองค์อยู่ไม่ได้ พระนิเวศซึ่งข้าพระองค์ได้สร้างขึ้น จะรับพระองค์ไม่ได้ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด
28 แต่ขอพระองค์สนพระทัยในคำอธิษฐาน ของผู้รับใช้ของพระองค์ และในคำวิงวอนนี้ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอทรงสดับเสียงร้องและคำอธิษฐานซึ่งผู้รับใช้ของพระองค์ อธิษฐานต่อพระองค์ในวันนี้
29 เพื่อว่าพระเนตรของพระองค์ จะทรงลืมอยู่เหนือพระนิเวศนี้ทั้งกลางคืนและกลางวัน คือสถานที่ซึ่งพระองค์ได้ตรัสว่า 'นามของเราจะอยู่ที่นั่น' เพื่อว่าพระองค์จะทรงสดับคำอธิษฐาน ซึ่งผู้รับใช้ของพระองค์จะได้อธิษฐานตรงต่อสถานที่นี้
30 และขอพระองค์ทรงสดับคำวิงวอนของผู้รับใช้ของ พระองค์ และของอิสราเอลชนชาติของพระองค์ เมื่อเขาอธิษฐานตรงต่อสถานที่นี้ ขอพระองค์ทรงสดับอยู่ในฟ้าสวรรค์ อันเป็นที่ประทับของพระองค์ และเมื่อพระองค์ทรงสดับแล้ว ก็ขอพระองค์ทรงประทานอภัย
31 "เมื่อชายคนใดกระทำบาปต่อเพื่อนบ้านของเขา และถูกบังคับให้ทำสัตย์สาบาน และเขามาให้คำสาบานต่อหน้าแท่นบูชาของพระองค์ ในพระนิเวศนี้
32 ขอพระองค์ทรงสดับในฟ้าสวรรค์ และขอทรงกระทำและทรงพิพากษาผู้รับใช้ทั้งหลายของพระองค์ กล่าวโทษผู้กระทำความผิด และทรงนำความประพฤติของเขาให้กลับตกบนศีรษะของตัวเขาเอง และขอทรงประกาศความบริสุทธิ์ของผู้ชอบธรรม สนองแก่เขาตามความชอบธรรมของเขา
33 "เมื่ออิสราเอลชนชาติของพระองค์พ่ายแพ้ต่อศัตรู เพราะเขาได้กระทำบาปต่อพระองค์ ถ้าเขาหันกลับมาหาพระองค์อีก และยอมรับพระนามของพระองค์ และอธิษฐานและกระทำการวิงวอนต่อพระองค์ในพระนิเวศนี้
34 ก็ขอพระองค์ทรงสดับในฟ้าสวรรค์ และประทานอภัยแก่บาปของอิสราเอลชนชาติของพระองค์ และขอทรงนำเขากลับมายังแผ่นดิน ซึ่งพระองค์ได้ทรงพระราชทานแก่บรรพบุรุษของเขาทั้งหลาย
35 "เมื่อฟ้าสวรรค์ปิดอยู่ และไม่มีฝน เพราะเขาทั้งหลายได้กระทำบาปต่อพระองค์ ถ้าเขาทั้งหลายได้อธิษฐานต่อสถานที่นี้ และยอมรับพระนามของพระองค์ และหันกลับเสียจากบาปของเขาทั้งหลาย เมื่อพระองค์ทรงให้เขาทั้งหลายรับความทุกข์ใจ
36 ก็ขอพระองค์ทรงสดับในฟ้าสวรรค์ และขอทรงประทานอภัยบาปของผู้รับใช้ของพระองค์ และของอิสราเอลประชากรของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงสอนทางดีแก่เขา ซึ่งเขาควรจะดำเนิน และขอทรงประทานฝนบนแผ่นดินของพระองค์ ซึ่งพระองค์ได้ทรงพระราชทานแก่ชนชาติของ พระองค์เป็นมรดกนั้น
37 "ถ้ามีการกันดารอาหารในแผ่นดิน ถ้ามีโรคระบาด ข้าวม้านรากินข้าว หรือตั๊กแตนวัยบิน หรือตั๊กแตนวัยคลาน หรือถ้าศัตรูของเขาทั้งหลายล้อมเมืองของเขาไว้รอบด้าน จะเป็นภัยพิบัติอย่างใด หรือความเจ็บไข้อย่างใด มีขึ้นก็ดี
38 ไม่ว่าคำอธิษฐานอย่างใด หรือคำวิงวอนประการใดซึ่งประชาชนคนใด หรืออิสราเอลประชากรของพระองค์ทั้งสิ้นทูล ต่างก็สำนึกในใจของเขาในเรื่องภัยพิบัติอันจะตกแก่เขา และได้กางมือของเขาสู่พระนิเวศนี้
39 ขอพระองค์ทรงสดับในฟ้าสวรรค์ อันเป็นที่ประทับของพระองค์ และพระราชทานอภัย และทรงกระทำ และทรงประทานแก่ทุกคน ซึ่งพระองค์ทรงทราบจิตใจตามการประพฤติทั้งสิ้นของเขา (เพราะพระองค์คือพระองค์เท่านั้นที่ทรงทราบจิตใจของ มนุษยชาติทั้งสิ้น)
40 เพื่อว่าเขาทั้งหลายจะได้ยำเกรงพระองค์ตลอดวันเวลาที่เขาทั้งหลายอาศัยในแผ่นดิน ซึ่งพระองค์ทรงประทานแก่บรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลาย
41 "ยิ่งกว่านั้นอีกเกี่ยวกับชนต่างด้าว ผู้ซึ่งไม่ใช่อิสราเอลประชากรของพระองค์ เมื่อเขามาจากประเทศเมืองไกล เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์
42 (เพราะเขาทั้งหลายจะได้ยินถึง พระนามใหญ่ยิ่งของพระองค์ และถึงพระหัตถ์อันมหิทธิฤทธิ์ของพระองค์ และถึงพระกรที่เหยียดออกของพระองค์) เมื่อเขามาอธิษฐานตรงต่อพระนิเวศนี้
43 ก็ขอพระองค์ทรงสดับในฟ้าสวรรค์ อันเป็นที่ประทับของพระองค์ และขอทรงกระทำตามทุกสิ่งซึ่งชนต่างด้าวได้ ทูลขอต่อพระองค์ เพื่อว่าชนชาติทั้งหลายแห่งแผ่นดินโลกจะรู้จัก พระนามของพระองค์ และเกรงกลัวพระองค์ ดังอิสราเอลประชากรของพระองค์ยำเกรงพระองค์อยู่นั้น และเพื่อเขาทั้งหลายจะทราบว่าพระนิเวศนี้ ซึ่งข้าพระองค์ได้สร้างไว้เขาเรียกกันด้วยพระนามของพระองค์
44 "ถ้าประชากรของพระองค์ออกไปทำสงครามต่อสู้ศัตรู ของเขาทั้งหลาย จะเป็นโดยทางใดๆ ที่พระองค์ทรงใช้เขาออกไปก็ตาม และเขาทั้งหลายได้อธิษฐานต่อพระเจ้า ตรงต่อเมืองซึ่งพระองค์ทรงเลือกสรรไว้ และตรงต่อพระนิเวศ ซึ่งข้าพระองค์ได้สร้างสำหรับพระนามของพระองค์
45 ขอพระองค์ทรงสดับคำอธิษฐานของเขาและคำ วิงวอนของเขาในฟ้าสวรรค์ และขอทรงให้สิทธิอันชอบธรรมของเขาคงอยู่
46 "ถ้าเขาทั้งหลายกระทำบาปต่อพระองค์ (เพราะไม่มีมนุษย์สักคนหนึ่งซึ่งมิได้กระทำบาป) และพระองค์ทรงกริ้วต่อเขา และทรงมอบเขาไว้กับศัตรู เขาจึงถูกจับไปเป็นเชลยยังแผ่นดินของศัตรูนั้น ไม่ว่าไกลหรือใกล้
47 แต่ถ้าเขาสำนึกผิดในใจในแผ่นดิน ซึ่งเขาได้ถูกจับไปเป็นเชลยและได้กลับใจ และได้ทำการวิงวอนต่อพระองค์ใน แผ่นดินของผู้จับเขาไปเป็นเชลย ทูลว่า 'ข้าพระองค์ทั้งหลายได้กระทำบาป และได้ประพฤติชั่วร้ายและอย่างอธรรม'
48 ถ้าเขาทั้งหลายกลับมาหาพระองค์ ด้วยสุดจิตสุดใจของเขาในแผ่นดินแห่งศัตรู ทั้งหลายของเขาผู้ซึ่งจับเขาไปเป็นเชลย และอธิษฐานต่อพระองค์ตรงต่อแผ่นดินของเขา ซึ่งพระองค์ทรงประทานแก่บรรพบุรุษของเขาทั้งหลาย คือเมืองซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกสรรไว้ และพระนิเวศซึ่งข้าพระองค์ได้สร้างไว้ เพื่อพระนามของพระองค์
49 ขอพระองค์ทรงสดับคำ อธิษฐานและคำวิงวอนของเขาในฟ้าสวรรค์ อันเป็นที่ประทับของพระองค์ และขอทรงให้สิทธิอันชอบธรรมของเขาคงอยู่
50 และขอทรงประทานอภัยแก่ประชากรของ พระองค์ผู้ได้กระทำบาปต่อพระองค์ และทรงประทานอภัยต่อการทรยศของเขาทั้งหลาย ซึ่งเขาได้กระทำต่อพระองค์และให้เขาเป็นที่ เมตตาของคนเหล่านั้นที่จับเขาทั้งหลายไปเป็นเชลย เพื่อเขาทั้งหลายจะได้รับความเมตตาจากเขา
51 (เพราะว่าเขาทั้งหลายเป็น ประชากรของพระองค์และเป็นมรดกของพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงนำออกมาจากอียิปต์ จากท่ามกลางเตาเหล็ก)
52 ขอพระเนตรของพระองค์จงลืมอยู่ต่อคำวิงวอน ของผู้รับใช้ของพระองค์ และต่อคำวิงวอนของอิสราเอลประชากรของพระองค์ ขอทรงเงี่ยพระกรรณฟังเมื่อเขาทั้งหลายร้องต่อพระองค์
53 เพราะพระองค์ทรงแยกเขาจากท่ามกลางชนชาติ ทั้งหลายของแผ่นดินโลกให้เป็นมรดกของพระองค์ ตามซึ่งพระองค์ตรัสทางโมเสส ผู้รับใช้ของพระองค์ ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้า ในเมื่อพระองค์ทรงนำบรรพบุรุษ ของข้าพระองค์ทั้งหลายออกจากอียิปต์"
54 ครั้นซาโลมอนทรงจบคำอธิษฐาน และคำวิงวอนทั้งสิ้นนี้ต่อพระเจ้าแล้ว ก็ทรงลุกขึ้นจากหน้าแท่นบูชาของพระเจ้า ที่ซึ่งทรงคุกเข่าพร้อมกับกางพระหัตถ์สู่ฟ้าสวรรค์
55 และพระองค์ทรงประทับยืน และทรงให้พรแก่ชุมนุมชนอิสราเอลด้วยเสียงดังว่า
56 "สาธุการแด่พระเจ้า ผู้ทรงพระราชทานการหยุดพักแก่อิสราเอล ประชากรของพระองค์ ตามซึ่งพระองค์ทรงสัญญาไว้ทุกประการ พระสัญญาอันดีทั้งสิ้นของพระองค์ซึ่งพระองค์ทรงสัญญาทาง โมเสสผู้รับใช้ของพระองค์นั้นไม่ล้มเหลวสักคำเดียว
57 ขอพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราทั้งหลายสถิตกับเรา ดังที่พระองค์ได้สถิตกับบรรพบุรุษของเรา ขอพระองค์อย่าทรงละเราหรือทอดทิ้งเราเสีย
58 เพื่อพระองค์ทรงโน้มจิตใจของเราให้มาหาพระองค์ ที่จะดำเนินในทางทั้งสิ้นของพระองค์ และรักษาบรรดา พระบัญญัติของพระองค์ กฎเกณฑ์ของพระองค์ และกฎหมายของพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงบัญญัติไว้แก่บรรพบุรุษของเรา
59 ขอให้ถ้อยคำเหล่านี้ของข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าได้วิงวอนขอต่อพระเจ้าให้อยู่ใกล้ พระเยโฮวาห์พระเจ้าของพวกเราทั้งวันและคืน และขอให้สิทธิอันชอบธรรมของผู้รับใช้ของพระองค์คงอยู่ และให้สิทธิอันชอบธรรมของอิสราเอลประชากรของ พระองค์คงอยู่ ตามต้องการแต่ละวัน
60 เพื่อบรรดาชนชาติทั้งหลายแห่งแผ่นดินโลก จะทราบว่าพระเยโฮวาห์นั้นเป็นพระเจ้า ไม่มีองค์อื่นเลย
61 เพราะฉะนั้นขอให้จิตใจของท่านทั้งหลายบริสุทธิ์ต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา คือที่จะดำเนินอยู่ในกฎเกณฑ์ของพระองค์ และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ดังในเวลานี้"
62 แล้วพระราชาและชนอิสราเอล ทั้งปวงที่อยู่กับพระองค์ได้ถวายเครื่องสัตวบูชาแด่พระเจ้า
63 และซาโลมอนได้ถวายสัตว์ต่อไปนี้ ซึ่งพระองค์ทรงถวายเป็นเครื่องศานติบูชาแด่พระเจ้า คือวัวสองหมื่นสองพันตัว และแกะหนึ่งแสนสองหมื่นตัว พระราชาและคนอิสราเอลทั้งปวง จึงอุทิศถวายพระนิเวศแห่งพระเจ้า
64 ในวันเดียวกันนั้นพระราชา ทรงทำพิธีชำระส่วนกลางของลาน ซึ่งอยู่หน้าพระนิเวศของพระเจ้า เพราะว่าที่นั่นพระองค์ได้ถวายเครื่องเผาบูชาและธัญญบูชา และส่วนไขมันของศานติบูชา เพราะว่าแท่นทองสัมฤทธิ์ซึ่งอยู่ต่อ พระพักตร์พระเจ้านั้นเล็กเกินไป ไม่พอรับเครื่องเผาบูชาและธัญญบูชา และส่วนไขมันของศานติบูชา
65 ซาโลมอนจึงทรงฉลองเทศกาลในเวลานั้น พร้อมกับอิสราเอลทั้งปวงเป็นชุมนุมมโหฬาร มีคนมาตั้งแต่ทางเข้าเมืองฮามัทจนถึงลำธารอียิปต์ ต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราเป็นเจ็ด และเจ็ดวันคือสิบสี่วัน
66 ในวันที่แปดพระองค์ทรงให้ประชาชนกลับ เขาทั้งหลายก็ถวายพระพรแด่พระราชา และกลับไปสู่บ้านของตนด้วยจิตใจชื่นบานและยินดี เนื่องด้วยความดีทั้งสิ้น ซึ่งพระเจ้าทรงสำแดงแก่ดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ และแก่อิสราเอลประชากรของพระองค์

1พงศ์กษัตริย์ 9

1 อยู่มาเมื่อซาโลมอนได้สร้างพระนิเวศของ พระเจ้าและพระราชวังของกษัตริย์ และบรรดาสิ่งที่ซาโลมอนมีพระประสงค์จะสร้าง นั้นสำเร็จแล้ว
2 พระเจ้าทรงปรากฏแก่ซาโลมอนเป็นครั้งที่สอง ดังที่พระองค์ทรงปรากฏแก่ท่านที่กิเบโอน
3 และพระเจ้าตรัสกับท่านว่า "เราได้ยินคำอธิษฐานของเจ้าและคำวิงวอนของเจ้า ซึ่งเจ้าได้กระทำต่อเรานั้นแล้ว เราได้รับพระนิเวศซึ่งเจ้าได้สร้างนี้ไว้เป็นสถานบริสุทธิ์ และได้ประดิษฐานชื่อของเราไว้ที่นั่นเป็นนิตย์ ตาของเราและใจของเราจะอยู่ที่นั่นตลอดไป
4 และส่วนเจ้า ถ้าเจ้าดำเนินต่อหน้าเราดังดาวิด บิดาของเจ้าได้ดำเนินด้วยใจสัตย์ซื่อ และด้วยความเที่ยงธรรม กระทำทุกอย่างตามที่เราได้บัญชาเจ้าไว้ และรักษากฎเกณฑ์ของเรา และกฎหมายของเรา
5 แล้วเราจะสถาปนาราชบัลลังก์ของเจ้า เหนืออิสราเอลเป็นนิตย์ ดังที่เราได้สัญญากับดาวิดบิดาของเจ้าว่า 'เจ้าจะไม่ขาดชายผู้หนึ่งบนบัลลังก์แห่งอิสราเอล'
6 แต่ถ้าเจ้าหันไปจากการติดตามเรา ตัวเจ้าเองหรือลูกหลานของเจ้าก็ดี และมิได้รักษาบัญญัติของเราและกฎเกณฑ์ของเรา ซึ่งเราได้ตั้งไว้ต่อหน้าเจ้าแต่ไปปรนนิบัติพระอื่น และนมัสการพระนั้น
7 แล้วเราจะตัดอิสราเอลออกเสียจากแผ่นดินซึ่งเราได้ ให้แก่เจ้าทั้งหลาย และพระนิเวศซึ่งเราได้รับไว้เป็นสถานบริสุทธิ์เพื่อชื่อของเรา เราจะเหวี่ยงออกเสียจากสายตาของเรา และอิสราเอลจะเป็นคำเปรียบเปรย และเป็นขี้ปากในหมู่ชนชาติทั้งหลาย
8 และพระนิเวศนี้จะกลายเป็นกองสิ่งปรักหักพัง ทุกคนที่ผ่านไปจะฉงนสนเท่ห์ และเขาจะเยาะเย้ยและกล่าวว่า 'เหตุไฉนพระเจ้าจึงได้กระทำ ดั่งนี้แก่แผ่นดินนี้ และแก่พระนิเวศนี้'
9 แล้วเขาจะตอบว่า 'เพราะว่าเขาทั้งหลายได้ทอดทิ้งพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของเขา ผู้ได้ทรงนำบรรพบุรุษของเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ และได้ยึดถือพระอื่น และนมัสการและปรนนิบัติพระนั้น เพราะฉะนั้นพระเจ้าทรงนำเหตุร้ายอันนี้มาเหนือเขา ทั้งหลาย'"
10 อยู่มาเมื่อสิ้นยี่สิบปี ซึ่งซาโลมอนได้ทรง สร้างอาคารสองหลัง คือพระนิเวศของพระเจ้า และพระราชวังของกษัตริย์
11 และเมื่อฮีรามกษัตริย์เมืองไทระได้ส่งไม้สนสีดาร์ และไม้สนสามใบและทองคำให้แก่ซาโลมอนตาม ที่พระองค์มีพระประสงค์ แล้วพระราชาซาโลมอนก็ทรงประทานหัวเมือง ในแผ่นดินกาลิลีให้แก่ฮีรามยี่สิบหัวเมือง
12 แต่เมื่อฮีรามเสด็จจากเมืองไทระเพื่อชม หัวเมืองซึ่งซาโลมอนประทานแก่ท่าน หัวเมืองเหล่านั้นไม่เป็นที่พอพระทัยท่าน
13 เพราะฉะนั้นท่านจึงว่า "พระอนุชาเอ๋ย เมืองซึ่งท่านประทานแก่ข้าพเจ้านั้นเป็นเมืองอะไรอย่างนี้" เขาจึงเรียกเมืองเหล่านั้นว่า แผ่นดินคาบูลจนทุกวันนี้
14 ฮีรามได้ส่งทองคำหนึ่งร้อยยี่สิบตะลันต์ให้แก่พระราชา
15 นี่เป็นเรื่องแรงงานเกณฑ์ ซึ่งพระราชาซาโลมอนได้เกณฑ์เพื่อสร้างพระนิเวศของพระเจ้า และพระราชวังของพระองค์ และป้อม มิลโล และกำแพงกรุงเยรูซาเล็ม และฮาโซร์ และเมกิดโด และเกเซอร์
16 ฟาโรห์กษัตริย์อียิปต์ได้ยกทัพขึ้นมา ยึดเมืองเกเซอร์และเอาไฟเผาเสีย และได้ฆ่าคนคานาอันซึ่งอยู่ในเมืองนั้น และได้ยกเมืองนั้นให้แก่ธิดาของท่านเป็นสินสมรสคือ มเหสีของซาโลมอน
17 ซาโลมอนจึงสร้างเกเซอร์ขึ้นใหม่ และสร้างเมืองเบธโฮโรนล่าง
18 ทั้งเมืองบาอาลัทและเมืองทามาร์ในถิ่นทุรกันดาร ในแผ่นดินยูดาห์
19 ทั้งบรรดาหัวเมืองคลังหลวงที่ซาโลมอนมีอยู่ และหัวเมืองสำหรับรถรบของพระองค์ และหัวเมืองสำหรับพลม้าของพระองค์ และสิ่งใดๆ ซึ่งซาโลมอนมีพระประสงค์จะสร้างในกรุงเยรูซาเล็ม ในเลบานอน และทั่วแผ่นดินอยู่ในอาณาจักรของพระองค์
20 ประชาชนทั้งปวงซึ่งเหลืออยู่จากคนอาโมไรต์ คนฮิตไทต์ คนเปริสซี คนฮีไวต์ และคนเยบุส ผู้ซึ่งไม่ใช่คนอิสราเอล
21 เชื้อสายของเขาที่เหลืออยู่ในแผ่นดิน ซึ่งประชาชนอิสราเอลไม่สามารถจะทำลายให้สิ้นได้ บุคคลเหล่านี้ ซาโลมอนทรงเกณฑ์ให้เป็นทาสอยู่จนทุกวันนี้
22 แต่ประชาชนอิสราเอลนั้น ซาโลมอนหาได้ทรงกระทำให้เป็นทาสไม่ เขาทั้งหลายเป็นทหาร เป็นข้าราชการ เป็นผู้บังคับบัญชาของพระองค์ เป็นนายทหารของพระองค์ เป็นผู้บังคับการรถรบของพระองค์ และเป็นพลม้าของพระองค์
23 เหล่านี้เป็นเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่เหนือพระราชกิจของซาโลมอน จำนวนห้าร้อยห้าสิบคน เป็นผู้ดูแลประชาชนที่ทำงาน
24 แต่ธิดาของฟาโรห์ได้ขึ้นไปจากนครดาวิด ถึงพระตำหนักของเธอเองซึ่งซาโลมอนได้สร้างให้เธอ แล้วพระองค์จึงสร้างป้อมมิลโล
25 ปีละสามครั้ง ซาโลมอนได้ทรงถวายเครื่องเผาบูชา และเครื่องศานติบูชาบนแท่นบูชา ซึ่งพระองค์ทรงสร้างถวายพระเจ้า ทรงเผาเครื่องหอมต่อพระพักตร์พระเจ้า ดังนั้นพระองค์จึงสร้างพระนิเวศจนสำเร็จ
26 พระราชาซาโลมอนทรงสร้างกองเรือกำปั่นที่ เอซีโอนเกเบอร์ ซึ่งอยู่ใกล้เอโลทบนฝั่งทะเลแดงในแผ่นดินเอโดม
27 และฮีรามได้ส่งข้าราชการและพลเรือผู้ซึ่ง คุ้นเคยกับทะเล ไปกับกองกำปั่นพร้อมกับข้าราชการของซาโลมอน
28 เขาทั้งหลายไปถึงเมืองโอฟีร์ และนำทองคำมาจากที่นั่น จำนวนสี่ร้อยยี่สิบตะลันต์ และนำมาถวายพระราชาซาโลมอน

1พงศ์กษัตริย์ 10
1 เมื่อพระราชินีแห่งเชบา ทรงได้ยินกิตติศัพท์แห่งซาโลมอนเกี่ยวกับพระนามของพระเจ้า พระนางก็เสด็จมาทดลองพระองค์ด้วยปัญหายุ่งยากต่างๆ
2 พระนางเสด็จมายังกรุงเยรูซาเล็มพร้อมด้วยข้าราช บริพารมากมาย มีฝูงอูฐบรรทุกเครื่องเทศและทองคำเป็นอันมาก และเพชรพลอยต่างๆ และเมื่อพระนางเสด็จมาถึงซาโลมอนแล้ว พระนางก็ทูลเรื่องในใจต่อพระองค์ทุกประการ
3 และซาโลมอนตรัสตอบปัญหาของพระนางทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนอยู่พ้นพระราชาซึ่งพระองค์จะ ทรงอธิบายแก่พระนางไม่ได้
4 และเมื่อพระราชินีแห่งเชบา ทรงเห็นพระสติปัญญาทั้งสิ้นของซาโลมอน และพระราชวังที่พระองค์ทรงสร้าง
5 ทั้งอาหารที่โต๊ะเสวย กับบรรดาข้าราชการที่ประจำอยู่ และมหาดเล็กที่คอยรับใช้อยู่ตลอดจนเครื่องแต่งกาย และพนักงานเชิญถ้วยของพระองค์ และเครื่องเผาบูชาของพระองค์ ซึ่งพระองค์ถวายบูชา ณ พระนิเวศของพระเจ้า พระทัยของพระนางก็สลดลงทีเดียว
6 พระนางทูลพระราชาว่า "ข่าวคราวซึ่งหม่อมฉันได้ยินในประเทศของหม่อมฉัน ถึงพระราชกิจและพระสติปัญญาของพระองค์เป็นความจริง
7 แต่หม่อมฉันมิได้เชื่อถ้อยคำนั้น จนหม่อมฉันมาเฝ้า และตาของหม่อมฉันได้เห็นเอง และดูเถิด ที่เขาบอกแก่หม่อมฉันก็ไม่ถึงครึ่งหนึ่ง พระสติปัญญา และความมั่งคั่งของพระองค์ก็มาก ยิ่งกว่าข่าวคราวที่หม่อมฉันได้ยิน
8 บรรดาคนของพระองค์ก็เป็นสุข บรรดาข้าราชการเหล่านี้ของพระองค์ผู้ อยู่งานประจำต่อพระพักตร์พระองค์ และฟังพระสติปัญญาของพระองค์ก็เป็นสุข
9 สาธุการแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของพระองค์ ผู้ทรงพอพระทัยในพระองค์และทรงแต่งตั้ง พระองค์ไว้บนบัลลังก์แห่งอิสราเอล เพราะพระเจ้าทรงรักอิสราเอลเป็นนิตย์ พระองค์จึงทรงแต่งตั้งให้พระองค์เป็นพระราชา เพื่อว่าพระองค์จะทรงอำนวยความยุติธรรม และความชอบธรรม
10 แล้วพระนางก็ถวายทองคำหนึ่งร้อยยี่สิบตะลันต์แด่ พระราชา ทั้งเครื่องเทศเป็นจำนวนมากและเพชรพลอยต่างๆ ไม่มีเครื่องเทศมามากมายดังนี้อีก ดังที่พระราชินีถวายแด่พระราชาซาโลมอน
11 ยิ่งกว่านั้นอีก กองกำปั่นของฮีรามซึ่งได้นำ ทองคำมาจากโอฟีร์ ได้นำไม้จันทน์แดง และเพชรพลอยต่างๆ จำนวนมากหลายมาจากโอฟีร์
12 และพระราชาทรงใช้ไม้จันทน์ แดงทำเสาพระนิเวศแห่งพระเจ้า และสำหรับพระราชวังของกษัตริย์ และทำพิณเขาคู่และพิณใหญ่สำหรับนักร้อง จนทุกวันนี้ก็ไม่เคยมีไม้จันทน์แดงมา หรือเห็นมากมายอย่างนี้อีก
13 พระราชาซาโลมอนทรง พระราชทานทุกอย่างแก่พระราชินีแห่งเชบา ตามที่พระนางมีพระประสงค์ นอกจากสิ่งที่พระราชทานมาจากความอุดมสมบูรณ์ของ พระราชาซาโลมอนแล้ว สิ่งใดๆที่พระนางทูลขอ พระราชาก็พระราชทาน ดังนั้นพระนางก็เสด็จกลับไปยังแผ่นดินของพระนาง พร้อมกับข้าราชการของพระนาง
14 น้ำหนักของทองคำที่นำมาส่ง ซาโลมอนในปีหนึ่งนั้นเป็นทองคำหกร้อยหกสิบหกตะลันต์
15 นอกเหนือจากทองซึ่งมาจากพ่อค้า และจากการค้าของพวกพ่อค้า และจากกษัตริย์ทั้งปวงของประเทศอาระเบียและ จากบรรดาเจ้าเมืองแห่งแผ่นดิน
16 พระราชาซาโลมอนทรงสร้าง โล่ใหญ่สองร้อยอันด้วยทองคำทุบ โล่อันหนึ่งใช้ทองคำหกร้อยเชเขล
17 และพระองค์ทรงสร้างโล่สามร้อยอันด้วยทองคำทุบ โล่อันหนึ่งใช้ทองคำสามมาเน และพระราชาทรงเก็บโล่ไว้ในพระตำหนักพนาเลบานอน
18 พระราชาทรงกระทำพระที่นั่งงาช้างขนาดใหญ่ด้วย และทรงบุด้วยทองคำอย่างงามที่สุด
19 พระที่นั่งนั้นมีบันไดหกขั้น พนักหลังของพระที่นั่งนั้นกลมข้างบน และสองข้างพระที่นั่งมีที่วางพระหัตถ์ มีสิงห์สองตัวยืนอยู่ข้างๆ ที่วางพระหัตถ์
20 มีสิงห์อีกสิบสองตัวยืนอยู่ที่นั่นบนหกขั้น บันไดทั้งสองข้าง เขาไม่เคยทำในราชอาณาจักรใดๆเหมือนอย่างนี้
21 ภาชนะทั้งสิ้นสำหรับเครื่องดื่มของพระราชา ซาโลมอนทำด้วยทองคำ และภาชนะทั้งสิ้นของพระตำหนักพนาเลบานอน ทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ ไม่มีที่ทำด้วยเงินเลย เงินนั้นถือว่าเป็นของไม่มีค่าอะไรในสมัยของซาโลมอน
22 เพราะว่าพระราชามีกองกำปั่นเมืองทารชิช เดินทะเลพร้อมกับกองกำปั่นของฮีราม กองกำปั่นเมืองทารชิชนำทองคำ เงิน งาช้าง ลิง และนกยูงมาสามปี ต่อครั้ง
23 ดังนี้แหละ พระราชาซาโลมอนจึงได้เปรียบกว่ากษัตริย์อื่นๆแห่งแผ่นดินโลกในเรื่องสมบัติและสติปัญญา
24 และทั่วทั้งโลกก็แสวงหาที่จะเข้าเฝ้าซาโลมอน เพื่อจะฟังพระสติปัญญาซึ่งพระเจ้าพระราชทานไว้ในใจของท่าน
25 ทุกคนก็นำเครื่องบรรณาการของเขามา เป็นเครื่องทำด้วยเงินและทองคำ เครื่องแต่งกาย เครื่องอาวุธ เครื่องเทศ ม้าและล่อ ตามจำนวนกำหนดทุกๆปี
26 ซาโลมอนทรงสะสมรถรบและพลม้า พระองค์ทรงมีรถรบหนึ่งพันสี่ร้อยคันและ พลม้าหนึ่งหมื่นสองพันคน ซึ่งพระองค์ทรงให้ประจำอยู่ที่หัวเมืองรถรบ และอยู่กับพระราชาในกรุงเยรูซาเล็ม
27 และพระราชาทรงกระทำให้เงินนั้น เป็นของสามัญในกรุงเยรูซาเล็มเหมือนก้อนหิน และทรงกระทำให้มีไม้สนสีดาร์มากมายเหมือน ไม้มะเดื่อแห่งเนินเชเฟลาห์
28 ม้าอันเป็นสินค้าเข้าของซาโลมอนมาจากอียิปต์ และเมืองคูเอ และบรรดาพ่อค้าของพระราชาก็ได้มาจากคูเอตามราคา
29 จะนำรถรบคันหนึ่งเข้ามาจากอียิปต์ได้ในราคาหกร้อย เชเขลเงิน ม้าตัวหนึ่งหนึ่งร้อยห้าสิบ ดังนั้นโดยทางพวกพ่อค้าเขาก็ส่งออกไปยังบรรดา กษัตริย์ทั้งปวงของคนฮิตไทต์และบรรดากษัตริย์ของซีเรีย

1พงศ์กษัตริย์ 11
1 พระราชาซาโลมอนทรงรักหญิงต่างด้าวหลายคน นอกจากธิดาของฟาโรห์ มีหญิงคนโมอับ คนอัมโมน คนเอโดม คนไซดอน และคนฮิตไทต์
2 เป็นของประชาชาติซึ่งพระเจ้าตรัสกับคนอิสราเอลว่า "เจ้าทั้งหลายอย่าเข้าไปแต่งงานกับเขาทั้งหลาย หรืออย่าให้เขามาแต่งงานกับเจ้า เพราะเขาจะหันจิตใจของเจ้าไปตามพระของ เขาเป็นแน่" ซาโลมอนทรงติดพันกับคนเหล่านี้ด้วยความรัก
3 พระองค์ทรงมีมเหสีเจ็ดร้อย และนางห้ามสามร้อย และบรรดามเหสีของพระองค์ก็ทรงหันพระทัยของพระองค์ไปเสีย
4 เพราะอยู่มาเมื่อซาโลมอนทรงพระชราแล้ว มเหสีของพระองค์ได้หันพระทัยของพระองค์ให้ไปตามพระอื่น และพระทัยของพระองค์หาได้ตรงทีเดียวต่อพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของพระองค์ ดังพระทัยของดาวิดราชบิดาของพระองค์ไม่
5 เพราะซาโลมอนทรงดำเนินตามพระอัชโทเรท พระแม่เจ้าของคนไซดอน และตามพระมิลโคม สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนของคนอัมโมน
6 ซาโลมอนจึงทรงกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรพระเจ้า และมิได้ทรงติดตามพระเจ้าอย่างเต็มพระทัย ดังดาวิดราชบิดาของพระองค์ได้ทรงกระทำมาแล้วนั้น
7 แล้วซาโลมอนได้ทรงสร้างปูชนียสถานสูงสำหรับ พระเคโมช สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนของโมอับ ในภูเขาที่อยู่ตรงข้ามเยรูซาเล็ม และสำหรับพระโมเลค สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนของคนอัมโมน
8 และพระองค์จึงทรงกระทำดังนั้นเพื่อมเหสีต่างด้าวของ พระองค์ทั้งสิ้น ผู้ที่ได้เผาเครื่องหอมและถวายเครื่องสัตวบูชาแก่บรรดา พระของเขา
9 พระเจ้าทรงกริ้วต่อซาโลมอน เพราะพระทัยของท่านได้หันไปเสียจากพระเยโฮวาห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้ได้ทรงปรากฏแก่ท่านสองครั้งแล้ว
10 และได้ทรงบัญชาท่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่าท่านไม่ควรไปติดตามพระอื่น แต่ท่านมิได้รักษาพระบัญชาของพระเจ้า
11 เพราะฉะนั้นพระเจ้าตรัสกับซาโลมอนว่า "เนื่องด้วยความคิดของเจ้าเป็นอย่างนี้ และเจ้ามิได้รักษาพันธสัญญาของเราและกฎเกณฑ์ของเรา ซึ่งเราได้บัญชาเจ้าไว้ เราจะฉีกอาณาจักรเสียจากเจ้าเป็นแน่ และให้แก่ข้าราชการของเจ้า
12 กระนั้นก็ดีเพราะเห็นแก่ดาวิดบิดาของเจ้า เราจะไม่กระทำในวันเวลาของเจ้า แต่เราจะฉีกออกจากมือบุตรชายของเจ้า
13 อย่างไรก็ดี เราจะไม่ฉีกเสียหมดอาณาจักร แต่เราจะให้เผ่าหนึ่งแก่บุตรชายของเจ้า เพื่อเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของเรา และเพื่อเห็นแก่เยรูซาเล็มซึ่งเราได้เลือกไว้"
14 พระเจ้าทรงให้ปฏิปักษ์เกิดขึ้นต่อสู้ซาโลมอน คือฮาดัดคนเอโดม ท่านเป็นเชื้อสายราชวงศ์แห่งเอโดม
15 เพราะเมื่อดาวิดอยู่ในเอโดม และโยอาบผู้บัญชาการกองทัพได้ขึ้นไปฝังผู้ที่ถูกฆ่า เขาได้ฆ่าผู้ชายทุกคนในเอโดมเสีย
16 (เพราะโยอาบและคนอิสราเอลทั้งสิ้นยังอยู่ที่นั่นหกเดือน จนกว่าเขาจะได้ฆ่าผู้ชายทุกคนในเอโดม)
17 แต่ฮาดัดได้หนีไปอียิปต์ พร้อมกับคนเอโดมบางคนผู้เป็นข้าราชการของบิดาของท่าน ครั้งนั้นฮาดัดยังเป็นเด็กเล็กๆอยู่
18 เขาทั้งหลายยกออกจากมีเดียนมายังปาราน และพาคนจากปารานมากับเขาและมาถึงอียิปต์ เฝ้าฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ผู้ประทานเรือนหลังหนึ่งแก่เขา และกำหนดให้ได้รับปันเสบียงอาหาร และประทานที่ดินให้เขาด้วย
19 และฮาดัดเป็นที่ชอบมากในสายตาของฟาโรห์ ฟาโรห์จึงประทานน้องสาวของมเหสีของท่านเอง คือขนิษฐาของพระราชินีทาเปเนสให้แต่งงานกับเขา
20 และขนิษฐาของทาเปเนสก็ประสูติเกนูบัทให้ท่าน เป็นบุตรชาย ผู้ซึ่งทัฆพเนสให้หย่านมในวังของฟาโรห์ และเกนูบัทอยู่ในวังของฟาโรห์ในหมู่ราชโอรสของฟาโรห์
21 แต่เมื่อฮาดัดอยู่ในอียิปต์ได้ยินว่า ดาวิดได้ล่วงลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์แล้ว และโยอาบผู้บัญชาการกองทัพก็สิ้นชีวิตแล้ว ฮาดัดจึงทูลฟาโรห์ว่า "ขอข้าพระบาททูลลา เพื่อข้าพระบาทจะกลับไปยังประเทศของข้าพระบาทเอง"
22 แต่ฟาโรห์ตรัสกับท่านว่า "ท่านอยู่กับเราขาดสิ่งใดหรือ บัดนี้ท่านจึงเสาะหาที่จะกลับไปยังประเทศของท่าน" และท่านก็ทูลพระองค์ว่า "ไม่ขาดสิ่งใดพระเจ้าข้า แต่ขอให้ข้าพระบาทไปเถิด"
23 พระเจ้าได้ทรงให้ปฏิปักษ์เกิดขึ้นต่อสู้ท่านอีกคนหนึ่ง คือเรโซนบุตรของเอลียาดา ผู้ที่หนีไปจาก ฮาดัดเอเซอร์กษัตริย์แห่งโศบาห์เจ้านายของตน
24 เมื่อดาวิดเข่นฆ่าชาวโศบาห์เขาก็รวบรวม ผู้คนให้อยู่กับเขา กลายเป็นหัวหน้าของกองปล้น และเขาทั้งหลายก็ไปยังเมืองดามัสกัสอาศัยอยู่ที่นั่น และครอบครองเมืองดามัสกัส
25 ท่านเป็นปฏิปักษ์ของอิสราเอลตลอดวันเวลาของซาโลมอน ก่อเหตุร้ายดังที่ฮาดัดได้กระทำ และท่านเกลียดชังอิสราเอล และได้ปกครองอยู่เหนือซีเรีย
26 เยโรโบอัมบุตรเนบัท คนเอฟราอิม ชาวเมืองเศเรดาห์ ข้าราชการคนหนึ่งของซาโลมอน มารดาชื่อเศรุวาห์เป็นหญิงม่าย ได้ยกมือขึ้นต่อสู้พระราชาด้วย
27 ต่อไปนี้เป็นสาเหตุที่ท่านยกมือขึ้นต่อสู้พระราชา คือซาโลมอนทรงสร้างป้อมมิลโล และอุดช่องกำแพงนครของดาวิดราชบิดาของพระองค์
28 เยโรโบอัมเป็นทแกล้วทหาร เมื่อซาโลมอนทรงเห็นว่าชายหนุ่มคนนั้นเป็นคนขยัน พระองค์จึงให้ท่านดูแลเหนือแรงงานเกณฑ์ทั้งสิ้น ของพงศ์พันธุ์โยเซฟ
29 และอยู่มาในคราวนั้นเมื่อเยโรโบอัม ออกไปจากกรุงเยรูซาเล็ม อาหิยาห์ผู้เผยพระวจนะชาวชีโลห์ ได้พบท่านที่กลางทาง อาหิยาห์สวมเสื้อใหม่ตัวหนึ่ง และคนทั้งสองก็อยู่ลำพังในทุ่งนา
30 แล้วอาหิยาห์ก็จับเสื้อใหม่ที่ สวมอยู่ฉีกออกเป็นสิบสองชิ้น
31 และท่านพูดกับเยโรโบอัมว่า "ท่านจงเอาไปสิบชิ้นเพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่ง อิสราเอลตรัสดังนี้ว่า 'ดูเถิด เรากำลังจะฉีกอาณาจักรจากมือของซาโลมอน และจะให้เจ้าสิบเผ่า
32 (แต่เขาจะมีเผ่าหนึ่งเพื่อเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของเรา และเพื่อเห็นแก่เยรูซาเล็มเมืองซึ่งเราเลือกจาก ท่ามกลางเผ่าทั้งปวงของอิสราเอล)
33 เพราะเขาได้ทอดทิ้งเรา และได้นมัสการพระอัชโทเรท พระนางเจ้าของชาวไซดอน เคโมชพระของโมอับและมิลโคมพระของคนอัมโมน และมิได้ดำเนินในทางของเรา มิได้กระทำการเที่ยงธรรมในสายตาของเรา และรักษากฎเกณฑ์ของเรา และกฎหมายของเรา อย่างกับดาวิดบิดาของเขาได้กระทำนั้น
34 ถึงกระนั้นก็ดี เราจะไม่เอาอาณาจักรทั้งหมดออก จากมือของเขา แต่เราจะกระทำให้เขาเป็นผู้ครอบครองอยู่ตลอดวันเวลา แห่งชีวิตของเขา เพราะเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของเราผู้ซึ่งเราได้เลือกไว้ ผู้รักษาบัญญัติของเรา และกฎเกณฑ์ของเรา
35 แต่เราจะเอาอาณาจักรออกจากมือบุตรชายของเขา และจะมอบให้เจ้าสิบเผ่า
36 เรายังจะให้เผ่าหนึ่งแก่บุตรชายของเขา เพื่อดาวิดผู้รับใช้ของเราจะมีประทีปดวงหนึ่งต่อหน้า เราในกรุงเยรูซาเล็มเสมอ เป็นเมืองซึ่งเราได้เลือกเพื่อประดิษฐานชื่อของเราไว้ที่นั่น
37 เราจะเอาตัวเจ้า เจ้าจะปกครอง ให้กว้างขวางตามชอบใจของเจ้า และเจ้าจะเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล
38 และถ้าเจ้าเชื่อฟังทุกสิ่งที่เราบัญชาแก่เจ้า และจะดำเนินในทางทั้งหลายของเรา และกระทำการเที่ยงธรรมในสายตาของเรา โดยรักษากฎเกณฑ์ของเรา และบัญญัติของเราดังดาวิด ผู้รับใช้ของเราได้กระทำ เราจะอยู่กับเจ้า และจะสร้างเจ้าให้เป็นราชวงศ์ที่มั่นคง ดังที่เราได้สร้างเพื่อดาวิด และเราจะให้อิสราเอลแก่เจ้า
39 ด้วยเหตุนี้เราจะให้ความทุกข์ใจแก่ราชวงศ์ของดาวิด แต่ไม่เป็นนิตย์'"
40 ฉะนั้นซาโลมอนจึงทรงหาช่องจะประหารเยโรโบอัมเสีย แต่เยโรโบอัมได้ลุกขึ้นหนีเข้าไปในอียิปต์ ไปยังชิชักกษัตริย์อียิปต์ และอยู่ในอียิปต์จนถึง ซาโลมอนสิ้นพระชนม์
41 ส่วนพระราชกิจนอกนั้นของซาโลมอน และบรรดาสิ่งซึ่งพระองค์ทรงกระทำและพระสติปัญญา ของพระองค์ มิได้บันทึกไว้ในหนังสือพระราชกิจของซาโลมอนหรือ
42 และเวลาที่ซาโลมอนทรงครอบครองในเยรูซาเล็ม เหนืออิสราเอลทั้งสิ้นนั้น เป็นสี่สิบปี
43 และซาโลมอนก็ล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังพระศพพระองค์ไว้ในนครของดาวิดราชบิดา ของพระองค์ และเรโหโบอัม ราชโอรสของพระองค์ก็ขึ้นครองแทน

1พงศ์กษัตริย์ 12

1 เรโหโบอัมได้ไปยังเมืองเชเคม เพราะอิสราเอลทั้งปวงได้มายังเชเคม เพื่อจะตั้งท่านให้เป็นกษัตริย์
2 และอยู่มาเมื่อเยโรโบอัมบุตรเนบัททราบเรื่อง (เพราะท่านยังอยู่ในอียิปต์ที่ซึ่งท่านหนีไปจากพระราชา ซาโลมอน เยโรโบอัมอาศัยอยู่ในอียิปต์
3 เขาทั้งหลายก็ใช้คนไปเรียกท่าน) เยโรโบอัมกับชุมนุมชนอิสราเอล ทั้งหมดได้มาทูลเรโหโบอัมว่า
4 "พระราชบิดาของฝ่าพระบาทได้กระทำให้แอกของ ข้าพระบาทหนักนัก เพราะฉะนั้น บัดนี้ขอทรงผ่อนการปรนนิบัติอย่างทุกข์หนักของ พระราชบิดาของฝ่าพระบาท และแอกอันหนักของพระองค์เหนือข้าพระบาททั้งหลาย ให้เบาลงเสีย และข้าพระบาททั้งหลายจะปรนนิบัติฝ่าพระบาท"
5 พระองค์ตรัสกับเขาว่า "จงกลับไปเสียสักสามวัน แล้วจึงมาหาเราอีก" ประชาชนจึงกลับไป
6 แล้วพระราชาเรโหโบอัมก็ทรงปรึกษากับบรรดาผู้เฒ่า ผู้อยู่งานประจำซาโลมอนราชบิดาของพระองค์ ขณะเมื่อพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ว่า "ท่านทั้งหลายจะแนะนำเราให้ตอบประชาชนนี้อย่างไร"
7 เขาทั้งหลายทูลพระองค์ว่า "ถ้าพระองค์จะทรงเป็นผู้รับใช้ ประชาชนนี้ในวันนี้และฟังเขา และตรัสตอบคำดีแก่เขา เขาทั้งหลายก็จะเป็นผู้รับใช้ของพระองค์เป็นนิตย์"
8 แต่พระองค์ทรงทอดทิ้งคำปรึกษาซึ่งผู้เฒ่าถวายนั้นเสีย และไปปรึกษากับคนหนุ่มซึ่งเติบโตขึ้นมาพร้อมกับพระองค์ และอยู่งานประจำพระองค์
9 และพระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า "ท่านจะแนะนำเราอย่างไรเพื่อพวกเราจะตอบประชาชนนี้ ผู้ที่ทูลเราว่า 'ขอทรงผ่อนแอกซึ่งพระราชบิดาของ พระองค์วางอยู่เหนือข้าพระบาททั้งหลายให้เบาลง'"
10 และคนหนุ่มเหล่านั้นผู้ได้เติบโต มาพร้อมกับพระองค์ทูลพระองค์ว่า "พระองค์จงตรัสดังนี้แก่ประชาชนนี้ ผู้ทูลพระองค์ว่า 'พระราชบิดาของพระองค์ได้กระทำให้แอกของ ข้าพระบาททั้งหลายหนัก แต่ขอพระองค์ทรงผ่อนแก่ข้าพระบาทให้เบาลง' นั้น พระองค์จงตรัสแก่เขาทั้งหลายอย่างนี้ว่า 'นิ้วก้อยของเราก็หนากว่าเอวแห่งราชบิดาของเรา
11 ที่พระราชบิดาของเราวางแอกหนักบนท่าน ทั้งหลายก็ดีแล้ว เราจะเพิ่มให้แก่แอกของท่านทั้งหลายอีก พระราชบิดาของเราตีสอนท่านทั้งหลายด้วยไม้เรียว แต่เราจะตีสอนท่านทั้งหลายด้วยแส้แมงป่อง'"
12 เยโรโบอัมกับประชาชนทั้งปวงจึงเข้ามา เฝ้าเรโหโบอัมในวันที่สาม ดังที่พระราชารับสั่งว่า "จงมาหาเราอีกในวันที่สาม"
13 และพระราชาตรัสตอบประชาชนอย่างดุดัน ทรงทอดทิ้งคำปรึกษาซึ่งผู้เฒ่าได้ถวายนั้นเสีย
14 และตรัสกับเขาทั้งหลายตามคำปรึกษาของพวกคนหนุ่มว่า "พระราชบิดาของเราทำแอกของท่านทั้งหลายให้หนัก แต่เราจะเพิ่มให้แก่แอกของท่านทั้งหลายอีก พระราชบิดาของเราตีสอนท่านทั้งหลายด้วยไม้เรียว แต่เราจะตีสอนท่านทั้งหลายด้วยแส้แมงป่อง"
15 พระราชาจึงมิได้ฟังเสียงประชาชนเพราะ เหตุการณ์นั้นเป็นมาแต่พระเจ้า เพื่อพระองค์จะทรงกระทำให้พระวจนะของพระองค์ได้สำเร็จ ซึ่งพระเจ้าตรัสโดยอาหิยาห์ชาวชีโลห์แก่ เยโรโบอัมบุตรเนบัท
16 และเมื่ออิสราเอลทั้งปวงเห็นว่า พระราชามิได้ทรงฟังเขาทั้งหลาย ประชาชนก็ทูลตอบพระราชาว่า "ข้าพระบาททั้งหลายมีส่วนอะไรในดาวิด ข้าพระบาททั้งหลายไม่มีส่วนมรดกในบุตรชายของเจสซี โอ อิสราเอลเอ๋ย กลับไปเต็นท์ของตนเถิด ข้าแต่ดาวิด จงดูแลราชวงศ์ของพระองค์เองเถิด" อิสราเอลจึงจากไปยังบ้านเรือนของเขาทั้งหลาย
17 แต่เรโหโบอัมทรงปกครองเหนือประชาชนอิสราเอล ผู้อาศัยอยู่ในหัวเมืองของยูดาห์
18 แล้วพระราชาเรโหโบอัมทรงใช้อาโดรัม นายงานเหนือแรงงานเกณฑ์ไป และอิสราเอลทั้งปวงก็เอาหินขว้างท่านถึงตาย แล้วพระราชาเรโหโบอัมก็ทรงรีบขึ้นรถรบของพระองค์ ทรงหนีไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
19 อิสราเอลจึงกบฏต่อราชวงศ์ของดาวิดจนทุกวันนี้
20 และอยู่มาเมื่ออิสราเอลทั้งปวงได้ ยินว่าเยโรโบอัมได้กลับมาแล้ว เขาก็ใช้ให้ไปเชิญท่านมายังที่ประชุม แล้วก็ตั้งท่านให้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลทั้งปวง ไม่มีผู้ใดติดตามเชื้อวงศ์ของดาวิด เว้นแต่เผ่ายูดาห์เท่านั้น
21 เมื่อเรโหโบอัมมายังกรุงเยรูซาเล็มแล้ว พระองค์ได้เรียกประชุมพงศ์พันธุ์ยูดาห์ทั้งหมด และเผ่าเบนยามินเป็นนักรบที่คัดเลือกแล้ว หนึ่งแสนแปดหมื่นคน เพื่อจะสู้รบกับพงศ์พันธุ์อิสราเอล เพื่อจะเอาราชอาณาจักรคืนมา ให้แก่เรโหโบอัมโอรสของซาโลมอน
22 แต่พระวจนะของพระเจ้ามายังเชไมอาห์คนของพระเจ้า
23 ว่า "จงไปทูลเรโหโบอัมโอรสของซาโลมอน พระราชาแห่งยูดาห์ และบอกแก่พงศ์พันธุ์ทั้งสิ้นของยูดาห์ และของเบนยามิน และแก่ประชาชนที่เหลืออยู่ว่า
24 'พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เจ้าอย่าขึ้นไปสู้รบกับประชาชน อิสราเอลญาติพี่น้องของเจ้าเลย จงกลับไปยังบ้านของตนทุกคนเถิด เพราะสิ่งนี้เป็นมาจากเรา'" เหตุฉะนี้เขาจึงจะเชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า และกลับไปบ้านเสียตามพระวจนะของพระเจ้า
25 แล้วเยโรโบอัมก็สร้างเมืองเชเคมในถิ่นเทือกเขาเอฟราอิม และอาศัยอยู่ที่นั่น และท่านก็ออกไปจากที่นั่น ไปสร้างเมืองพนูเอล
26 และเยโรโบอัมรำพึงในใจว่า "คราวนี้ราชอาณาจักรจะหันกลับไปยังราชวงศ์ของดาวิด
27 ถ้าชนชาติเหล่านี้ขึ้นไปถวายเครื่องสัตวบูชาใน พระนิเวศของพระเจ้าที่กรุงเยรูซาเล็ม แล้วจิตใจของชนชาติเหล่านี้จะหันกลับ ไปยังเจ้านายของเขาทั้งหลาย คือหันไปยังเรโหโบอัมพระราชาแห่งยูดาห์ และเขาทั้งหลายจะฆ่าเราเสีย และกลับไปยังเรโหโบอัมพระราชาแห่งยูดาห์"
28 ดังนั้นพระราชาจึงทรงปรึกษา และได้ทรงสร้างลูกวัวสองตัวด้วยทองคำ แล้วพระองค์ตรัสแก่ประชาชนว่า "ที่ท่านทั้งหลายขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มนานพออยู่แล้ว โอ อิสราเอลเอ๋ย จงดูพระเจ้าของท่านนี่แน่ะ พระองค์ผู้ทรงนำท่านทั้งหลายออกจากประเทศอียิปต์"
29 และพระองค์ก็ประดิษฐานไว้ที่เบธเอลรูปหนึ่ง และอีกรูปหนึ่งทรงประดิษฐานไว้ในเมืองดาน
30 และสิ่งนี้ได้เป็นบาปเพราะว่าประชาชน ได้ไปยังรูปหนึ่งที่เบธเอล และไปยังอีกรูปหนึ่งไกลไปจนถึงเมืองดาน
31 แล้วพระองค์ได้ทรงสร้างนิเวศที่ปูชนียสถานสูง ทรงกำหนดตั้งปุโรหิตจากหมู่ประชาชนทั้งปวง ผู้มิได้ เป็นคนเลวี
32 และเยโรโบอัมทรงกำหนดเทศกาลเลี้ยง ในวันที่สิบห้าของเดือนที่แปดเหมือนกับการ เลี้ยงที่อยู่ในยูดาห์ และพระองค์ทรงถวายเครื่องสัตวบูชาบนแท่นบูชา พระองค์ทรงกระทำในเบธเอลดังนี้แหละ คือถวายเครื่องสัตวบูชาแก่รูปลูกวัวที่พระองค์ได้ทรงสร้างไว้นั้น และพระองค์ทรงสถาปนาปุโรหิตใน เบธเอลประจำที่ปูชนียสถานสูง ซึ่งพระองค์ทรงสร้างไว้
33 พระองค์ทรงขึ้นไปยังแท่นบูชา ซึ่งพระองค์ ทรงสร้างไว้ที่เบธเอลในวันที่สิบห้าเดือนที่แปด ในเดือนซึ่งพระองค์ทรงดำริเอง และพระองค์ทรงกำหนดเทศกาลเลี้ยงสำหรับคนอิสราเอล และทรงขึ้นไปยังแท่นบูชาเพื่อถวายเครื่องหอม

1พงศ์กษัตริย์ 13
1 และดูเถิด คนของพระเจ้าคนหนึ่งได้ออกมาจากยูดาห์โดย พระวจนะของพระเจ้าไปยังที่เบธเอล เยโรโบอัมทรงยืนอยู่ที่แท่นเพื่อจะเผาเครื่องหอม
2 และชายคนนั้นได้ร้องกล่าวโทษแท่นนั้นโดยพระวจนะ ของพระเจ้าว่า "โอ แท่นบูชา แท่นบูชาพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า 'ดูเถิด โอรสองค์หนึ่งจะประสูติมาในราชวงศ์ของดาวิด ชื่อโยสิยาห์และบนเจ้า แท่นนี้จะฆ่าปุโรหิตแห่งปูชนียสถานสูงผู้ซึ่งเผาเครื่อง หอมบนเจ้า และเขาจะเผากระดูกคนบนเจ้า'"
3 และท่านก็ให้หมายสำคัญในวันเดียวกันนั้น กล่าวว่า "นี่เป็นหมายสำคัญที่พระเจ้าได้ตรัสว่า 'ดูเถิด เขาจะพังแท่นบูชาลงมาและมูลเถ้าซึ่งอยู่ บนนั้นจะถูกเทออก'"
4 และอยู่มาเมื่อพระราชาทรงสดับคำ กล่าวของคนของพระเจ้าซึ่งร้องกล่าวโทษแท่นนั้นที่เบธเอล เยโรโบอัมก็เหยียดพระหัตถ์ออกจากที่แท่น กล่าวว่า "จงจับเขาไว้" และพระหัตถ์ของพระองค์ซึ่งเหยียดออกต่อเขานั้นก็เหี่ยวแห้งไป พระองค์จะชักกลับเข้าหาตัวอีกก็ไม่ได้
5 แท่นบูชาก็พังลงด้วย และมูลเถ้าก็ร่วงลงมาจากแท่น ตามหมายสำคัญซึ่งคนของพระเจ้าได้ให้ไว้ โดยพระวจนะของพระเจ้า
6 และพระราชาตรัสกับคนของพระเจ้าว่า "จงวิงวอนขอพระกรุณาแห่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ขอจงอธิษฐานเพื่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะชักมือกลับเข้าหาตัวได้อีก" และคนของพระเจ้าก็วิงวอนต่อพระเจ้า และพระราชาก็ทรงชักพระหัตถ์กลับเข้าหา พระองค์ได้อีกและเป็นเหมือนเดิม
7 และพระราชาตรัสกับคนของพระเจ้าว่า "เชิญมาบ้านกับข้าพเจ้าเถิด และรับประทานด้วยกันข้าพเจ้าจะให้รางวัลแก่ท่าน"
8 และคนของพระเจ้าทูลพระราชาว่า "ถ้าท่านจะให้สักครึ่งราชสมบัติของท่าน ข้าพเจ้าจะไม่ไปกับท่าน และข้าพเจ้าจะไม่รับประทานขนมปังหรือดื่มน้ำในที่นี้
9 เพราะว่าพระวจนะของพระเจ้าบัญชาข้าพเจ้าไว้ อย่างนั้นว่า 'เจ้าอย่ากินขนมปังหรือดื่มน้ำหรือกลับ ไปตามทางที่เจ้ามานั้น'"
10 ดังนั้นท่านจึงไปเสียอีกทางหนึ่ง และไม่กลับไปตามทางที่ท่านมายังเบธเอล
11 มีผู้เผยพระวจนะแก่คนหนึ่งอาศัยอยู่ในเบธเอล และบุตรชายของท่านก็ได้มาบอกท่านถึงเรื่องราวทั้งสิ้น ซึ่งคนของพระเจ้าได้กระทำในวันนั้นที่เบธเอล ถ้อยคำซึ่งท่านได้กล่าวแก่พระราชา เขาทั้งหลายก็ได้เล่าให้บิดาของเขาฟังด้วย
12 และบิดาของเขาได้ถามเขาว่า "ท่านไปทางไหน" และบุตรชายทั้งหลายของเขาก็ชี้ทาง ซึ่งคนของพระเจ้าผู้มาจากยูดาห์ได้เดินไป
13 เขาจึงพูดกับบุตรชายของเขาว่า "จงผูกอานลาให้ข้า" เขาทั้งหลายจึงผูกอานลาให้เขา แล้วเขาก็ขึ้นขี่
14 เขาได้ไปตามคนของพระเจ้า และได้พบท่านนั่งอยู่ใต้ต้นก่อหลวงต้นหนึ่ง เขาจึงพูดกับท่านว่า "ท่านเป็นคนของพระเจ้าซึ่งมาจากยูดาห์หรือ" ท่านก็ตอบว่า "ใช่แล้ว"
15 เขาจึงตอบท่านว่า "เชิญมาบ้านกับข้าพเจ้าเถิด และมารับประทานอาหารบ้าง"
16 ท่านพูดว่า "ข้าพเจ้าจะกลับไปกับท่าน หรือเข้าไปพักกับท่านไม่ได้ ข้าพเจ้าจะไม่รับประทานอาหารหรือดื่มน้ำกับท่านในที่นี้
17 เพราะพระวจนะของพระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า 'เจ้าอย่ารับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่นั่น หรือกลับโดยทางที่เจ้าได้มา'"
18 และเขาจึงพูดกับท่านว่า "ข้าพเจ้าก็เป็นผู้เผยพระวจนะอย่างที่ท่านเป็นนั้นด้วย มีทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาบอกข้าพเจ้าโดยพระวจนะของ พระเจ้าว่า 'จงนำเขากลับมากับเจ้า ยังเรือนของเจ้าเพื่อเขาจะได้รับประทานอาหารและดื่มน้ำ'" แต่เขามุสาต่อท่าน
19 ดังนั้นท่านจึงไปกับเขา และได้รับประทานอาหารในเรือนของเขา และได้ดื่มน้ำ
20 และขณะที่ท่านนั่งอยู่ที่โต๊ะ พระวจนะของพระเจ้ามายัง ผู้เผยพระวจนะผู้ที่ได้นำท่านกลับ
21 และเขาร้องต่อคนของพระเจ้าผู้มาจากยูดาห์ว่า "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า 'เพราะเจ้าไม่เชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า และมิได้รักษาพระบัญญัติซึ่งพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของเจ้าบัญชาเจ้า
22 แต่เจ้าได้กลับมาและรับประทานอาหาร และดื่มน้ำในที่ซึ่งพระองค์ตรัสกับเจ้าว่า "อย่ารับประทานอาหารหรือดื่มน้ำ" ศพของเจ้าจะมิได้ไปถึงอุโมงค์ของบรรพบุรุษของเจ้า'"
23 และอยู่มาหลังจากที่ท่านได้รับประทานอาหารและ ดื่มน้ำแล้ว เขาก็ผูกอานลาให้ผู้เผยพระวจนะผู้ซึ่งเขาได้พากลับมา
24 และเมื่อท่านไป สิงห์ก็ออกมาพบท่านที่ถนนและฆ่าท่านเสีย และศพของท่านก็ถูกทิ้งไว้ในถนน และลาตัวนั้นก็ยืนอยู่ข้างๆท่าน สิงห์ก็ยืนอยู่ข้างๆท่านด้วย
25 และดูเถิด มีคนผ่านไป และได้เห็นศพทิ้งอยู่ในถนน และสิงห์ยืนอยู่ข้างศพนั้น เขาก็มาบอกกันในเมือง ที่ที่ผู้เผยพระวจนะแก่อยู่นั้น
26 และเมื่อผู้เผยพระวจนะผู้ที่นำท่านกลับมาจากทางทราบเรื่อง เขาพูดว่า "นั่นเป็นคนของพระเจ้า ผู้ไม่เชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า เพราะฉะนั้นพระเจ้าได้ทรงมอบท่านไว้กับสิงห์ ซึ่งได้ฉีกท่านและฆ่าท่านเสียตามคำซึ่งพระเจ้าตรัสกับท่าน"
27 เขาจึงพูดกับบุตรชายของเขาว่า "จงผูกอานลาให้พ่อ" แล้วเขาก็ผูกอานลาให้
28 เขาจึงไปและพบศพนั้นทิ้งอยู่ในถนน และลากับสิงห์ก็ยืนอยู่ข้างๆศพนั้น สิงห์มิได้กินศพนั้นหรือฉีกลานั้น
29 และผู้เผยพระวจนะก็ยกศพคนของพระเจ้าและวางไว้บนลา นำกลับมายังเมืองของผู้เผยพระวจนะแก่ เพื่อไว้ทุกข์ให้และฝังท่านเสีย
30 และเขาวางศพนั้นในที่วางศพของตนเอง และเขาทั้งหลายก็ไว้ทุกข์ให้กล่าวว่า "อนิจจาพี่น้องเอ๋ย"
31 เมื่อได้ฝังท่านไว้แล้ว เขาจึงพูดกับบุตรชายของตนว่า "เมื่อเราตาย จงฝังเราไว้ในที่ฝังศพซึ่งฝังคนของพระเจ้าไว้นั้น จงวางกระดูกของเราไว้ข้างกระดูกของท่าน
32 เพราะว่าคำพูดซึ่งท่านได้ร้องโดยพระวจนะของพระเจ้า กล่าวโทษแท่นบูชาในเบธเอล และต่อบรรดานิเวศแห่งปูชนียสถานสูงซึ่งอยู่ในหัวเมืองสะมาเรีย จะสำเร็จเป็นแน่"
33 ภายหลังจากสิ่งเหล่านี้ เยโรโบอัมมิได้หันกลับจากทางชั่วของพระองค์ แต่จากท่ามกลางประชาชนได้ชำระบางคนให้ บริสุทธิ์เป็นปุโรหิตประจำปูชนียสถานสูงนั้นอีก ผู้ใดที่พอใจเป็น ท่านก็แต่งตั้งเขาให้เป็นปุโรหิตประจำบรรดาปูชนียสถานสูง
34 และสิ่งนี้ได้เป็นบาปแก่ราชวงศ์เยโรโบอัม เพื่อจะอเปหิและทำลายราชวงศ์นั้นเสียจากพื้นแผ่นดินโลก

1พงศ์กษัตริย์ 14
1 ครั้งนั้นอาบียาห์โอรสของเยโรโบอัมประชวร
2 และเยโรโบอัมรับสั่งกับมเหสีของพระองค์ว่า "จงลุกขึ้นปลอมตัวของเธอ อย่าให้รู้ว่าเธอเป็นมเหสีของเยโรโบอัม และจงไปยังชีโลห์ ดูเถิด อาหิยาห์ผู้เผยพระวจนะอยู่ที่นั่น ผู้ได้กล่าวเรื่องฉันว่า ฉันจะได้เป็นกษัตริย์เหนือชนชาตินี้
3 เธอจงเอาขนมปังสิบก้อน และ ขนมหวานบ้างและน้ำผึ้งไหหนึ่ง ไปหาท่าน ท่านจะบอกเธอว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเด็กนั้น"
4 มเหสีของเยโรโบอัมก็กระทำดังนั้น พระนางลุกขึ้น เสด็จไปยังชีโลห์ เสด็จมาถึงบ้านของอาหิยาห์ ฝ่ายอาหิยาห์มองไม่เห็น เพราะว่าตาของท่านแข็งด้วยอายุของท่าน
5 พระเจ้าตรัสกับอาหิยาห์ว่า "ดูเถิด มเหสีของเยโรโบอัมกำลังมา เพื่อจะถามเจ้าถึงเรื่องโอรสของเขา เพราะเด็กนั้นป่วย เจ้าจงบอกเธออย่างนี้ๆ" เมื่อพระนางเสด็จไปถึง พระนางก็แสร้งกระทำเป็นสตรีคนอื่น
6 แต่เมื่ออาหิยาห์ได้ยินเสียงฝีพระบาทของพระนาง เมื่อพระนางเสด็จมาถึงประตูท่านจึงพูดว่า "ขอเชิญพระมเหสีของเยโรโบอัมเสด็จเข้ามาข้างใน ไฉนพระองค์จึงทรงแสร้งกระทำเป็นคนอื่นเล่า เพราะข้าพระบาทได้รับพระบัญชาให้ ทูลข่าวอันน่าสลดใจแก่พระนาง
7 ขอเสด็จกลับไปทูลเยโรโบอัมว่า 'พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า "เพราะเราได้เชิดชูเจ้าขึ้นจากประชากร และได้กระทำให้เจ้าเป็นประมุขเหนือ อิสราเอลประชากรของเรา
8 และได้ฉีกราชอาณาจักรจากราชวงศ์ของดาวิดมา ให้แก่เจ้า และถึงกระนั้นเจ้าก็ไม่เป็นเหมือนดาวิดผู้รับใช้ของเรา ผู้ได้รักษาบัญญัติทั้งหลายของเรา และติดตามเราด้วยสุดจิตใจของเขา กระทำสิ่งซึ่งเป็นที่ถูกต้องพอตาของเรา
9 แต่เจ้าได้กระทำชั่วยิ่งกว่าคนทั้งปวงที่อยู่ก่อนเจ้า และได้ไปสร้างพระอื่นและรูปหล่อ และได้กระทำให้เราโกรธ และได้เหวี่ยงเราไว้เสียเบื้องหลังของเจ้า
10 เพราะฉะนั้น ดูเถิด เราจะนำเหตุร้ายมาเหนือราชวงศ์ของเยโรโบอัม และจะตัดชายทุกคนเสียจากเยโรโบอัม ทั้งทาสและเสรีชนในอิสราเอล และจะผลาญราชวงศ์เยโรโบอัมเสียอย่างสิ้นเชิง อย่างที่คนเผามูลสัตว์ให้ไหม้จนสิ้น
11 ผู้ใดในวงศ์เยโรโบอัมที่ตายในเมือง สุนัขจะกิน และผู้ใดที่ตายในทุ่ง นกในอากาศจะกิน เพราะพระเจ้าทรงลั่นพระวาจาไว้'"
12 เพราะฉะนั้นขอเชิญเสด็จกลับไปยังพระตำหนักของพระนาง เมื่อพระบาทของฝ่าพระบาทเหยียบเมือง กุมารนั้นก็จะถึงแก่มรณา
13 และอิสราเอลทั้งปวงจะไว้ทุกข์ให้เธอ และจะฝังศพเธอไว้ เพราะเธอผู้เดียวเท่านั้นในวงศ์เยโรโบอัม ที่จะไปถึงหลุมศพ เพราะในตัวเธอนั้นยังเห็น บางสิ่งที่พอพระทัยพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ในราชวงศ์ของเยโรโบอัม
14 ยิ่งกว่านั้นอีก พระเจ้าจะทรงตั้งกษัตริย์อีกองค์หนึ่งเหนืออิสราเอล เพื่อพระองค์ผู้ซึ่งจะกำจัดราชวงศ์ของเยโรโบอัม เสียในวันนี้
15 และแต่นี้ต่อไปพระเจ้าจะทรงตีอิสราเอล ดุจไม้อ้อสั่นอยู่ในน้ำ และจะทรงถอนรากอิสราเอลออกเสียจากแผ่นดินอันดีนี้ ซึ่งพระองค์ทรงยกให้แก่บรรพบุรุษของเขา และกระจายเขาไปฟากตะวันออกของแม่น้ำยูเฟรติส เพราะเขาทั้งหลายได้สร้างอาเชริมของเขา เป็นเหตุให้พระเจ้าทรงพระพิโรธ
16 และพระองค์จะทรงมอบอิสราเอลไว้เพราะบาปของ เยโรโบอัม ซึ่งเขาได้กระทำบาปและกระทำให้อิสราเอลทำบาปด้วย"
17 แล้วมเหสีของเยโรโบอัมทรงลุกขึ้นเสด็จออกไป และมาถึงเมืองทีรซาห์ และเมื่อพระนางเสด็จถึงธรณีทวารพระตำหนักกุมารก็ถึง แก่มรณา
18 และอิสราเอลทั้งปวงก็ฝังศพเธอและไว้ทุกข์ให้เธอ ตามพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งพระองค์ตรัสโดยอาหิยาห์ผู้เผย พระวจนะผู้รับใช้ของพระองค์
19 ฝ่ายราชกิจนอกนั้นของเยโรโบอัม กล่าวถึงว่าพระองค์ทรงทำศึก และทรงครอบครองอย่างไรนั้น ดูเถิด ก็บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารแห่งพระราชา ประเทศอิสราเอล
20 เวลาที่เยโรโบอัมครอบครองนั้นเป็นยี่สิบสองปี และพระองค์ก็ล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และนาดับราชโอรสของพระองค์ก็ขึ้นครองแทน
21 ฝ่ายเรโหโบอัมราชโอรสของ ซาโลมอนทรงครอบครองอยู่ในยูดาห์ เมื่อเรโหโบอัมขึ้นครองนั้น มีพระชนม์มายุสี่สิบเอ็ดพรรษา และทรงครองในเยรูซาเล็มสิบเจ็ดปี เป็นนครซึ่งพระเจ้าได้ทรงเลือกจากเผ่าอิสราเอล เพื่อจะสถาปนาพระนามของพระองค์ที่นั่น พระชนนีของพระราชามีพระนามว่านาอามาห์คนอัมโมน
22 และยูดาห์ได้กระทำชั่วในสายพระเนตรพระเจ้า และเขาทั้งหลายกระทำให้พระองค์หวงแหน เพราะบาปทั้งหลายซึ่งเขาได้กระทำนั้น มากเสียกว่าบรรพบุรุษของเขาได้กระทำ
23 เพราะเขาได้สร้างปูชนียสถานสูงด้วย และเสาศักดิ์สิทธิ์และอาเชริมสำหรับตัวเขาไว้ บนเนินเขาสูงๆ ทุกเนิน และใต้ต้นไม้เขียวทุกต้น
24 และมีเทวทาสในแผ่นดินนั้นด้วย และเขาได้กระทำตามบรรดาสิ่งน่าเกลียดน่าชังแห่ง ประชาชาติทั้งหลาย ซึ่งพระเจ้าทรงขับไล่ออกไปให้พ้นหน้าประชาชนอิสราเอล
25 ในปีที่ห้าแห่งกษัตริย์เรโหโบอัมชิชักกษัตริย์อียิปต์ได้ ขึ้นมารบกรุงเยรูซาเล็ม
26 ท่านได้เก็บทรัพย์สมบัติในพระนิเวศของพระเจ้า และทรัพย์สมบัติในพระราชวังของกษัตริย์ ท่านได้เก็บไปเสียทุกอย่าง และท่านได้เก็บโล่ทองคำซึ่งซาโลมอนได้สร้างนั้นไปหมดด้วย
27 และกษัตริย์เรโหโบอัมได้กระทำโล่ทองสัมฤทธิ์แทนไว้ และมอบไว้ในมือของพวกทหารรักษาพระองค์ผู้เฝ้าทวาร พระราชวัง
28 เมื่อพระราชาเสด็จเข้าไปยังพระนิเวศของพระเจ้า ทหารรักษาพระองค์ก็ถือโล่ออกแล้วนำกลับไปเก็บไว้ ในห้องทหารรักษาพระองค์ตามเดิม
29 ฝ่ายพระราชกิจนอกนั้นของเรโหโบอัม และสรรพสิ่งที่ทรงกระทำมิได้บันทึกไว้ในพงศาวดาร แห่งพระราชาประเทศยูดาห์หรือ
30 มีสงครามระหว่างเรโหโบอัมและเยโรโบอัมเสมอไป
31 และเรโหโบอัมก็ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของ พระองค์และเขาก็ฝังไว้กับบรรพบุรุษของพระองค์ในนครดาวิด พระนามของชนนีของพระองค์คือ นาอามาห์คนอัมโมนและอาบียัมราชโอรสก็ขึ้นครองแทน

1พงศ์กษัตริย์ 15
1 ในปีที่สิบแปดแห่งรัชกาลเยโรโบอัมบุตรเนบัท อาบียัมได้ขึ้นครองเหนือประเทศยูดาห์
2 พระองค์ทรงครองในเยรูซาเล็มสามปี พระนามของพระชนนีคือ มาอาคาห์ธิดาของอาบีชาโลม
3 พระองค์ดำเนินตามการบาปทุกอย่าง ซึ่งราชบิดาของพระองค์ได้กระทำต่อพระพักตร์พระองค์ และพระทัยของพระองค์ก็ไม่บริสุทธิ์ต่อพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของพระองค์ ดังพระทัยของดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์
4 อย่างไรก็ดี เพื่อทรงเห็นแก่ดาวิด พระเยโฮวาห์พระเจ้าของพระองค์ทรงประทานประทีปแก่พระองค์ในเยรูซาเล็ม คือทรงตั้งราชโอรสแทน และเพื่อทรงสถาปนาเยรูซาเล็ม
5 เพราะว่าดาวิดทรงกระทำ สิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระเจ้า และมิได้ทรงหันไปจากสิ่งใด ซึ่งพระเจ้าทรงบัญชาตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ นอกจากเรื่องอุรีอาห์คนฮิตไทต์
6 มีศึกระหว่างเรโหโบอัมกับเยโรโบอัม ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์
7 ราชกิจนอกนั้นของอาบียัมและสรรพสิ่งซึ่งพระองค์ ทรงกระทำ มิได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารแห่งพระราชา ประเทศยูดาห์หรือ และมีการศึกระหว่างอาบียัมและเยโรโบอัม
8 และอาบียัมก็ล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษและ เขาทั้งหลายก็ฝังพระศพพระองค์ไว้ในนครดาวิด และอาสาราชโอรสของพระองค์ก็ขึ้นครองแทน
9 ในปีที่ยี่สิบแห่งรัชกาลเยโรโบอัม พระราชาของอิสราเอล อาสาได้ขึ้นครองเหนือประเทศยูดาห์
10 และพระองค์ทรงครองอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มสี่สิบเอ็ดปี พระอัยกีของพระองค์คือมาอาคาห์ ธิดาของอาบีชาโลม
11 และอาสาทรงกระทำสิ่งที่ถูกต้องใน สายพระเนตรพระเจ้า ดั่งดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์ได้ทรงกระทำนั้น
12 พระองค์ทรงกวาดล้างเทวทาสเสียจากแผ่นดิน และรื้อถอนรูปเคารพทั้งสิ้น ซึ่งบรรพบุรุษได้กระทำไว้นั้นเสีย
13 และพระองค์ทรงถอดมาอาคาห์พระอัยกีเสียจากตำแหน่ง เพราะพระนางมีรูปเคารพน่าเกลียดน่าชังสร้างไว้เพื่อ อาเชราห์ และอาสาทรงฟันรูปเคารพของพระนางลง และทรงเผาเสียที่ลำธารขิดโรน
14 แต่มิได้ทรงรื้อปูชนียสถานสูงเหล่านั้น ถึงอย่างนั้นพระทัยของอาสาก็บริสุทธิ์ต่อ พระเจ้าตลอดรัชสมัยของพระองค์
15 พระองค์ทรงนำ เงิน ทองคำ และเครื่องใช้ต่างๆ อันเป็นสัญญาถวายของราชบิดาของพระองค์ และของสัญญาถวายของพระองค์เองมายังพระนิเวศของพระเจ้า
16 มีการศึกระหว่างอาสา และบาอาชา พระราชาแห่งอิสราเอล ตลอดสมัยของพระองค์ทั้งสอง
17 บาอาชาพระราชาแห่ง อิสราเอลได้ทรงยกไปต่อสู้กับยูดาห์ และได้สร้างเมืองรามาห์ เพื่อมิให้ผู้ใดเข้าไปเฝ้าหรือออกมา จากอาสาพระราชาแห่งยูดาห์
18 แล้วอาสาทรงนำเงินและทองคำ ซึ่งเหลืออยู่ในทรัพย์สินแห่งพระนิเวศ ของพระเจ้าและทรัพย์สินของพระราชวัง มอบไว้ในมือของข้าราชการของพระองค์ และกษัตริย์อาสาทรงใช้เขาไปเฝ้า เบนฮาดัดโอรสของทับริมโมน ผู้เป็นโอรสของเฮซีโอนกษัตริย์แห่งซีเรีย ผู้อยู่ในเมืองดามัสกัสว่า
19 "มีพันธมิตรระหว่างข้าพระบาท และฝ่าพระบาทระหว่างพระชนกของข้าพระบาท และของฝ่าพระบาท ดูเถิด ข้าพระบาทได้ส่งบรรณาการเป็นเงิน และทองคำมายังฝ่าพระบาท ขอฝ่าพระบาทเสด็จไปเลิก พันธมิตรกับบาอาชาพระราชาแห่งอิสราเอลเสีย เพื่อเขาจะได้ยกทัพกลับไปเสียจากข้าพระบาท"
20 แล้วเบนฮาดัดก็ทรงเชื่อฟังกษัตริย์อาสาและส่งผู้บังคับ บัญชาทหารของพระองค์ไปรบหัวเมืองอิสราเอล และได้โจมตีเมืองอิโยน ดาน เอเบลเบธ มาอาคาห์ และหมดท้องถิ่นคินเนโรท และหมดดินแดนนัฟทาลี
21 และอยู่มาเมื่อบาอาชาทรงทราบ พระองค์ก็ทรงหยุดสร้างเมืองรามาห์ และพระองค์ประทับที่เมืองทีรซาห์
22 แล้วกษัตริย์อาสาทรงประกาศไปทั่วยูดาห์ ไม่เว้นผู้ใดเลย เขาทั้งหลายก็มารื้อเอาหินของเมืองรามาห์ และตัวไม้ของเมืองนั้นซึ่งบาอาชาทรงสร้างค้างอยู่ กษัตริย์อาสาก็ทรงเอามาสร้างเมืองเกบาแห่ง เบนยามินและเมืองมิสปาห์
23 พระราชกิจนอกนั้นของกษัตริย์อาสา ทั้งยุทธพลังทั้งสิ้นของพระองค์ และบรรดาสิ่งซึ่งพระองค์ทรงกระทำ และหัวเมืองซึ่งพระองค์ทรงสร้าง มิได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารของพระราชาประเทศยูดาห์หรือ แต่เมื่อทรงพระชราแล้วก็เกิดพระโรคขึ้นที่พระบาท
24 และอาสาก็ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังไว้กับบรรพบุรุษของพระองค์ที่ในนครดาวิด ราชบิดาของพระองค์และเยโฮชาฟัทราชโอรสของพระองค์ ก็ขึ้นครองแทน
25 นาดับราชโอรสของเยโรโบอัม ได้เริ่มครองเหนืออิสราเอลในปีที่สองแห่ง รัชกาลอาสาพระราชาแห่งยูดาห์ และพระองค์ทรงครองเหนืออิสราเอลสองปี
26 พระองค์ทรงกระทำชั่วในสายพระเนตรพระเจ้า และทรงดำเนินในทางแห่งราชบิดาของพระองค์ และในบาปซึ่งพระองค์ทรงกระทำให้อิสราเอลทำบาปด้วย
27 บาอาชาบุตรอาหิยาห์ เชื้อสายของยิสสาคาร์คิดกบฏต่อพระองค์ และบาอาชาทรงประหารพระองค์เสียที่กิบเบโธน ซึ่งเป็นแดนเมืองของฟีลิสเตีย เพราะนาดับและคนอิสราเอลทั้งสิ้นกำลังล้อมเมือง กิบเบโธนอยู่
28 ดังนั้นบาอาชาจึงสำเร็จโทษพระองค์เสียในปีที่สามแห่งรัชกาลอาสากษัตริย์แห่งยูดาห์ และขึ้นครองแทน
29 พอพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ก็ทรงประหารราชวงศ์ ของเยโรโบอัมเสียสิ้น ไม่มีผู้ใดรอดมาสักคนเดียวเลย พระองค์ทำลายเสียสิ้นตามพระดำรัสแห่งพระเจ้าซึ่ง พระองค์ตรัสโดยอาหิยาห์ชาวชีโลห์ผู้รับใช้ของพระองค์
30 เป็นเพราะบาปซึ่งเยโรโบอัมได้ทรงกระทำ และซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำให้อิสราเอลทำบาปด้วย และเพราะพระองค์ทรงกระทำให้พระเยโฮวาห์พระเจ้า ของอิสราเอลทรงพระพิโรธ
31 ส่วนพระราชกิจนอกนั้นของนาดับ และบรรดาสิ่งซึ่งพระองค์ทรงกระทำ มิได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารของพระราชาแห่ง อิสราเอลหรือ
32 มีศึกระหว่างอาสาและบาอาชาพระราชาแห่ง อิสราเอลตลอดสมัยของพระองค์ทั้งสอง
33 ในปีที่สามแห่งรัชกาลอาสาพระราชาแห่งยูดาห์ บาอาชาบุตรอาหิยาห์ได้ทรงเริ่มครอบครองเหนือ อิสราเอลทั้งสิ้นที่เมืองทีรซาห์ และได้ทรงครอบครองอยู่ยี่สิบสี่ปี
34 พระองค์ทรงกระทำชั่วในสายพระเนตรพระเจ้า และดำเนินในมรรคาของเยโรโบอัม และในบาปซึ่งพระองค์ทรงกระทำให้อิสราเอลทำบาปด้วย

1พงศ์กษัตริย์ 16
1 พระวจนะของพระเจ้าได้มาถึงเยฮูบุตรฮานานีกล่าว โทษบาอาชาว่า
2 "ในเมื่อเราได้เชิดชูเจ้าขึ้นมาจากผงคลี และกระทำให้เจ้าเป็นประมุขเหนืออิสราเอล ประชากรของเรา และเจ้าได้ดำเนินตามมรรคาของเยโรโบอัม และได้กระทำให้อิสราเอลประชากรของเราทำบาปด้วย กระทำให้เราโกรธด้วยบาปของเขาทั้งหลาย
3 ดูเถิด เราจะกวาดล้างบาอาชาและราชวงศ์ของเขา เสียอย่างสิ้นเชิง และกระทำให้ราชวงศ์ของเจ้าเหมือนกับราชวงศ์ของ เยโรโบอัมบุตรเนบัท
4 ผู้ใดในวงศ์บาอาชาที่ตายในเมืองสุนัขจะกิน และผู้ใดที่ตายในทุ่งนานกในอากาศจะกิน"
5 ส่วนพระราชกิจนอกนั้นของบาอาชา และบรรดาสิ่งที่ท่านได้กระทำและยุทธพลังของท่าน มิได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารแห่งพระราชา ประเทศอิสราเอลหรือ
6 และบาอาชาก็ล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ ของพระองค์และเขาก็ฝังไว้ที่เมืองทีรซาห์ และเอลาห์ราชโอรสก็ขึ้นครองแทนพระองค์
7 ยิ่งกว่านั้นอีกพระวจนะของพระเจ้าได้ มาถึงโดยผู้เผยพระวจนะเยฮูบุตรฮานานี กล่าวโทษบาอาชาและเชื้อวงศ์ของท่าน ทั้งเรื่องความชั่วทั้งสิ้นซึ่งท่านกระทำในสายพระเนตรของ พระเจ้า กระทำให้พระองค์โกรธด้วยพระราชกิจแห่งพระหัตถ์ของท่าน ในการที่เหมือนกับราชวงศ์ของเยโรโบอัม และเรื่องที่ท่านทรงทำลายราชวงศ์นั้นด้วย
8 ในปีที่ยี่สิบหกแห่งรัชกาลอาสากษัตริย์ของยูดาห์ เอลาห์โอรสบาอาชาทรงเริ่มขึ้นครองเหนืออิสราเอล ในเมืองทีรซาห์ และทรงครอบครองอยู่สองปี
9 แต่ศิมรีข้าราชการของพระองค์ ผู้บัญชาการกองรถรบของพระองค์ กึ่งหนึ่งได้คิดกบฏต่อพระองค์ เมื่อพระองค์ประทับที่เมืองทีรซาห์ พระองค์ทรงดื่มจนเมาในเรือนของอารซา ผู้ครอบครองราชสำนักในทีรซาห์
10 ศิมรีได้เข้ามาฟันพระองค์ล้มลงและประหารพระองค์เสีย ในปีที่ยี่สิบเจ็ดแห่งรัชกาลอาสาพระราชาของยูดาห์ แล้วก็ขึ้นครองแทนพระองค์
11 และอยู่มาเมื่อพระองค์ทรงเริ่มครอบครอง พอพระองค์เสด็จประทับเหนือราชบัลลังก์ พระองค์ทรงประหารราชวงศ์ของบาอาชาเสียสิ้น พระองค์มิได้ทรงเหลือชายสักคนหนึ่งที่เป็นญาติ หรือมิตรสหายของบาอาชาไว้เลย
12 ศิมรีทรงทำลายราชวงศ์ของบาอาชาดังนี้แหละ ตามพระวจนะของพระเจ้าซึ่งพระองค์ตรัสโดยเยฮู ผู้เผยพระวจนะกล่าวโทษบาอาชา
13 เหตุด้วยบาปทั้งสิ้นของบาอาชาและบาปของเอลาห์ ราชโอรสของพระองค์ซึ่งได้กระทำบาป และซึ่งพระองค์ทั้งสองได้กระทำให้ชนอิสราเอลทำบาปด้วย กระทำให้พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่ง อิสราเอลทรงกริ้วด้วยเรื่องรูปเคารพของพระองค์นั้น
14 ส่วนพระราชกิจนอกนั้นของเอลาห์ และบรรดาสิ่งซึ่งพระองค์ทรงกระทำ มิได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดาร แห่งพระราชาประเทศอิสราเอลหรือ
15 ในปีที่ยี่สิบเจ็ดแห่งรัชกาลอาสากษัตริย์ประเทศยูดาห์ ศิมรีทรงครอบครองเจ็ดวัน ณ เมืองทีรซาห์ ฝ่ายพวกพลได้ตั้งค่ายรบเมืองกิบเบโธน ซึ่งเป็นของคนฟีลิสเตีย
16 และพวกพลซึ่งตั้งค่ายอยู่นั้นทราบ เขากล่าวกันว่า "ศิมรีได้กบฏและท่านได้ปลงพระชนม์พระราชาเสียแล้ว" เพราะฉะนั้นอิสราเอลทั้งปวงก็สถาปนาอมรี ผู้บัญชาการกองทัพให้เป็นพระราชาเหนือ อิสราเอลในวันนั้นที่ในค่าย
17 อมรีจึงเสด็จขึ้นไปจากกิบเบโธน และอิสราเอลทั้งปวงก็ขึ้นไปด้วย เขาทั้งหลายเข้าล้อมเมืองทีรซาห์
18 และอยู่มาเมื่อศิมรีทรงเห็นว่าเมืองนั้นแตกแล้ว ก็เสด็จเข้าไปในป้อมของพระราชวัง และทรงเผาพระราชวังเสีย และทรงสิ้นพระชนม์ในกองไฟด้วย
19 เหตุด้วยบาปซึ่งพระองค์ทรงกระทำไว้ คือทรงกระทำชั่วในสายพระเนตรพระเจ้า ดำเนินอยู่ในมรรคาของเยโรโบอัม และด้วยเหตุบาปซึ่งพระองค์ทรงกระทำ ทรงกระทำให้อิสราเอลทำบาปด้วย
20 ส่วนพระราชกิจนอกนั้นของศิมรีและการกบฏ ซึ่งพระองค์ทรงกระทำมิได้บันทึกไว้ในหนังสือ พงศาวดารแห่งพระราชาอิสราเอลหรือ
21 แล้วชนชาติอิสราเอลก็แบ่งออกเป็นสองส่วน ครึ่งหนึ่งของประชาชนติดตามทิบนีบุตรกีนัท เชิญท่านให้เป็นกษัตริย์ และอีกครึ่งหนึ่งติดตามอมรี
22 แต่ประชาชนผู้ติดตามอมรีได้รบชนะ ประชาชนผู้ติดตามทิบนีบุตรกีนัท ทิบนีจึงสิ้นชีวิตและอมรีก็ขึ้นเป็นกษัตริย์
23 ในปีที่สามสิบเอ็ดแห่งรัชกาลอาสา พระราชาแห่งยูดาห์ อมรีได้เริ่มต้นครอบครองอยู่เหนืออิสราเอล และทรงครอบครองอยู่สิบสองปี พระองค์ทรงครอบครองในเมืองทีรซาห์หกปี
24 พระองค์ทรงซื้อภูเขาสะมาเรียจากเชเมอร์เงินสองตะลันต์ และพระองค์ทรงเสริมภูเขานั้นให้เป็นป้อมและทรงขนานนามเมือง ที่พระองค์ทรงสร้างนั้นว่าสะมาเรีย ตามชื่อของเชเมอร์ ผู้เป็นเจ้าของภูเขานั้น
25 อมรีได้ทรงกระทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรพระเจ้า และทรงกระทำชั่วมากยิ่งกว่าบรรดากษัตริย์ผู้อยู่ก่อนพระองค์
26 เพราะว่าพระองค์ทรงดำเนินตามมรรคาทั้งสิ้นของ เยโรโบอัมบุตรเนบัท และตามบาปซึ่งพระองค์กระทำให้อิสราเอลทำบาปด้วย กระทำให้พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลพิโรธด้วย รูปเคารพของเขาทั้งหลาย
27 ส่วนพระราชกิจนอกนั้นของอมรีซึ่งพระองค์ทรงกระทำ และยุทธพลังซึ่งพระองค์ทรงสำแดง มิได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารแห่งพระราชา ประเทศอิสราเอลหรือ
28 และอมรีก็ล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังไว้ในสะมาเรีย และอาหับราชโอรสของพระองค์ก็ขึ้นครองแทนพระองค์
29 ในปีที่สามสิบแปดแห่งรัชกาลอาสาพระราชาของ ยูดาห์ อาหับราชโอรสของอมรีได้เริ่มครอบครองเหนืออิสราเอล และอาหับราชโอรสของอมรีได้ครองเหนืออิสราเอลใน เมืองสะมาเรียยี่สิบสองปี
30 และอาหับโอรสของอมรีได้กระทำชั่วในสายพระเนตรพระเจ้า มากยิ่งเสียกว่าบรรดาพระราชาที่อยู่ก่อนพระองค์
31 และอยู่มาประหนึ่งว่า การที่พระองค์ดำเนินในบาปของเยโรโบอัมบุตรเนบัทนั้น เป็นสิ่งเล็กน้อย พระองค์ทรงรับเยเซเบลพระราชธิดาของเอ็ทบาอัล พระราชาของชาวไซดอนมาเป็นมเหสี และไปปรนนิบัติพระบาอัล และนมัสการพระนั้น
32 พระองค์ทรงสร้างแท่นบูชาพระบาอัล ในพระนิเวศพระบาอัลซึ่งพระองค์ได้ทรง สร้างไว้ในเมืองสะมาเรีย
33 และอาหับทรงสร้างอาเชราห์ อาหับทรงกระทำการที่กระทำให้พระเยโฮวาห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลทรงพระพิโรธ มากยิ่งกว่าบรรดาพระราชาซึ่งอยู่มาก่อนพระองค์
34 ในรัชกาลของพระองค์ฮีเอลชาวเบธเอลได้สร้างเมืองเยรีโค ท่านได้วางรากเมืองนั้นโดยต้องเสียอาบีรัมบุตรหัวปีของท่าน และตั้งประตูเมืองโดยต้องเสียเสกุบบุตรสุดท้องของท่าน ตามพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งพระองค์ตรัสโดยโยชูวาบุตรนูน

1พงศ์กษัตริย์ 17

1 ฝ่ายเอลียาห์ชาวทิชบีผู้ซึ่งตั้งอาศัยอยู่ในกิเลอาด ได้ทูลอาหับว่า "พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้ซึ่งข้าพระบาทปฏิบัติทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด จะไม่มีน้ำค้างหรือฝนในปีเหล่านี้ นอกจากตามคำของข้าพระบาท"
2 แล้วพระวจนะของพระเจ้ามายังท่านว่า
3 "จงออกไปจากที่นี่และหันไปทางตะวันออก และซ่อนตัวอยู่ที่ข้างลำธารเครีท ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน
4 เจ้าจะดื่มน้ำจากลำธาร และเราได้บัญชาให้กาเลี้ยงเจ้าที่นั่น"
5 ท่านจึงไปและกระทำตามพระวจนะของพระเจ้า ท่านไปอาศัยอยู่ที่ข้างลำธารเครีท ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน
6 และกาก็นำขนมปังและเนื้อมาให้ท่านในเวลาเช้า และนำขนมปังและเนื้อมาในเวลาเย็นและท่านก็ดื่ม น้ำจากลำธาร
7 และต่อมาภายหลังลำธารก็แห้ง เพราะไม่มีฝนในแผ่นดิน
8 และพระวจนะของพระเจ้ามายังท่านว่า
9 "ลุกขึ้นไปยังเมืองศาเรฟัทเถิด ซึ่งขึ้นแก่เมืองไซดอน และอาศัยอยู่ที่นั่น ดูเถิด เราได้บัญชาหญิงม่ายคนหนึ่งที่นั่นให้เลี้ยงเจ้า"
10 ท่านจึงลุกขึ้นไปยังเมืองศาเรฟัท และเมื่อมาถึงประตูเมือง ดูเถิด หญิงม่ายคนหนึ่งที่นั่นกำลังเก็บฟืน ท่านจึงเรียกนางว่า "ขอน้ำเล็กน้อยใส่ภาชนะมาให้ฉัน เพื่อฉันจะได้ดื่มน้ำ"
11 และขณะเมื่อนางจะไปเอาน้ำมา ท่านก็เรียกนางแล้วบอกว่า "ขอนำอาหารใส่มือมาให้ฉันสักหน่อยหนึ่ง"
12 และนางตอบว่า "พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ดิฉันไม่มีอะไรที่ปิ้งเสร็จ มีแต่แป้งสักกำมือหนึ่งในหม้อ และน้ำมันเล็กน้อยที่ในไห บัดนี้ดิฉันกำลังเก็บฟืนเล็กน้อย เพื่อจะเข้าไปทำสำหรับตัวดิฉัน และบุตรชายของดิฉัน เพื่อเราจะได้กินแล้วก็จะตาย"
13 และเอลียาห์บอกนางว่า "อย่ากลัวเลย จงไปทำตามที่เจ้าพูด แต่จงทำขนมก้อนเล็กให้ฉันก่อน แล้วเอามาให้ฉัน ภายหลังจึงทำสำหรับตัวเจ้าและบุตรของเจ้า
14 เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า 'แป้งในหม้อนั้นจะไม่หมด และน้ำมันในไหนั้นจะไม่ขาด จนกว่าจะถึงวันที่พระเจ้าทรงส่งฝนลงมายังพื้นดิน'"
15 นางก็ไปกระทำตามคำของเอลียาห์ นาง ตัวท่านและครอบครัวของนางก็รับประทานอยู่หลายวัน
16 แป้งในหม้อก็ไม่หมด น้ำมันในไหก็ไม่ขาด ตามพระวจนะของพระเจ้าซึ่งตรัสทางเอลียาห์
17 และอยู่มาหลังจากนี้ บุตรชายของหญิงคนนั้น ผู้เป็นเจ้าของบ้านก็ล้มป่วย อาการป่วยนั้นก็สาหัส จนไม่มีลมหายใจเหลืออยู่แล้ว
18 นางจึงกล่าวแก่เอลียาห์ว่า "โอ คนของพระเจ้า เจ้าข้า ฉันมีเรื่องอะไรเกี่ยวข้องกับท่าน ท่านได้มาหาฉัน เพื่อฟื้นให้ทรงระลึกถึงความผิดของฉัน และกระทำให้บุตรของฉันตาย"
19 และท่านก็พูดกับนางว่า "เอาบุตรของเจ้ามาให้ฉันเถิด" ท่านก็นำเขาไปจากอกของนาง อุ้มขึ้นไปที่ห้องชั้นบนที่อาศัยอยู่ และวางเขาไว้บนที่นอนของท่านเอง
20 และท่านร้องทูลพระเจ้าว่า "ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพระองค์ พระองค์ทรงนำเหตุร้ายมา จนกระทั่งหญิงม่ายนี้ที่ข้าพระองค์อาศัยอยู่ด้วยทีเดียวหรือ โดยที่ทรงประหารบุตรของนางเสีย"
21 แล้วท่านก็เหยียดตัวลงทับเด็กนั้นสามครั้ง และร้องทูลพระเจ้าว่า "ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอชีวิตของเด็กคนนี้มาเข้าในตัวเขาอีก"
22 และพระเจ้าทรงฟังเสียงของเอลียาห์ และชีวิตของเด็กนั้นมาเข้าในตัวเขาอีก และเขาก็ฟื้นขึ้น
23 และเอลียาห์ก็อุ้มเด็กนั้น นำลงมาจากห้องชั้นบนเข้าไปในเรือน และมอบเขาให้แก่มารดาของเด็กและเอลียาห์บอกว่า "ดูซิ บุตรของเจ้ายังมีชีวิตอยู่"
24 และหญิงนั้นพูดกับเอลียาห์ว่า "คราวนี้ดิฉันทราบแล้วว่า ท่านเป็นคนของพระเจ้า และพระวจนะของพระเจ้าอยู่ในปากของท่านจริงๆ"

1พงศ์กษัตริย์ 18
1 และอยู่ต่อมาหลายวัน พระวจนะของพระเจ้ามาถึงเอลียาห์ในปีที่สามว่า "ไปซี และแสดงตัวของเจ้าต่ออาหับ และเราจะส่งฝนมาเหนือพื้นดิน"
2 เอลียาห์ก็ไปแสดงตัวต่ออาหับ การกันดารอาหารนั้นสาหัสมากในสะมาเรีย
3 และอาหับรับสั่งเรียกโอบาดีห์ผู้เป็นอธิบดีกรมวัง (ฝ่ายโอบาดีห์นั้นเคารพพระเจ้ายิ่งนัก
4 และเมื่อเยเซเบลกำจัดผู้เผยพระวจนะ ของพระเจ้าออกไป โอบาดีห์ได้นำผู้เผยพระวจนะหนึ่งร้อย คนซ่อนไว้ตามถ้ำแห่งละห้าสิบคน และเลี้ยงเขาทั้งหลายด้วยขนมปังและน้ำ)
5 และอาหับรับสั่งโอบาดีห์ว่า "จงไปให้ทั่วพื้นแผ่นดินไปหาธารน้ำพุ และไปให้ทั่วทุกหุบเขา ชะรอยเราจะพบหญ้า และรักษาชีวิตม้าและล่อให้คงอยู่ได้ และไม่ต้องสูญเสียสัตว์ไปบ้าง"
6 ดังนั้นเขาก็แบ่งดินแดนกันเพื่อจะออกไปค้น อาหับเสด็จไปทางหนึ่ง ฝ่ายโอบาดีห์ไปอีกทางหนึ่ง
7 เมื่อโอบาดีห์กำลังไปตามทาง ดูเถิด เอลียาห์ได้พบท่าน และโอบาดีห์ก็จำท่านได้ จึงซบหน้าลงพูดว่า "เอลียาห์ เจ้านายของข้าพเจ้า เป็นตัวท่านเองจริงหรือ"
8 และท่านก็ตอบเขาว่า "ตัวฉันเอง จงไปบอกเจ้านายของท่านว่า 'ดูเถิด เอลียาห์อยู่ที่นี่'"
9 และเขากล่าวว่า "ข้าพเจ้าได้กระทำผิดประการใด ท่านจึงจะมอบผู้รับใช้ของท่านไว้ในพระหัตถ์ของอาหับ ให้ประหารข้าพเจ้าเสีย
10 พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ไม่มีประชาชาติหรือราชอาณาจักรใด ที่เจ้านายของข้าพเจ้ามิได้ส่งคนไปเสาะหาท่าน และเมื่อเขาทั้งหลายกราบทูลว่า 'เขาไม่อยู่ที่นี่ พระเจ้าข้า' พระองค์ก็ให้ประชาชาติหรือราชอาณาจักรสาบานว่า เขาทั้งหลายมิได้พบท่าน
11 และคราวนี้ท่านกล่าวว่า 'จงไปบอกเจ้านายของท่านว่า "ดูเถิด เอลียาห์อยู่ที่นี่'"
12 พอข้าพเจ้าไปจากท่านแล้ว พระวิญญาณของพระเจ้าจะมาพาท่านไป ณ ที่ใดข้าพเจ้าก็ไม่ทราบ ฉะนั้น เมื่อข้าพเจ้าไปทูลกษัตริย์อาหับ และพระองค์หาท่านไม่พบ พระองค์ก็จะทรงประหารข้าพเจ้าเสีย ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่านยำเกรงพระเจ้าตั้งแต่หนุ่มๆมา
13 ไม่มีผู้ใดเรียนเจ้านายของข้าพเจ้าดอกหรือว่า ข้าพเจ้าได้กระทำสิ่งใดเมื่อเยเซเบลประหาร ศาสดาพยากรณ์ของพระเจ้าเสีย และข้าพเจ้าได้ซ่อนผู้เผยพระวจนะ หนึ่งร้อยคนของพระเจ้าไว้ตามถ้ำแห่งละห้าสิบคน และเลี้ยงเขาด้วยขนมปังและน้ำ
14 และคราวนี้ท่านบอกว่า 'จงไปบอกเจ้านายของท่านว่า "ดูเถิด เอลียาห์อยู่ที่นี่'" พระองค์จะทรงประหารข้าพเจ้าเสีย"
15 และเอลียาห์กล่าวว่า "พระเจ้าจอมโยธาผู้ซึ่งข้าพเจ้าปฏิบัติอยู่ทรงพระชนม์ อยู่แน่ฉันใด ข้าพเจ้าจะแสดงตัวของข้าพเจ้าแก่อาหับในวันนี้แน่"
16 โอบาดีห์จึงไปเฝ้าอาหับและทูลพระองค์ อาหับก็เสด็จไปพบเอลียาห์
17 และอยู่มาเมื่ออาหับทอดพระเนตรเห็นเอลียาห์ อาหับก็ตรัสกับท่านว่า "นี่ตัวเจ้าหรือ เจ้าผู้ทำความลำบากให้อิสราเอล"
18 และท่านจึงทูลว่า "ข้าพระบาทมิได้กระทำความลำบากแก่อิสราเอล แต่ฝ่าพระบาทได้กระทำ และราชวงศ์บิดาของฝ่าพระบาท เพราะว่าพวกฝ่าพระบาทได้ทอดทิ้งพระบัญญัติของพระเจ้า และติดตามบรรดาพระบาอัล
19 เพราะฉะนั้นขอทรงสั่งให้บรรดาชนอิสราเอล มาพบข้าพระบาทที่ภูเขาคารเมล ทั้งผู้เผยพระวจนะของพระบาอัลสี่ร้อยห้าสิบคนนั้น และผู้เผยพระวจนะของพระอาเชราห์สี่ร้อยคนนั้น ผู้ซึ่งรับประทานที่โต๊ะเสวยของพระนางเยเซเบล"
20 อาหับจึงทรงส่งไปยังคนอิสราเอลทั้งปวง และชุมนุมผู้เผยพระวจนะที่ภูเขาคารเมล
21 และเอลียาห์ก็เข้ามาใกล้ประชาชนทั้งปวงกล่าวว่า "ท่านทั้งหลายจะขยักขย่อนอยู่ระหว่างสองฝ่ายนี้นานสักเท่าใด ถ้าพระเยโฮวาห์ทรงเป็นพระเจ้า จงติดตามพระองค์ แต่ถ้าพระบาอัลเป็น ก็จงตามท่านไปเถิด" และประชาชนไม่ตอบท่านสักคำเดียว
22 แล้วเอลียาห์พูดกับประชาชนว่า "ตัวข้าพเจ้า คือข้าพเจ้าแต่ผู้เดียวเป็นผู้เผย พระวจนะของพระเจ้าที่เหลืออยู่ แต่ผู้เผยพระวจนะพระบาอัลมีสี่ร้อยห้าสิบคน
23 ขอให้เขามอบวัวผู้แก่เราสองตัว แล้วขอให้เขาทั้งหลายเลือกวัวเป็นของเขาตัวหนึ่ง ฟันเป็นท่อนๆวางไว้บนกองฟืนแต่อย่าใส่ไฟ และข้าพเจ้าจะเตรียมวัวผู้อีกตัวหนึ่งนั้นวางไว้บนฟืน และไม่ใส่ไฟ
24 และท่านทั้งหลายจงร้องออกพระนามพระเจ้าของท่าน และข้าพเจ้าจะร้องออกพระนามพระเยโฮวาห์ พระเจ้าองค์ที่ทรงตอบด้วยไฟ พระองค์นั้นแหละทรงเป็นพระเจ้า" และประชาชนทั้งปวงก็ตอบว่า "อย่างที่พูดก็ดีแล้ว"
25 แล้วเอลียาห์พูดกับผู้เผยพระวจนะของพระบาอัลว่า "จงเลือกวัวผู้ตัวหนึ่งสำหรับท่านและตระเตรียมเสียก่อน เพราะพวกท่านมากคนด้วยกัน จงร้องออกพระนามพระเจ้าของท่าน แต่อย่าใส่ไฟ"
26 เขาทั้งหลายก็เอาวัวผู้ที่เขานำมาให้ และเขาทั้งหลายก็จัดเตรียมและร้องออกพระนามพระบาอัล ตั้งแต่เวลาเช้าจนเที่ยงกล่าวว่า "ข้าแต่พระบาอัล ขอตอบพวกข้าพเจ้าเถิด" แต่ก็ไม่มีเสียงและไม่มีใครตอบ และเขาก็โขยกเขยกอยู่รอบแท่นซึ่งเขาได้สร้างขึ้นนั้น
27 ครั้นถึงเวลาเที่ยงเอลียาห์ก็เย้ยเขาทั้งหลายว่า "ร้องให้ดังๆซี เพราะท่านเป็นพระเจ้าองค์หนึ่ง ท่านกำลังติดธุระอยู่ หรือท่านกำลังไปทุ่ง หรือท่านไปเที่ยว หรือชะรอยท่านกำลังหลับอยู่ และจะต้องปลุก"
28 เขาทั้งหลายก็ร้องเสียงดัง และเชือดเฉือนตัวเองตามธรรมเนียมของเขาด้วยดาบและหลาว จนโลหิตไหลพุ่งออกมาตามตัว
29 และเมื่อผ่านเที่ยงวันไปแล้ว เขาก็พร่ำต่อไปจนถึงเวลาถวายบูชา แต่ไม่มีเสียง ไม่มีใครตอบ ไม่มีใครฟัง
30 แล้วเอลียาห์พูดกับประชาชนทั้งปวงว่า "จงเข้ามาใกล้ข้าพเจ้า" และประชาชนทั้งปวงก็เข้ามาใกล้ท่าน และท่านก็ซ่อมแท่นบูชาของพระเจ้าที่ถูกทำลายลงนั้น
31 เอลียาห์นำศิลาสิบสองก้อนมาตามจำนวนเผ่า ของบุตรชายของยาโคบ ผู้ซึ่งพระวจนะของพระเจ้ามาถึงว่า "อิสราเอลจะเป็นชื่อของเจ้า"
32 และท่านได้สร้างแท่นบูชาด้วยศิลาในพระนามของพระเจ้า และท่านได้ขุดร่องรอบแท่นใหญ่พอจุเมล็ดพืชได้สองถัง
33 และท่านก็วางฟืนไว้เป็นระเบียบและฟันวัวผู้นั้นเป็นท่อนๆ และวางไว้บนกองฟืน และท่านกล่าวว่า "จงเติมน้ำให้เต็มสี่ไหและเทลงบนเครื่องเผาบูชา และบนกองฟืน"
34 และท่านกล่าวว่า "จงกระทำครั้งที่สอง" และเขาก็กระทำครั้งที่สอง และท่านกล่าวว่า "จงกระทำครั้งที่สาม" และเขาก็กระทำครั้งที่สาม
35 และน้ำไหลรอบแท่นบูชา และท่านใส่น้ำเต็มร่อง
36 และอยู่มาเมื่อถึงเวลาถวายบูชา เอลียาห์ผู้เผยพระวจนะก็เข้ามาใกล้ทูลว่า "ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอับราฮัม อิสอัคและอิสราเอล ขอให้ทราบเสียทั่วกันในวันนี้ว่า พระองค์คือพระเจ้าในอิสราเอล และข้าพระองค์เป็นผู้รับใช้ของพระองค์ และข้าพระองค์ได้กระทำบรรดาสิ่งเหล่านี้ ตามพระดำรัสของพระองค์
37 ข้าขอแต่พระเจ้า ขอทรงฟังข้าพระองค์ ทรงฟังข้าพระองค์ เพื่อชนชาตินี้จะทราบว่าพระองค์คือพระเยโฮวาห์ ทรงเป็นพระเจ้า และพระองค์ทรงหันจิตใจของเขาทั้งหลายกลับมาอีก"
38 แล้วไฟของพระเจ้าก็ตกลงมาและไหม้เครื่องเผาบูชา และฟืนและหิน และผงคลี และเลียน้ำซึ่งอยู่ในคู
39 และเมื่อประชาชนทั้งปวงได้เห็น เขาก็ซบหน้าลงและร้องว่า "พระเยโฮวาห์พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า พระเยโฮวาห์พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า"
40 และเอลียาห์บอกเขาว่า "จงจับผู้เผยพระวจนะของพระบาอัล อย่าให้หนีไปได้สักคนเดียว" และเขาทั้งหลายก็ไปจับเขามา และเอลียาห์ก็นำเขามาที่ลำธารคีโชน และฆ่าเขาเสียที่นั่น
41 เอลียาห์ทูลอาหับว่า "ขอเชิญเสด็จขึ้นไปเสวยและดื่มเถิด เพราะมีเสียงฝนกระหึ่มมา"
42 อาหับก็เสด็จขึ้นไปเสวยและดื่ม และเอลียาห์ก็ขึ้นไปที่ยอดภูเขาคารเมล ท่านก็โน้มตัวลงถึงดิน ซบหน้าระหว่างเข่า
43 และท่านสั่งคนใช้ของท่านว่า "จงลุกขึ้นมองไปทางทะเล" เขาก็ลุกขึ้นมองและตอบว่า "ไม่มีอะไรเลย" และท่านบอกว่า "จงไปดูอีกเจ็ดครั้ง"
44 และอยู่มาเมื่อถึงครั้งที่เจ็ดเขาบอกว่า "ดูเถิด มีเมฆก้อนหนึ่งเล็กเท่าฝ่ามือคนขึ้นมาจากทะเล และท่านก็บอกว่า 'จงไปทูลอาหับว่า 'ขอทรงเตรียมราชรถและเสด็จลงไปเพื่อพระองค์จะไม่ ติดฝน'"
45 และอยู่มาอีกครู่หนึ่ง ท้องฟ้าก็มืดไปด้วยเมฆและลม และมีฝนหนัก อาหับก็ทรงรถเสด็จไปยังเมืองยิสเรเอล
46 และพระหัตถ์ของพระเจ้าหนุนกำลังเอลียาห์ และท่านก็คาดเอวของท่านไว้และวิ่งขึ้นหน้าอาหับไปถึงทางเข้าเมืองยิสเรเอล

1พงศ์กษัตริย์ 19
1 อาหับจึงบอกเยเซเบลตามการทั้งสิ้น ซึ่งเอลียาห์ได้กระทำและเรื่องที่ท่านได้ฆ่าผู้เผย พระวจนะเสียด้วยดาบ
2 แล้วเยเซเบลก็รับสั่งให้ผู้สื่อสารไปหาเอลียาห์ว่า "ถ้าพรุ่งนี้เวลานี้ เรามิได้กระทำชีวิตของเจ้าให้เหมือนอย่างชีวิตของคน เหล่านั้นแล้ว ก็ให้พระทั้งหลายลงโทษเรา และยิ่งหนักกว่า"
3 แล้วท่านก็กลัวและลุกขึ้นหนีไปเอาชีวิตรอด และมาถึงเบเออร์เชบาเขตประเทศยูดาห์ และละคนใช้ของท่านไว้ที่นั่น
4 แต่ตัวท่านเองก็เดินเข้าถิ่นทุรกันดารไปเป็นระยะทางวันหนึ่ง มานั่งอยู่ที่ใต้ต้นซากและท่านทูลขอให้ตัวท่านตายเสียทีว่า "พอแล้วพระองค์เจ้าข้า ข้าแต่พระเจ้า บัดนี้ขอเอาชีวิตของข้าพระองค์ไปเสีย เพราะข้าพระองค์ก็ไม่ดีไปกว่าบรรพบุรุษของข้าพระองค์"
5 และท่านก็นอนลงหลับอยู่ใต้ต้นซาก ดูเถิด มีทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาถูกต้องท่าน และพูดกับท่านว่า "ลุกขึ้นรับประทานซี"
6 และท่านก็มองดู ดูเถิด ตรงที่ศีรษะของท่านมีขนมปังที่ปิ้งบนก้อนหินร้อนและ มีไหน้ำลูกหนึ่ง ท่านก็รับประทานและดื่ม และนอนลงอีก
7 และทูตของพระเจ้าก็มาอีกเป็นครั้งที่สอง ถูกต้องท่านแล้วว่า "ลุกขึ้นรับประทานซี มิฉะนั้นทางเดินนั้นจะเกินกำลังของท่าน"
8 และท่านก็ลุกขึ้นรับประทานและดื่ม และเดินไปด้วยกำลังของอาหารนั้น สี่สิบวันสี่สิบคืนถึงโฮเรบภูเขาของพระเจ้า
9 ที่นั่นท่านมาถึงถ้ำแห่งหนึ่งก็เข้าพักอยู่ และดูเถิด พระวจนะของพระเจ้ามาถึงท่าน และพระองค์ตรัสกับท่านว่า "เอลียาห์เอ๋ย เจ้าทำอะไรอยู่ที่นี่"
10 ท่านทูลว่า "ข้าพระองค์ร้อนรนเพื่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าจอมโยธา ยิ่งนัก เพราะประชาชนอิสราเอลได้ทอดทิ้งพันธสัญญาของพระองค์ พังแท่นบูชาของพระองค์ลงเสีย และประหารผู้เผยพระวจนะของพระองค์เสียด้วยดาบ และข้าพระองค์ ข้าพระองค์แต่ผู้เดียวเหลืออยู่และเขาทั้งหลายแสวงชีวิตของ ข้าพระองค์เพื่อจะเอาไปเสีย"
11 และพระองค์ตรัสว่า "จงออกไปเถิด ไปยืนอยู่บนภูเขาต่อพระพักตร์พระเจ้า" และดูเถิด พระเจ้าทรงผ่านไป และลมใหญ่อันแรงกล้าได้พัดพังภูเขา และทำให้หินแตกเป็นก้อนๆต่อพระพักตร์พระเจ้า แต่พระเจ้ามิได้สถิตในลมนั้น ภายหลังลมก็แผ่นดินไหว แต่พระเจ้าหาทรงสถิตในแผ่นดินไหวนั้นไม่
12 ภายหลังแผ่นดินไหวก็เกิดไฟ แต่พระเจ้าหาทรงสถิตในไฟนั้นไม่ ภายหลังไฟก็มีเสียงเบาๆ
13 และเมื่อเอลียาห์ได้ยินท่านก็เอาผ้าคลุมหน้าไว้ ออกไปยืนอยู่ที่ปากถ้ำ และดูเถิด มีเสียงมาถึงท่านว่า "เอลียาห์เอ๋ย เจ้าทำอะไรอยู่ที่นี่"
14 ท่านทูลว่า "ข้าพระองค์ร้อนรนเพื่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าจอมโยธายิ่งนัก เพราะว่าประชาชนอิสราเอลได้ทอดทิ้งพันธสัญญาของพระองค์ พังแท่นบูชาของพระองค์ลงเสีย และประหารผู้เผยพระวจนะของพระองค์เสียด้วยดาบ และข้าพระองค์ ข้าพระองค์แต่ผู้เดียวเหลืออยู่ และเขาทั้งหลายแสวงชีวิตของข้าพระองค์เพื่อจะเอาไปเสีย"
15 และพระเยโฮวาห์ตรัสกับท่านว่า "ไปเถอะ จงกลับไปตามทางของเจ้าถึงถิ่นทุรกันดารดามัสกัส และเมื่อเจ้าไปถึงแล้ว เจ้าจงเจิมฮาซาเอลไว้ให้เป็นกษัตริย์เหนือประเทศซีเรีย
16 และเยฮูบุตรนิมซีนั้น เจ้าจงเจิมให้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล และเอลีชาบุตรชาฟัทชาวอาเบลเมโฮลาห์ เจ้าจงเจิมตั้งไว้ให้เป็นผู้เผยพระวจนะแทนเจ้า
17 และผู้ที่รอดจากดาบของฮาซาเอล เยฮูจะฆ่าเสียและผู้ที่รอดจากดาบของเยฮู เอลีชาจะฆ่าเสีย
18 แต่เราจะเหลือเจ็ดพันคนไว้ในอิสราเอล คือทุกเข่าซึ่งมิได้น้อมลงต่อพระบาอัล และทุกปากซึ่งมิได้จุบรูปนั้น"
19 ท่านก็ออกไปจากที่นั่นพบเอลีชาบุตรชาฟัท ผู้กำลังไถนาอยู่ด้วยโคสิบสองคู่เดินอยู่ข้างหน้า และท่านอยู่กับโคคู่ที่สิบสอง เอลียาห์ก็ผ่านไปทิ้งเสื้อคลุมลงบนท่าน
20 ท่านก็ละโคเหล่านั้นวิ่งตามเอลียาห์ไปและกล่าวว่า "ขอให้ข้าพเจ้าไปจุบลาบิดามารดาของข้าพเจ้าก่อน และข้าพเจ้าจะติดตามท่านไป" เอลียาห์จึงกล่าวกับเอลีชาว่า "ไปเถิดแล้วกลับมาอีก เพราะฉันได้ทำอะไรแก่ท่าน"
21 และเอลีชาก็กลับจากติดตามเอลียาห์จับโคคู่นั้นฆ่าเสีย เอาเครื่องแอกต้มเนื้อโค และให้แก่ประชาชนและเขาก็รับประทาน แล้วเอลีชาก็ลุกขึ้นตามเอลียาห์ไปและปรนนิบัติท่าน

1พงศ์กษัตริย์ 20
1 เบนฮาดัดกษัตริย์ซีเรียได้ประชุมกองทัพทั้งปวงของท่าน มีกษัตริย์สามสิบสององค์ขึ้นกับท่าน ทั้งม้าและรถรบ และท่านก็ขึ้นไปล้อมสะมาเรีย สู้รบกับเมืองนั้น
2 และท่านได้ส่ง ผู้สื่อสารเข้าไปในเมืองหาอาหับกษัตริย์อิสราเอล กล่าวแก่ท่านว่า "เบนฮาดัดว่าดังนี้ว่า
3 'เงินและทองคำของท่านเป็นของเรา บรรดาภรรยาและเด็กๆ ที่ดีที่สุดของท่านก็เป็นของเราด้วย'"
4 และพระราชาแห่งอิสราเอลทรงตอบไปว่า "ข้าแต่พระราชาเจ้านายของข้าพเจ้า ดังที่ท่านว่ามานั่นแหละข้าพเจ้าเป็นของท่าน ทั้งที่ข้าพเจ้ามีอยู่นั้นด้วย"
5 บรรดาผู้สื่อสารได้กลับมาอีกกล่าวว่า "เบนฮาดัดกล่าวดังนี้ว่า 'ข้าพเจ้าส่งข่าวมายังท่านว่า "จงส่งเงินและทองคำของท่านภรรยา และเด็กของท่านไปให้ข้าพเจ้า"
6 แต่ข้าพเจ้าจะส่งข้าราชการ ของข้าพเจ้าไปหาท่านพรุ่งนี้ประมาณเวลานี้ เขาทั้งหลายจะค้นวังของท่าน ทั้งบ้านเรือนข้าราชการของท่าน สิ่งใดที่เป็นที่ชอบตาของท่านเขาจะหยิบเอาไป'"
7 แล้วพระราชาแห่งอิสราเอลก็เรียกประชุมพวกผู้ใหญ่ของแผ่นดินตรัสว่า "ขอตรองดูเถิด ดูว่าชายผู้นี้หาช่องก่อความลำบาก เพราะเขาให้คนมารับเมียและลูกของฉัน ทั้งเงินและทองคำของฉันและฉันก็มิได้ปฏิเสธเขา"
8 บรรดาผู้ใหญ่และประชาชนทั้งสิ้นก็ทูลพระองค์ว่า "ขออย่าทรงฟังหรือทรงยินยอมพ่ะย่ะค่ะ"
9 พระองค์จึงรับสั่งแก่ผู้สื่อสารของเบนฮาดัดว่า "จงไปทูลพระราชาเจ้านายของข้าพเจ้าว่า 'บรรดาสิ่งที่ท่านบังอาจเอาจากผู้รับใช้ของ ท่านในครั้งแรกนั้น ข้าพเจ้าจะกระทำตาม แต่สิ่งนี้ข้าพเจ้าปฏิบัติตามไม่ได้'" และผู้สื่อสารก็จากไปและกลับมารายงาน
10 เบนฮาดัดส่งข่าวกลับมาถึงอีกว่า "ถ้าผงคลีแห่งสะมาเรียจะพอแก่คนที่ติดตาม ข้าพเจ้ามาสักคนละหยิบมือหนึ่ง ก็ขอให้พระทั้งหลายลงโทษข้าพเจ้าและยิ่งหนักกว่า"
11 และพระราชาแห่งอิสราเอลทรงตอบไปว่า "ขอทูลท่านว่า 'ขอท่านผู้ที่สวมเกราะอย่าอวดอ้าง อย่างผู้ที่ถอดเกราะแล้วเลย'"
12 เมื่อเบนฮาดัดทราบข่าวนี้ ขณะที่ดื่มอยู่กับบรรดากษัตริย์ทั้งหลายที่ในทับอาศัย ท่านก็สั่งข้าราชการของท่านว่า "จงเข้าประจำที่" และเขาทั้งหลายก็เข้าประจำที่เพื่อต่อสู้กับเมืองนั้น
13 ดูเถิด ผู้เผยพระวจนะคนหนึ่ง เข้ามาใกล้อาหับกษัตริย์แห่งอิสราเอลทูลว่า "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เจ้าเห็นกองทัพใหญ่นี้หรือ ดูเถิด เราจะมอบไว้ในมือของเจ้าในวันนี้ เจ้าจะได้รู้ว่าเราคือพระเจ้า"
14 และอาหับตรัสว่า "ทรงใช้ใครทำ" เขาทูลว่า "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ด้วยมือของมหาดเล็กของเจ้านายประจำจังหวัดทั้งหลาย" แล้วพระองค์ตรัสว่า "ใครจะเริ่มรบ" เขาทูลตอบว่า "ฝ่าพระบาทพ่ะย่ะค่ะ"
15 พระองค์จึงทรงจัดมหาดเล็กของ เจ้านายประจำจังหวัดเหล่านั้น ซึ่งมีสองร้อยสามสิบสองคนด้วยกัน และภายหลังทรงจัดพลทั้งหมด คือคนอิสราเอลรวมพลเจ็ดพันคน
16 เขาทั้งหลายยกออกไปในเวลาเที่ยงวัน ฝ่ายเบนฮาดัดกำลังดื่มเมาอยู่ในทับอาศัย ทั้งท่านและกษัตริย์อีกสามสิบสององค์ที่ช่วยท่าน
17 พวกมหาดเล็กของเจ้านายประจำจังหวัดได้ยกออกไปก่อน เบนฮาดัดก็ส่งออกไปเขาทั้งหลายรายงานท่านว่า "มีคนยกออกมาจากสะมาเรีย"
18 ท่านจึงว่า "ถ้าเขาออกมาด้วยศานติจงจับเขามาเป็นๆ หรือถ้าเขาออกมาทำศึกจงจับเขามาเป็นๆ"
19 คนเหล่านี้จึงออกไปจาก เมืองคือพวกมหาดเล็กของเจ้านายประจำจังหวัด และกองทัพซึ่งติดตามคนเหล่านี้
20 และต่างก็ฆ่าคู่รบของตน คนซีเรียหนีและคนอิสราเอลไล่ติดตามเขาไป แต่เบนฮาดัดกษัตริย์แห่งซีเรียทรงม้าหนีไปกับทหารม้า
21 กษัตริย์แห่งอิสราเอลก็ออกไปโจมตีม้าและรถรบ และประหารชนซีเรียเสียอย่างใหญ่โต
22 แล้วผู้เผยพระวจนะผู้นั้นได้เข้ามา ใกล้พระราชาแห่งอิสราเอลทูลพระองค์ว่า "มาเถิด ขอเสริมกำลังของพระองค์ และตรึกตรองดูว่า พระองค์จะทรงกระทำประการใด เพราะแล้งที่จะถึงนี้พระราชา แห่งซีเรียจะยกกองทัพมาสู้กับพระองค์อีก"
23 ข้าราชการของพระราชาแห่งซีเรียทูลพระองค์ว่า "พระเจ้าทั้งหลายของเขาเป็นพระเจ้าแห่งภูเขา เขาทั้งหลายจึงแข็งกว่าเรา แต่ขอให้เราสู้รบกับเขาในที่ราบ แล้วเราจะต้องแข็งกว่าเขาแน่นอนทีเดียว
24 ขอกระทำอย่างนี้ ขอปลดกษัตริย์เสียทุกองค์จากตำแหน่งและตั้งนายทหารขึ้นแทน
25 และเกณฑ์กองทัพเข้าแทนส่วนที่ล้มตายไปในคราวก่อน ม้าแทนม้า รถรบแทนรถรบ แล้วเราทั้งหลายจะสู้รบกับเขาในที่ราบ เราจะต้องแข็งกว่าเขาแน่นอนทีเดียว" และท่านก็เชื่อฟังเสียงของเขาทั้งหลายและกระทำตาม
26 และอยู่มาพอขึ้นแล้งเบนฮาดัดก็เกณฑ์ชนซีเรีย ยกขึ้นไปถึงเมืองอาเฟกเพื่อสู้รบกับอิสราเอล
27 และประชาชนอิสราเอลก็ถูกเกณฑ์ รับเสบียงอาหาร และยกออกไปต่อสู้กับเขา ประชาชนอิสราเอลตั้งค่ายตรง หน้าเขาเหมือนอย่างแพะสองฝูงเล็กๆ แต่คนซีเรียเต็มท้องทุ่งไปหมด
28 และคนของพระเจ้าคนหนึ่งได้เข้าไปใกล้ และทูลพระราชาแห่งอิสราเอลว่า "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า 'เพราะคนซีเรียได้กล่าวว่า "พระเยโฮวาห์เป็นพระเจ้าแห่งภูเขา พระองค์มิได้เป็นพระเจ้าแห่งที่ลุ่ม" เพราะฉะนั้นเราจะมอบประชาชนหมู่ใหญ่นี้ไว้ในมือของเจ้า และเจ้าจะได้รู้ว่าเราคือพระเจ้า'"
29 แล้วเขาก็ตั้งค่ายตรงข้ามกันอยู่เจ็ด วันแล้วในวันที่เจ็ดก็ปะทะกัน ประชาชนอิสราเอลก็ฆ่าคนซีเรีย ซึ่งเป็นทหารราบเสียหนึ่งแสนคนในวันเดียว
30 เหลือนอกนั้นก็หนีเข้าเมืองอาเฟก และกำแพงเมืองล้มทับคนที่เหลือนอก นั้นเสียสองหมื่นเจ็ดพันคน เบนฮาดัดก็หนีไปด้วย และเข้าไปในห้องชั้นในที่ในเมือง
31 และข้าราชการของท่านมาทูลว่า "ดูเถิด เราทราบว่าพระราชาแห่งอิสราเอล เป็นพระราชาที่ทรงเมตตา ขอให้เราเอาผ้ากระสอบคาดเอว และเอาเชือกพันศีรษะของเรา และออกไปหากษัตริย์แห่งอิสราเอล ชะรอยท่านจะไว้ชีวิตของฝ่าพระบาท"
32 เพราะฉะนั้นเขาจึงเอาผ้ากระสอบคาด เอวและเอาเชือกพันศีรษะ และเขาไปเฝ้ากษัตริย์แห่งอิสราเอลทูลว่า "เบนฮาดัดผู้รับใช้ของพระองค์สั่งมาว่า 'ได้โปรดเถิด ขอให้ข้าพเจ้ารอดชีวิตอยู่'" และพระองค์ตรัสว่า "ท่านยังมีชีวิตหรือ ท่านเป็นน้องของเรา"
33 ฝ่ายคนเหล่านั้นกำลังหาช่องอยู่แล้ว เขาทั้งหลายก็รีบตอบโดยเร็วว่า "พระเจ้าข้า เบนฮาดัดอนุชาของพระองค์" แล้วพระองค์ตรัสว่า "ไปเถอะ และนำท่านมา" แล้วเบนฮาดัดก็ออกมาหาพระองค์ แล้วพระองค์ก็ให้ท่านขึ้นไปบนรถรบ
34 และเบนฮาดัดทูลว่า "หัวเมืองซึ่งบิดาของข้าพเจ้ายึดเอาไป จากราชบิดาของท่านนั้น ข้าพเจ้าขอคืนให้พระองค์ พระองค์จะสร้างถนนหนทางของพระองค์ ในเมืองดามัสกัสก็ได้ อย่างที่บิดาข้าพเจ้าทำไว้ในสะมาเรีย" แล้วอาหับตรัสว่า "เราจะยอมให้ท่านไปตามข้อตกลงนี้" พระองค์จึงทำพันธสัญญากับท่าน และปล่อยท่านไป
35 มีชายคนหนึ่งพวกผู้เผยพระวจนะพูดกับเพื่อนของตน ตามพระบัญชาของพระเจ้าว่า "ได้โปรดเถอะ ขอตีฉันที" แต่ชายคนนั้นก็ปฏิเสธไม่ยอมตีท่าน
36 แล้วท่านจึงพูดกับเขาว่า "เพราะท่านไม่ฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า ดูเถิด พอท่านออกไปจากข้าพเจ้า สิงห์ตัวหนึ่งจะสังหารท่าน" พอเขาจากท่านไป สิงห์ตัวหนึ่งก็มาพบเขาและสังหารเขาเสีย
37 แล้วท่านไปพบชายอีกคนหนึ่ง และท่านว่า "ได้โปรดเถอะขอตีฉันที" ชายคนนั้นได้ตีท่านและทำให้ท่านฟกช้ำ
38 ผู้เผยพระวจนะผู้นั้นจึงจากไป และไปคอยพบพระราชาอยู่ที่หนทาง เอาผ้าพันตาปลอมตัวเสีย
39 พอพระราชาทรงผ่านไป ท่านก็ร้องทูลพระราชาว่า "ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทเข้าไปในกลางศึก และดูเถิด ทหารคนหนึ่งหันมา และนำชายคนหนึ่งมาให้ข้าพระบาท บอกว่า 'จงระวังชายคนนี้ไว้นะ ถ้าเขาหลุดไปได้โดยเหตุใดๆ ชีวิตของท่านจะต้องแทนชีวิตของเขา หรือมิฉะนั้นท่านจะต้องเสียเงินตะลันต์หนึ่ง'
40 และเมื่อข้าพระบาทติดธุระอยู่ที่นี่ที่นั่น เขาก็หายไป" พระราชาแห่งอิสราเอลตรัสกับเขาว่า "โทษของเจ้าต้องเป็นอย่างนั้นแหละ เพราะเจ้าเองได้ตัดสินแล้ว"
41 แล้วท่านก็รีบแก้ผ้าพันออกเสียจากตาของตน และพระราชาแห่งอิสราเอลก็จำท่านได้ว่าเป็น ผู้เผยพระวจนะคนหนึ่ง
42 และท่านจึงทูลพระองค์ว่า "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า 'เพราะเจ้าได้ปล่อยชายคนที่อยู่ในมือของเจ้า ผู้ซึ่งเราได้กำหนดให้ทำลายนั้น ชีวิตของเจ้าจะต้องแทนชีวิตของเขา และชนชาติของเจ้าแทนชนชาติของเขา'"
43 และพระราชาแห่งอิสราเอลก็เสด็จ เข้าไปในพระราชวังด้วยอารมณ์ขุ่นมัว และกลัดกลุ้มยิ่งนัก และเสด็จมาสะมาเรีย

1พงศ์กษัตริย์ 21

1 และอยู่มาภายหลังสิ่งเหล่านี้ นาโบทชาวยิสเรเอลมีสวนองุ่นอยู่ในยิสเรเอล ข้างพระราชวังของอาหับพระราชาแห่งสะมาเรีย
2 อาหับตรัสกับนาโบทว่า "จงให้สวนองุ่นของเจ้าแก่เราเถิดเพื่อเราจะได้ทำสวนผัก เพราะอยู่ใกล้วังของเรา เราจะให้สวนองุ่นที่ดีกว่าเพื่อแลกสวนนี้ หรือถ้าเจ้าเห็นชอบ เราจะให้เงินสมกับราคาสวนนั้น"
3 แต่นาโบททูลอาหับว่า "ขอพระเจ้าทรงห้ามข้าพระบาทในการที่จะ ยกมรดกของบรรพบุรุษให้แก่ฝ่าพระบาท"
4 อาหับก็เสด็จเข้าในวังด้วยอารมณ์ขุ่นมัว และกลัดกลุ้มยิ่งนักด้วยเรื่องที่นาโบทชาว ยิสเรเอลทูลตอบพระองค์ เพราะเขาได้กล่าวว่า "ข้าพระบาทจะไม่ให้มรดกแห่งบรรพบุรุษ ของข้าพระบาทแก่ฝ่าพระบาท" และพระองค์ก็เอนพระกายลงบนพระแท่น ทรงเบือนพระพักตร์ไม่เสวยพระกระยาหาร
5 แต่เยเซเบลมเหสีของพระองค์เข้า มาเฝ้าพระองค์ทูลถามพระองค์ว่า "ไฉนพระจิตของฝ่าพระบาทจึงกลัดกลุ้ม ไม่เสวยพระกระยาหาร"
6 และพระองค์ตรัสตอบพระนางว่า "เพราะเราได้พูดกับนาโบทชาวยิสเรเอลว่า 'จงขายสวนองุ่นของเจ้าให้แก่เรา หรือมิฉะนั้นถ้าเจ้าพอใจ เราจะให้สวนองุ่นอีกแห่งหนึ่งแก่เจ้าเพื่อแลกกัน' และเขาตอบว่า 'ข้าพระบาทจะไม่ให้สวนองุ่นของข้าพระบาทแก่ ฝ่าพระบาท'"
7 และเยเซเบลมเหสีของพระองค์ทูลพระองค์ว่า "ฝ่าพระบาทเป็นผู้ครอบครองอิสราเอลอยู่หรือเพคะ เชิญเสด็จลุกขึ้นเสวยพระกระยาหารเถิด และให้พระทัยของฝ่าพระบาทร่าเริง หม่อมฉันจะมอบสวนองุ่นของนาโบท ชาวยิสเรเอลให้แก่ฝ่าพระบาทเอง"
8 พระนางจึงทรงพระอักษรในพระนามของอาหับ ประทับตราของพระองค์ส่งไปยังผู้ใหญ่และเจ้านาย ผู้อยู่ในเมืองกับนาโบท
9 พระนางทรงพระอักษรว่า "จงประกาศให้ถืออดอาหาร และตั้งนาโบทไว้ในที่สูงท่ามกลางประชาชน
10 และตั้งคนถ่อยสองคนให้นั่งตรงข้ามกับเขา ให้ฟ้องเขาว่า 'เจ้าได้แช่งพระเจ้าและพระราชา' แล้วพาเขาออกไปและเอาหินขว้างเสียให้ตาย"
11 และประชาชนของเมืองนั้น คือผู้ใหญ่และเจ้านายผู้อาศัยอยู่ในเมืองนั้น ได้กระทำตามที่เยเซเบลมีพระอักษรสั่งไปถึงเขา ตามที่ปรากฏในลายพระหัตถ์ซึ่งพระนางทรงมีไปถึงเขานั้น
12 เขาได้ประกาศให้ถืออดอาหาร และได้ตั้งนาโบทไว้ในที่สูงท่ามกลางประชาชน
13 และคนถ่อยสองคนนั้นก็เข้ามา นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขา และคนถ่อยนั้นได้ฟ้องนาโบทต่อหน้าประชาชนกล่าวว่า "นาโบทได้แช่งพระเจ้าและพระราชา" เขาทั้งหลายจึงพานาโบทออกไปนอกเมือง และขว้างเขาถึงตายด้วยก้อนหิน
14 แล้วเขาก็ส่งข่าวไปทูลเยเซเบลว่า "นาโบทถูกขว้างด้วยหิน เขาตายแล้ว"
15 พอเยเซเบลทรงทราบว่านาโบทถูกขว้างด้วยหินตายแล้ว เยเซเบลจึงทูลอาหับว่า "ขอเชิญเสด็จลุกขึ้น ไปยึดสวนของนาโบทชาวยิสเรเอล ซึ่งเขาได้ปฏิเสธไม่ขายให้แก่พระองค์ เพราะว่านาโบทไม่อยู่ เขาตายเสียแล้ว"
16 และอยู่มาพออาหับทรงทราบว่านาโบทตายแล้ว อาหับก็ทรงลุกขึ้นไปยังสวนองุ่นของนาโบทชาวยิสเรเอล เพื่อยึดถือเป็นกรรมสิทธิ์
17 แล้วพระวจนะของพระเจ้ามาถึงเอลียาห์ชาวทิชบีว่า
18 "จงลุกขึ้นไปพบอาหับพระราชาแห่งอิสราเอล ผู้อยู่ในสะมาเรีย ดูเถิด เขาอยู่ในสวนของนาโบทที่เขาไปยึดเอาเป็นกรรมสิทธิ์
19 เจ้าจงพูดกับเขาว่า 'พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า "ท่านได้ฆ่าและได้ยึดถือเอาเป็นกรรมสิทธิ์ด้วยหรือ'" และเจ้าจงพูดกับเขาว่า 'พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า "ในที่ซึ่งสุนัขเลียโลหิตของนาโบท สุนัขจะเลียโลหิตของเจ้าด้วย"'"
20 อาหับตรัสกับเอลียาห์ว่า "โอ ศัตรูของข้าเอ๋ย เจ้าพบข้าเข้าแล้วหรือ" ท่านทูลตอบว่า "ข้าพระบาทพบฝ่าพระบาทเข้าแล้ว เพราะว่าฝ่าพระบาทยอมขายพระองค์เข้า กระทำสิ่งชั่วในสายพระเนตรพระเจ้า
21 ดูเถิด เราจะนำเหตุร้ายมาเหนือเจ้า เราจะกวาดเจ้าออกไปเสียให้สิ้นเชิง และจะกำจัดผู้ชายทุกคนเสียจากอาหับ ทั้งทาสและเสรีชนในอิสราเอล
22 และเราจะกระทำให้ราชวงศ์ของเจ้าเหมือนราชวงศ์ของเยโรโบอัม บุตรเนบัท และเหมือนราชวงศ์ของบาอาชาบุตรอาหิยาห์ เพราะเจ้าได้กระทำให้เราโกรธ และเพราะเจ้าได้กระทำให้อิสราเอลทำบาปด้วย
23 และส่วนเยเซเบล พระเจ้าตรัสว่า 'สุนัขจะกินเยเซเบลภายในเขตยิสเรเอล'
24 ผู้ใดในวงศ์อาหับที่ตายในเมือง สุนัขจะกิน และผู้อยู่ในวงศ์เขาที่ตายในทุ่งนา นกในอากาศจะกิน"
25 ไม่มีผู้ใดได้ขายตนเอง เพื่อกระทำความชั่วในสายพระเนตรพระเจ้าอย่างอาหับ ผู้ที่เยเซเบลมเหสีได้ยุแหย่
26 พระองค์ทรงกระทำสิ่ง อันน่าเกลียดน่าชังยิ่งนักในการที่ดำเนินตามรูปเคารพ ดังคนอาโมไรต์ได้กระทำ เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเหวี่ยงออกไปให้พ้นหน้า ประชาชนอิสราเอล
27 และอยู่มาเมื่ออาหับทรงทราบพระวจนะเหล่านั้น พระองค์ก็ฉีกฉลองพระองค์ และทรงสวมผ้ากระสอบและถืออด อาหารประทับในผ้ากระสอบ และทรงดำเนินไปมาด้วยหนักพระทัย
28 และพระวจนะของพระเจ้ามายังเอลียาห์ชาวทิชบีว่า
29 "เจ้าได้เห็นอาหับถ่อมตัวลงต่อหน้าเราแล้วหรือ เพราะเขาได้ถ่อมตัวลงต่อเรา เราจะไม่นำเหตุร้ายมาในสมัยของเขา แต่มาในสมัยบุตรของเขา เราจะนำเหตุร้ายมาเหนือราชวงศ์ของเขา"

1พงศ์กษัตริย์ 22
1 ประเทศซีเรียและอิสราเอลไม่มีศึกสงครามกันอยู่สามปี
2 แต่ในปีที่สาม เยโฮชาฟัทพระราชาแห่งยูดาห์เสด็จลงไปเฝ้า พระราชาแห่งอิสราเอล
3 และพระราชาแห่งอิสราเอลตรัสถาม บรรดาข้าราชการของพระองค์ว่า "ท่านทราบกันหรือไม่ว่า ราโมทกิเลอาดเป็นของเรา และเราได้นิ่งอยู่มิได้เอาออกมาจากมือของกษัตริย์แห่งซีเรีย"
4 และพระองค์ตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า "ท่านจะยกไปทำศึกที่ราโมทกิเลอาดกับข้าพเจ้าหรือ" และเยโฮชาฟัทตรัสกับพระราชาแห่งอิสราเอลว่า "ข้าพเจ้าก็เป็นอย่างที่ท่านเป็น ประชาชนของข้าพเจ้าก็เป็นประชาชนของท่าน ม้าของข้าพเจ้าก็เป็นม้าของท่าน"
5 และเยโฮชาฟัทตรัสกับพระราชาแห่งอิสราเอลว่า "ขอสอบถามดูพระดำรัสของพระเจ้าเสียก่อน"
6 แล้วพระราชาแห่งอิสราเอลก็เรียกประชุม พวกผู้เผยพระวจนะประมาณสี่ร้อยคน ตรัสกับเขาว่า "ควรที่เราจะไปตีราโมทกิเลอาดหรือ หรือเราไม่ควรไป" และเขาทั้งหลายทูลตอบว่า "ขอเชิญเสด็จขึ้นไปเถิด เพราะพระเจ้าจะทรงมอบไว้ในพระหัตถ์ของพระราชา"
7 แต่เยโฮชาฟัททูลว่า "ที่นี่ไม่มีผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าอีก ซึ่งเราจะสอบถามได้แล้วหรือ"
8 และพระราชาแห่งอิสราเอลทูลเยโฮชาฟัทว่า "ยังมีชายอีกคนหนึ่งซึ่งเราจะให้ทูลถามพระเจ้าได้ คือมีคายาห์บุตรอิมลาห์ แต่ข้าพเจ้าชังเขาเพราะเขาเผยแต่ความร้าย ไม่เคยเผยความดีเกี่ยวกับข้าพเจ้าเลย" และเยโฮชาฟัททูลว่า "ขอพระราชาอย่าตรัสดังนั้นเลย"
9 แล้วพระราชาแห่งอิสราเอลจึง เรียกมหาดเล็กคนหนึ่งเข้ามาตรัสสั่งว่า "ไปพามีคายาห์บุตรอิมลาห์มาเร็วๆ"
10 ฝ่ายพระราชาแห่งอิสราเอลและเยโฮชาฟัท พระราชาแห่งยูดาห์ ต่างประทับบนพระที่นั่ง ทรงฉลองพระองค์อันงาม ณ ลานนวดข้าว ตรงทางเข้าประตูเมืองสะมาเรีย และผู้เผยพระวจนะทั้งปวงก็เผยพระวจนะถวายอยู่
11 และเศเดคียาห์บุตรเคนาอะนาห์จึงเอา เหล็กทำเป็นเขาและพูดว่า "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า 'ด้วยสิ่งเหล่านี้ เจ้าจะผลักคนซีเรียไปจนเขาทั้งหลายจะ ถูกทำลาย'"
12 และบรรดาผู้เผยพระวจนะก็พยากรณ์อย่างนั้นทูลว่า "ขอเสด็จไปราโมทกิเลอาดเถิด และมีชัยชนะเพราะพระเจ้าจะ ทรงมอบเมืองนั้นไว้ในพระหัตถ์ของพระราชา"
13 และผู้สื่อสารผู้ไปตามมีคายาห์ได้บอกท่านว่า "ดูเถิด ถ้อยคำของบรรดาผู้เผยพระวจนะก็พูด สิ่งที่เป็นมงคลแก่พระราชาเป็นปากเดียวกัน ขอให้ถ้อยคำของท่านเหมือนอย่างถ้อยคำของคนหนึ่งในพวกนั้น และพูดแต่สิ่งที่เป็นมงคล"
14 แต่มีคายาห์ตอบว่า "พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด พระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าอย่างไร ข้าพเจ้าจะต้องพูดอย่างนั้น
15 และเมื่อท่านมาเฝ้าพระราชา พระราชาตรัสถามท่านว่า "มีคายาห์ควรที่เราจะไปตีราโมทกิเลอาดหรือ หรือเราไม่ควรไป" และท่านทูลตอบพระองค์ว่า "ขอเชิญเสด็จขึ้นไปและมีชัยชนะ พระเจ้าจะทรงมอบไว้ในพระหัตถ์ของพระราชา"
16 แต่พระราชาตรัสกับท่านว่า "เราได้ให้เจ้าปฏิญาณกี่ครั้งแล้วว่า เจ้าจะพูดกับเราแต่ความจริงในพระนามของพระเจ้า"
17 และท่านก็ทูลว่า "ข้าพระบาทได้เห็นคนอิสราเอลทั้งปวงกระจัดกระจายอยู่บนภูเขา อย่างแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง และพระเจ้าตรัสว่า 'คนเหล่านี้ไม่มีนาย ให้เขาต่างกลับยังเรือนของตนโดยสวัสดิภาพเถิด'"
18 พระราชาแห่งอิสราเอลจึงทูลเยโฮชาฟัทว่า "ข้าพเจ้ามิได้บอกท่านแล้วหรือว่า เขาจะไม่เผยสิ่งดีเกี่ยวกับข้าพเจ้าเลย แต่สิ่งร้ายต่างหาก"
19 และมีคายาห์ทูลว่า "ฉะนั้นขอสดับพระวจนะของพระเจ้า ข้าพระบาทได้เห็นพระเจ้าประทับบนพระที่นั่งของพระองค์ และบรรดาบริวารแห่งฟ้าสวรรค์ยืนข้างๆพระองค์ ข้างขวาพระหัตถ์และข้างซ้าย
20 และพระเจ้าตรัสว่า 'ผู้ใดจะเกลี้ยกล่อมอาหับเพื่อเขาจะขึ้นไป และล้มลงที่ราโมทกิเลอาด' บ้างก็ทูลอย่างนี้ บ้างก็ทูลอย่างนั้น
21 แล้วมีวิญญาณดวงหนึ่งมาข้างหน้า เฝ้าต่อพระพักตร์พระเจ้าทูลว่า 'ข้าพระองค์จะเกลี้ยกล่อมเขาเอง'
22 และพระเจ้าตรัสกับเขาว่า 'จะทำอย่างไร' และเขาทูลว่า 'ข้าพระองค์จะออกไปและจะ เป็นวิญญาณมุสาอยู่ในปากของผู้เผยพระวจนะของเขาทุกคน' และพระองค์ตรัสว่า 'เจ้าไปเกลี้ยกล่อมเขาได้ และเจ้าจะทำได้สำเร็จ จงไปทำเถิด'
23 เพราะฉะนั้น ดูเถิด พระเจ้าทรงใส่วิญญาณมุสาในปากของเหล่าผู้เผย พระวจนะนี้ทั้งสิ้นของฝ่าพระบาท พระเจ้าทรงลั่นพระวาจาเป็นความร้ายเกี่ยวกับฝ่าพระบาท"
24 แล้วเศเดคียาห์บุตรเคนาอะนาห์ได้เข้ามาใกล้ และตบแก้มมีคายาห์พูดว่า "พระวิญญาณของพระเจ้าไปจากข้า พูดกับเจ้าได้อย่างไร"
25 และมีคายาห์ตอบว่า "ดูเถิด เจ้าจะเห็นในวันนั้น เมื่อเจ้าเข้าไปในห้องชั้นในเพื่อจะซ่อนตัวเจ้า"
26 และพระราชาแห่งอิสราเอลตรัสว่า "จงจับมีคายาห์พาเขากลับไปมอบให้ อาโมนผู้ว่าราชการเมือง และแก่โยอาชราชโอรส
27 และว่า 'พระราชาตรัสดังนี้ว่า "เอาคนนี้จำคุกเสีย ให้อาหารนักโทษกับน้ำเท่านั้น จนกว่าเราจะกลับมาโดยสวัสดิภาพ'"
28 และมีคายาห์ทูลว่า "ถ้าฝ่าพระบาทเสด็จกลับมาโดยสวัสดิภาพ พระเจ้าก็มิได้ตรัสโดยข้าพระบาท" และท่านกล่าวว่า "บรรดาชนชาติทั้งหลายเอ๋ย ขอจงฟังเถิด"
29 พระราชาแห่งอิสราเอลกับเยโฮชาฟัท พระราชาแห่งยูดาห์จึงเสด็จไปยังราโมทกิเลอาด
30 และพระราชาแห่งอิสราเอลตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า "ข้าพเจ้าจะปลอมตัวเข้าทำศึก แต่ท่านจงสวมเครื่องทรงของท่าน" และพระราชาแห่งอิสราเอลก็ ทรงปลอมพระองค์เข้าทำสงคราม
31 ฝ่ายพระราชาประเทศซีเรีย ทรงบัญชาแม่ทัพรถรบทั้งสามสิบสองคนว่า "อย่ารบกับทหารใหญ่น้อย แต่มุ่งเฉพาะพระราชาแห่งอิสราเอล"
32 และอยู่มาเมื่อผู้บัญชาการรถรบแลเห็นเยโฮชาฟัท เขาทั้งหลายก็ว่า "เป็นพระราชาอิสราเอลแน่แล้ว" เขาจึงหันเข้าไปสู้รบกับพระองค์ และเยโฮชาฟัททรงร้องขึ้น
33 และอยู่มาเมื่อผู้บัญชาการ รถรบเห็นว่าไม่ใช่พระราชาอิสราเอล ก็หันรถกลับจากไล่ตามพระองค์
34 แต่มีชายคนหนึ่งโก่งธนูยิงเดาไป ถูกพระราชาแห่งอิสราเอลเข้า ระหว่างเกล็ดเกราะและแผ่นบังพระอุระ พระองค์จึงรับสั่งคนขับรถรบว่า "หันกลับเถอะ พาเราออกจากการรบ เพราะเราบาดเจ็บแล้ว"
35 วันนั้นการรบก็ดุเดือดขึ้น เขาก็หนุนพระราชาไว้ในราชรถ ให้หันพระพักตร์เข้าสู่ชนซีเรีย จนเวลาเย็นพระองค์ก็สิ้นพระชนม์ และโลหิตที่บาดแผลก็ไหลออกนองท้องรถรบ
36 ประมาณดวงอาทิตย์ตกก็มีเสียงร้องทั่วกองทัพว่า "ทุกคนจงกลับไปเมืองของตัว และทุกคนจงกลับไปภูมิลำเนาของตัว"
37 ครั้นพระราชาสิ้นพระชนม์แล้ว เขาก็ นำมายังกรุงสะมาเรีย และฝังพระศพพระราชาไว้ในสะมาเรีย
38 เขาล้างรถรบที่สระแห่งสะมาเรีย และสุนัขก็เลียโลหิตของพระองค์ (ที่ที่หญิงแพศยาลงอาบน้ำ) ตามพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งพระองค์ได้ตรัส
39 ส่วนพระราชกิจนอกนั้นของอาหับ และบรรดาสิ่งซึ่งพระองค์ทรงกระทำ และพระราชวังงาช้างซึ่งพระองค์ทรงสร้างไว้ และหัวเมืองทั้งปวงที่พระองค์ทรงสร้าง มิได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดาร แห่งพระราชาประเทศอิสราเอลหรือ
40 อาหับทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และอาหัสยาห์ราชโอรสของพระองค์ก็ขึ้นครองแทน
41 เยโฮชาฟัทราชโอรสของอาสาเริ่มขึ้นครองเหนือยูดาห์ในปีที่สี่แห่งรัชกาลอาหับพระราชาแห่งอิสราเอล
42 เยโฮชาฟัทมีพระชนม์สามสิบห้าพรรษาเมื่อ ทรงเริ่มขึ้นครอง และพระองค์ทรงครองในเยรูซาเล็มยี่สิบห้าปี พระชนนีของพระองค์มีพระนามว่า อาซูบาห์ธิดาของชิลหิ
43 พระองค์ทรงดำเนินตามมรรคาของอาสาราชบิดา ทุกประการ มิได้หันเหออกนอกไป ทรงกระทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรพระเจ้า แต่ปูชนียสถานสูงนั้นยังมิได้รื้อลง ประชาชนยังถวายเครื่องสัตวบูชาและ เผาเครื่องหอมอยู่บนปูชนียสถานสูงนั้น
44 เยโฮชาฟัททรงกระทำไมตรี กับพระราชาอิสราเอลด้วย
45 ส่วนพระราชกิจนอกนั้นของเยโฮชาฟัท และยุทธพลังที่พระองค์ทรงสำแดง และสงครามที่พระองค์ทรงกระทำ มิได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดาร แห่งพระราชาประเทศยูดาห์หรือ
46 และเทวทาสที่ยังเหลืออยู่คือ ผู้ที่ยังเหลือในสมัยของอาสาราชบิดานั้น พระองค์ก็ทรงกำจัดเสียจากแผ่นดิน
47 ไม่มีพระราชาในประเทศเอโดม แต่มีผู้ว่าราชการปกครองแทน
48 เยโฮชาฟัททรงต่อกำปั่นทารชิช เพื่อจะไปขนทองคำจากโอฟีร์ แต่กำปั่นนั้นไปไม่ถึง เพราะไปแตกเสียที่เอซีโอนเกเบอร์
49 แล้วอาหัสยาห์ราชโอรสของ อาหับตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า "ขอให้ข้าราชการของข้าพเจ้า ไปในเรือกำปั่นกับข้าราชการของท่าน" แต่เยโฮชาฟัทไม่พอพระทัย
50 และเยโฮชาฟัททรงล่วงหลับไปอยู่กับ บรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังพระศพไว้กับบรรพบุรุษที่ในนคร ดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์ และเยโฮรัมราชโอรสก็ขึ้นครองแทนพระองค์
51 อาหัสยาห์ราชโอรสของอาหับทรงเริ่มครองเหนือ อิสราเอลในสะมาเรีย ในปีที่เจ็ดแห่งรัชกาลเยโฮชาฟัท พระราชาแห่งยูดาห์ และพระองค์ทรงครอบครองเหนืออิสราเอลสองปี
52 พระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ชั่ว ในสายพระเนตรพระเจ้า และทรงดำเนินในมรรคาแห่งราชบิดาของพระองค์ และในมรรคาแห่งพระมารดาของพระองค์ และในมรรคาของเยโรโบอัมบุตรเนบัท ผู้ทรงกระทำให้อิสราเอลทำบาปด้วย
53 พระองค์ทรงปรนนิบัติพระบาอัล และนมัสการพระนั้น และทรงกระทำให้พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลพิโรธ ด้วยทุกวิธีที่ราชบิดาของพระองค์ทรงกระทำแล้วนั้น

 © Copyright 2009. Christian Siam.com