Christian Siam

 

 

 

 

Christian Siam - เว็บสำหรับคนอยากรู้จักพระเจ้า

 
 :: สำหรับผู้สนใจพระเจ้า ::
Christian Siam คำถาม - คำตอบ
Christian Siam พระเยซูคือใคร
Christian Siam พระเยซูเกิดจริงหรือ?
Christian Siam เราเกิดมาทำไม
Christian Siam เราตายแล้วไปไหน
Christian Siam ทฤษฎีวิวัฒนาการ...จริง?
Christian Siam เป็นคริสเตียนได้อย่างไร
Christian Siam คำพยานชีวิต

Christian Siam
H O M E
:: สำหรับคริสเตียนใหม่ ::
:: สื่อคริสเตียนออนไลน์ ::
Christian Siam มานาประจำวัน
Christian Siam เพลงจาก Youtube
 

                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN

         CHRISTIAN SIAM.COM
         CHRISTIAN SIAM.COM
         CHRISTIAN SIAM.COM

                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN



อพยพ

1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |

16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |

31 | 32 | 33 | 34 | 35 | 36 | 37 | 38 | 39 | 40

อพยพ 1
1 ต่อไปนี้เป็นชื่อบุตรของอิสราเอลที่เข้าไป อาศัยอยู่ในประเทศอียิปต์ (ต่างตามยาโคบไปพร้อมกับครอบครัวของตน)
2 คือ รูเบน สิเมโอน เลวี และยูดาห์
3 อิสสาคาร์ เศบูลุน และเบนยามิน
4 ดาน และนัฟทาลี กาด และอาเชอร์
5 คนทั้งปวงที่เป็นเชื้อสายของยาโคบรวมเจ็ดสิบคนด้วยกัน ส่วนโยเซฟนั้นอยู่ที่ประเทศอียิปต์แล้ว
6 ต่อมาโยเซฟกับพี่ชายและน้องชายทั้ง บรรดาคนสมัยนั้นถึงแก่ความตายหมด
7 ฝ่ายเชื้อสายอิสราเอลมีบุตรหลานมากและเพิ่มจำนวนขึ้นมาก พวกเขาทวีมากขึ้น และมีกำลังมากทีเดียว แพร่หลายไปจนเต็มเมืองนั้น
8 มีกษัตริย์องค์ใหม่ขึ้นครองราชสมบัติในประเทศอียิปต์ พระองค์มิได้ทรงรู้จักกับโยเซฟ
9 พระองค์ทรงประกาศแก่ชนชาติของพระองค์ว่า "ดูเถิด คนอิสราเอลมีมากเกินไป และมีกำลังยิ่งกว่าเราอีก
10 มาเถิด ให้เราหาอุบายปราบพวกนี้ มิฉะนั้นเขาจะทวีมากขึ้น แล้วถ้าเกิดสงครามขึ้นเมื่อใด ชนชาตินี้จะสมทบกับพวกข้าศึกของเราสู้รบกับเรา แล้วจะยกออกไปจากอาณาจักร"
11 เหตุฉะนั้นเขาจึงตั้งนายงาน เกณฑ์ให้คนอิสราเอลทำการงานตรากตรำ และเขาทั้งหลายสร้างหัวเมืองเก็บราชสมบัติของฟาโรห์คือ เมืองปิธม และเมืองราอัมเสส
12 แต่ยิ่งถูกเบียดเบียนมากเท่าไร ชนชาติอิสราเอลก็ยิ่งทวีมากขึ้น และยิ่งแพร่หลายออกไป ชาวอียิปต์ก็ครั่นคร้ามต่อ ชนชาติอิสราเอล
13 จึงบังคับชนชาติอิสราเอลให้ทำงานหนัก
14 ทำให้ชีวิตของเขาขมขื่น เพราะงานหนักที่เขากระทำนั้น เช่นทำปูนสอ ทำอิฐและทำงานต่างๆที่ทุ่งนา เขาถูกบังคับให้ทำงานหนักทุกชนิด
15 ฝ่ายกษัตริย์อียิปต์ทรงรับสั่งนางผดุงครรภ์ชาวฮีบรูคนหนึ่ง ชื่อชิฟราห์อีกคนหนึ่งชื่อปูอาห์
16 ว่า "เมื่อเจ้าไปทำการคลอดให้แก่หญิงฮีบรูเห็นเด็กคลอด ถ้าเป็นเด็กชายก็ให้ฆ่าเสีย ถ้าเป็นเด็กหญิงก็ให้ไว้ชีวิต"
17 แต่นางผดุงครรภ์ยำเกรงพระเจ้า จึงมิได้ทำตามพระบัญชาของกษัตริย์อียิปต์ ปล่อยให้บุตรชายรอดชีวิต
18 กษัตริย์จึงรับสั่งให้นางผดุงครรภ์เข้าเฝ้า ตรัสว่า "เหตุไฉนเจ้าจึงทำอย่างนี้ ปล่อยให้เด็กชายรอดชีวิต"
19 นางผดุงครรภ์จึงกราบทูลฟาโรห์ว่า "เพราะหญิงฮีบรูไม่เหมือนหญิงอียิปต์ เขาไวจึงคลอดบุตรง่าย นางผดุงครรภ์มาไม่ทัน"
20 พระเจ้าจึงทรงโปรดปรานนางผดุงครรภ์นั้น ประชาชนยิ่งทวีมากขึ้น และมีกำลังเข้มแข็งมาก
21 เพราะนางผดุงครรภ์นั้นยำเกรงพระเจ้า พระองค์จึงได้ทรงให้เขาทั้งสองมีครอบครัว
22 ฝ่ายฟาโรห์จึงรับสั่งแก่ราษฎรทั้งปวงว่า "บุตรชายฮีบรูทุกคนที่เกิดมา ให้เอาไปทิ้งเสียในแม่น้ำไนล์ แต่บุตรหญิงทุกคนให้รอดชีวิตอยู่ได้"

อพยพ 2
1 ยังมีชายเผ่าเลวีคนหนึ่ง ได้หญิงสาวคนเลวีมาเป็นภรรยา
2 หญิงนั้นตั้งครรภ์คลอดบุตรชาย เมื่อนางเห็นว่าบุตรน่ารัก จึงซ่อนไว้ถึงสามเดือน
3 ครั้นนางจะซ่อนต่อไปอีกไม่ได้แล้วก็เอาตะกร้าสานด้วยต้นกก ยาด้วยยางมะตอยและชัน เอาทารกใส่ลงในตะกร้า แล้วนำไปวางไว้ที่กอปรือริมแม่น้ำ
4 ส่วนพี่สาวยืนอยู่แต่ไกลคอยดูว่า จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นแก่น้อง
5 เมื่อพระราชธิดาของฟาโรห์ลงไปสรงที่แม่น้ำ และพวกสาวใช้เดินเที่ยวไปตามริมฝั่ง พระนางทรงเห็นตะกร้าอยู่ระหว่างกอปรือ จึงทรงสั่งให้สาวใช้ไปนำมา
6 เมื่อเปิดตะกร้านั้นออกก็เห็นทารกกำลังร้องไห้ พระนางทรงเมตตาทารกนั้น ตรัสว่า "นี่เป็นลูกชาวฮีบรู"
7 พี่สาวทารกจึงทูลถามพระราชธิดาของฟาโรห์ว่า "จะให้หม่อมฉันไปหานางนมชาวฮีบรูมาเลี้ยงทารก นี้ให้พระนางไหม"
8 พระราชธิดาของฟาโรห์จึงมีรับสั่งว่า "ไปหาเถิด" หญิงสาวนั้นจึงไปเรียกมารดาของทารกนั้นมา
9 ฝ่ายพระราชธิดาของฟาโรห์ จึงตรัสสั่งหญิงนั้นว่า "รับเด็กนี้ไปเลี้ยงไว้ให้เราแล้วเราจะให้ค่าจ้าง" หญิงนั้นจึงรับทารกไปเลี้ยงไว้
10 เมื่อทารกเติบใหญ่ขึ้นแล้ว นางก็พามาถวายพระราชธิดาของฟาโรห์ พระนางก็รับไว้เป็นพระราชบุตรของพระนาง ประทานชื่อว่า โมเสส ตรัสว่า "เพราะเราได้ฉุดขึ้นมาจากน้ำ"
11 ครั้นโมเสสเติบใหญ่ขึ้นแล้ว วันหนึ่งจึงไปหาพวกพี่น้อง เห็นเขาต้องทำงานตรากตรำ โมเสสเห็นคนอียิปต์คนหนึ่งกำลังตีคนฮีบรู ซึ่งเป็นชนชาติเดียวกันกับตน
12 ท่านมองดูซ้ายขวาเห็นว่าไม่มีผู้ใดอยู่ที่นั่น จึงฆ่าคนอียิปต์นั้นเสีย แล้วซ่อนศพไว้ในทราย
13 เมื่อโมเสสออกไปอีกในวันรุ่งขึ้น ก็เห็นชาวฮีบรูสองคนต่อสู้กันอยู่ จึงตักเตือนคนที่ทำผิดนั้นว่า "ท่านตีพี่น้องของท่านเองทำไม"
14 เขาตอบว่า "ใครแต่งตั้งท่านให้เป็นเจ้านาย และเป็นตุลาการ ปกครองข้าพเจ้า ท่านตั้งใจจะฆ่าข้าพเจ้าเหมือนกับที่ได้ฆ่าคนอียิปต์คนนั้นหรือ" โมเสสได้ฟังก็กลัวนึกว่า "เรื่องนั้นได้ลือกันไปทั่วแล้วเป็นแน่"
15 เมื่อฟาโรห์ทรงทราบเรื่องก็หาช่องที่จะประหารชีวิตโมเสส เสีย แต่โมเสสหนีฟาโรห์ไปอยู่เมืองมีเดียน เขานั่งลงที่ริมบ่อน้ำแห่งหนึ่ง
16 ฝ่ายปุโรหิตของคนมีเดียนมีบุตรีเจ็ดคน หญิงเหล่านั้นพากันมาตักน้ำใส่รางให้ฝูงแพะแกะของบิดากิน
17 เวลานั้นมีคนเลี้ยงแกะมาไล่หญิงเหล่านั้น โมเสสจึงลุกขึ้นช่วยหญิงเหล่านั้น และให้สัตว์ของเธอกินน้ำ
18 เมื่อหญิงเหล่านั้นกลับไปหาเรอูเอลผู้บิดา บิดาถามว่า "วันนี้ทำไมพวกเจ้าจึงพากันกลับเร็ว"
19 เธอตอบว่า "มีชายคนอียิปต์คนหนึ่ง ช่วยพวกฉันให้พ้นจากมือของพวกเลี้ยงแกะ ทั้งยังตักน้ำให้พวกฉัน และให้ฝูงแพะแกะกินด้วย"
20 บิดาจึงถามบุตรหญิงของท่านว่า "ชายผู้นั้นอยู่ที่ไหนทำไมจึงทิ้งเขาไว้ล่ะ ไปเชิญเขามารับประทานอาหารซิ"
21 โมเสสก็เต็มใจอาศัยอยู่กับเรอูเอล แล้วเรอูเอลก็ยกศิปโปราห์บุตรสาวให้แก่โมเสส
22 นางก็คลอดบุตรชายคนหนึ่ง โมเสสตั้งชื่อว่า เกอร์โชม เพราะท่านกล่าวว่า "ข้าพเจ้าเป็นคนต่างด้าว อาศัยอยู่ต่างประเทศ"
23 ครั้นเวลาล่วงมาช้านานกษัตริย์อียิปต์ก็สิ้นพระชนม์ คนอิสราเอลเศร้าใจมากเพราะเหตุที่เป็นทาสเขา จึงร้องคร่ำครวญขอความช่วยเหลือ เสียงร่ำร้องเพราะการที่ต้องเป็นทาสนี้ ดังขึ้นมาถึงพระเจ้า
24 พระเจ้าทรงสดับเสียงคร่ำครวญของเขา จึงทรงระลึกถึงพันธสัญญาที่พระองค์ ได้ทรงกระทำไว้กับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ
25 พระเจ้าทอดพระเนตรชนชาติอิสราเอล แล้วทรงทราบถึงสภาพความเป็นไปของเขา

อพยพ 3
1 ฝ่ายโมเสสเมื่อเลี้ยงฝูงแพะแกะของเยโธรพ่อตา ผู้เป็นปุโรหิตของคนมีเดียน ได้พาฝูงแพะแกะไปทางตะวันตกของถิ่นทุรกันดาร จนมาถึงภูเขาของพระเจ้าคือ โฮเรบ
2 ทูตของพระเจ้าก็ปรากฏแก่โมเสส ท่ามกลางพุ่มไม้เป็นเปลวไฟ โมเสสมองดู เห็นพุ่มไม้นั้นมีไฟลุกโชนอยู่ แต่มิได้ไหม้โทรมไป
3 โมเสสจึงว่า "ข้าจะแวะเข้าไปดูสิ่งแปลกประหลาดนี้ ว่าเหตุไฉนพุ่มไม้จึงไม่ไหม้"
4 ครั้นพระเจ้าทอดพระเนตรเห็นเขาเดินเข้ามาดู จึงตรัสออกมาจากพุ่มไม้นั้นว่า "โมเสส โมเสสเอ๋ย" โมเสสทูลตอบว่า "ข้าพระองค์อยู่ที่นี่"
5 พระองค์จึงตรัสว่า "อย่าเข้ามาใกล้ที่นี่ ถอดรองเท้าของเจ้าออกเสีย เพราะว่าที่ซึ่งเจ้ายืนอยู่นี้เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์"
6 แล้วพระองค์ตรัสอีกว่า "เราเป็นพระเจ้าของบิดาเจ้า เป็นพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ" โมเสสปิดหน้าเสีย เพราะกลัวไม่กล้ามองดูพระเจ้า
7 พระเจ้าตรัสว่า "เราเห็นความทุกข์ของประชากรของเราที่อยู่ในประเทศ อียิปต์แล้ว เราได้ยินเสียงร้องของเขา เพราะการกดขี่ของพวกนายงาน เรารู้ถึงความทุกข์ร้อนต่างๆของเขา
8 เราลงมาเพื่อจะช่วยเขาให้รอดจากมือชาวอียิปต์ และนำเขาออกจากประเทศนั้น ไปยังแผ่นดินที่อุดมกว้างขวาง เป็นแผ่นดินที่มีน้ำนม และน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ คือไปยังที่อยู่ของชาวคานาอัน คนฮิตไทต์ คนอาโมไรต์ คนเปริสซี คนฮีไวต์ และคนเยบุส
9 บัดนี้คำร่ำร้องของชนชาติอิสราเอลมาถึงเราแล้ว ทั้งเราได้เห็นการบีบคั้นซึ่งชาวอียิปต์กระทำต่อเขาแล้ว
10 เราจะใช้เจ้าไปเฝ้าฟาโรห์ เพื่อจะได้พาประชากรของเรา คือชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์"
11 ฝ่ายโมเสสจึงทูลพระเจ้าว่า "ข้าพระองค์เป็นผู้ใดเล่า จึงจะไปเฝ้าฟาโรห์และนำคนอิสราเอลออกจากอียิปต์"
12 พระองค์จึงตรัสว่า "เราจะอยู่กับเจ้าแน่ นี่เป็นหมายสำคัญให้เจ้ารู้ว่าเราใช้ให้เจ้าไป คือเมื่อเจ้านำประชากรออกจากอียิปต์แล้ว เจ้าทั้งหลายจะมานมัสการพระเจ้าบนภูเขานี้"
13 ฝ่ายโมเสสทูลพระเจ้าว่า "เมื่อข้าพระองค์ไปหาชนชาติอิสราเอล และบอกพวกเขาว่า 'พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่านทั้งหลาย ทรงสั่งข้าพเจ้ามาหาท่าน' และเขาจะถามข้าพระองค์ว่า 'พระองค์ทรงพระนามว่ากระไร' ข้าพระองค์จะตอบเขาอย่างไร"
14 พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า "เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น" แล้วพระองค์ตรัสว่า "ไปบอกชนชาติอิสราเอลว่า 'พระองค์ผู้ทรงพระนามว่าเราเป็น ทรงใช้ข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลาย'"
15 พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสอีกว่า "เจ้าจงกล่าวแก่ประชากรอิสราเอลว่า ดังนี้ 'พระเยโฮวาห์ พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่าน คือพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ ทรงใช้ให้ข้าพเจ้ามาหาท่าน' นี่แหละเป็นนามของเราตลอดไปเป็นนิตย์ นี่แหละเป็นอนุสรณ์ของเราตลอดทุกชั่วชาติพันธุ์
16 เจ้าจงไปรวบรวมพวกผู้ใหญ่ของอิสราเอล ให้มาประชุมพร้อมกัน แล้วกล่าวแก่เขาว่า 'พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่าน พระเจ้าของอับราฮัม ของอิสอัค และของยาโคบ ปรากฏแก่ข้าพเจ้า ตรัสว่า "เราสังเกตเห็นเจ้าทั้งหลายแล้ว และได้เห็นความทารุณ ซึ่งเขาได้กระทำแก่เจ้าในอียิปต์
17 เราสัญญาไว้แล้วว่า เราจะพาเจ้าทั้งหลายไปให้พ้นจากความทุกข์ในประเทศอียิปต์ ไปยังแผ่นดินของชาวคานาอัน คนฮิตไทต์ คนอาโมไรต์ คนเปริสซี คนฮีไวต์ และคนเยบุส ไปยังแผ่นดินซึ่งมีน้ำนมและน้ำผึ้งบริบูรณ์'"
18 เขาจะเชื่อฟังคำของเจ้า แล้วเจ้ากับพวกผู้ใหญ่ของคนอิสราเอล จงพากันไปเฝ้ากษัตริย์ของอียิปต์ทูลว่า 'พระเยโฮวาห์พระเจ้าของคนฮีบรู ทรงปรากฏแก่ข้าพระบาททั้งหลาย บัดนี้ ขอได้โปรดให้ข้าพระบาทเดินทางไปในถิ่นทุรกันดารสัก สามวัน เพื่อจะถวายสัตวบูชาแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพระบาท'
19 เรารู้แล้วว่ากษัตริย์แห่งอียิปต์จะไม่ยอมให้พวกเจ้าไป แม้จะถูกประหารด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์
20 เราจะเหยียดมือออกประหารอียิปต์ด้วยอัศจรรย์ต่างๆ ที่เราจะกระทำในท่ามกลางประเทศนั้น หลังจากนั้น กษัตริย์ก็จะทรงยอมปล่อยพวกเจ้าไป
21 เราจะให้ประชากรเหล่านี้เป็นที่ชอบพอของชาวอียิปต์ เมื่อเจ้าทั้งหลายออกไปก็จะไม่ต้องไปมือเปล่า
22 ให้ผู้หญิงทุกคนขอเครื่องเงินเครื่องทองและเสื้อผ้าจากเพื่อนบ้าน และจากหญิงที่อาศัยอยู่ในเรือนของเขา เอาเครื่องแต่งตัวนั้นไปแต่งให้บุตรีของเจ้า ด้วยวิธีนี้แหละ เจ้าจะได้ริบเอาสิ่งของของชาวอียิปต์"

อพยพ 4
1 โมเสสจึงทูลตอบว่า "แต่พระองค์เจ้าข้า เขาจะไม่เชื่อข้าพระองค์หรือฟังเสียงของข้าพระองค์ เพราะเขาจะว่า 'พระเจ้ามิได้ทรงปรากฏแก่ท่านเลย'"
2 พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า "อะไรอยู่ในมือของเจ้า" ท่านทูลว่า "ไม้เท้า พระเจ้าข้า"
3 พระองค์ตรัสว่า "โยนลงที่พื้นดินเถิด" ท่านจึงทิ้งไม้เท้าลงบนพื้นดิน ไม้เท้านั้นก็กลายเป็นงู โมเสสก็เดินหลบหนีงูไป
4 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "เอื้อมมือจับหางงูไว้" (พอท่านเอื้อมมือจับหางงู มันก็กลายเป็นไม้เท้าอยู่ในมือของท่าน)
5 "เพื่อเขาทั้งหลายจะได้เชื่อว่า พระเจ้าของบรรพบุรุษของเขา พระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ ทรงปรากฏแก่เจ้าแล้ว"
6 พระเจ้าตรัสกับโมเสสอีกว่า "เอามือสอดไว้ที่อกของเจ้า" ท่านสอดมือไว้ที่อก เมื่อชักมือออก มือของท่านก็เป็นโรคเรื้อน ขาวเหมือนหิมะ
7 พระองค์จึงตรัสว่า "เอามือสอดไว้ที่อกอีกครั้งหนึ่ง" โมเสสก็สอดมือเข้าที่อกอีก แล้วเมื่อท่านชักออกมา ดูเถิด มือนั้นกลับกลายเป็นเหมือนเนื้อหนังส่วนอื่นของท่าน
8 พระเจ้าตรัสว่า "ถ้าเขาจะไม่เชื่อเจ้า และไม่เชื่อหมายสำคัญครั้งที่หนึ่ง เขาอาจเชื่อหมายสำคัญที่สอง
9 ถ้าเขาไม่เชื่อหมายสำคัญทั้งสองครั้งนี้ ทั้งไม่ฟังเสียงของเจ้า จงตักน้ำในแม่น้ำไนล์มานิดหน่อยและเทลงที่ดินแห้ง แล้วน้ำที่เจ้าตักมาจากแม่น้ำนั้นจะกลายเป็นเลือด บนดินแห้งนั้น"
10 แต่โมเสสทูลพระเจ้าว่า "ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์มิใช่คนช่างพูด ทั้งในกาลก่อน และตั้งแต่เวลาที่พระองค์ตรัสกับผู้รับใช้ของพระองค์ ข้าพระองค์เป็นคนพูดไม่คล่องแคล่ว"
11 พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า "ผู้ใดเล่าที่สร้างปากมนุษย์ หรือทำให้เป็นใบ้ หูหนวก ตาดี หรือตาบอด เรา พระเจ้าเป็นผู้ทำไม่ใช่หรือ
12 เพราะฉะนั้น ไปเถิด เราจะอยู่ที่ปากของเจ้า และจะสอนคำซึ่งควรจะพูด"
13 แต่เขาทูลว่า "ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงโปรดใช้ผู้อื่นไปเถิด พระเจ้าข้า"
14 ฝ่ายพระเจ้ากริ้วโมเสส จึงตรัสว่า "เจ้ามีพี่ชายคืออาโรนคนเลวีไม่ใช่หรือ เรารู้แล้วว่าเขาเป็นคนพูดเก่ง บัดนี้เขากำลังเดินทางมาพบเจ้า เมื่อเขาเห็นเจ้าเขาจะดีใจ
15 เจ้าจงพูดกับเขา และบอกให้เขาพูด แล้วเราจะอยู่ที่ปากของเจ้า และปากของเขา และจะสั่งสอนเจ้าทั้งสองให้รู้ว่า ควรทำประการใด
16 เขาจะเป็นผู้พูดแก่ประชากรแทนเจ้า เขาจะเป็นปากแทนเจ้า และเจ้าจะเป็นดังพระเจ้าแก่เขา
17 เจ้าจงถือไม้เท้านี้ไว้สำหรับทำหมายสำคัญเหล่านั้น"
18 โมเสสจึงกลับไปหาเยโธรพ่อตาของตน บอกว่า "ขอลากลับไปหาพี่น้องซึ่งอยู่ในอียิปต์ เพื่อจะได้ดูว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่" ฝ่ายเยโธรตอบโมเสสว่า "ไปโดยสวัสดิภาพเถิด"
19 พระเจ้าตรัสกับโมเสสในเมืองมีเดียนว่า "กลับไปอียิปต์ เพราะคนทั้งหลายที่หาช่องประหารชีวิตเจ้านั้นตายแล้ว"
20 โมเสสจึงให้ภรรยาและบุตรชายของตนขี่ลากลับไป ยังแผ่นดินอียิปต์ ส่วนโมเสสก็ถือไม้เท้าของพระเจ้าไปด้วย
21 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "เมื่อเจ้ากลับไปถึงอียิปต์ จงกระทำอัศจรรย์ต่างๆ ซึ่งเรามอบไว้ในอำนาจของเจ้าแล้วนั้นต่อหน้าฟาโรห์ แต่เราจะทำให้ใจของฟาโรห์แข็งกระด้าง ไม่ยอมให้ประชากรไป
22 เจ้าจงทูลฟาโรห์ว่า 'พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า คนอิสราเอลเป็นบุตรหัวปีของเรา
23 เราบอกแก่เจ้าว่า "จงปล่อยบุตรของเราให้ไปนมัสการเรา" ถ้าเจ้าไม่ยอมให้เขาไป เราจะประหารชีวิตบุตรหัวปีของเจ้าเสีย'"
24 ณ ที่พักระหว่างทาง พระเจ้าเสด็จมาพบโมเสส และจะทรงประหารชีวิตของท่านเสีย
25 นางศิปโปราห์จึงเอาหินคมตัดหนังที่ ปลายองคชาตบุตรชายของตน แล้วเอาไปแตะเท้าของโมเสสกล่าวว่า "จริงนะ ท่านเป็นเจ้าบ่าวแห่งโลหิตแก่ฉัน"
26 พระเจ้าจึงทรงละท่านไป นางจึงกล่าวว่า "ท่านเป็นเจ้าบ่าวแห่งโลหิต" เนื่องจากพิธีเข้าสุหนัต
27 พระเจ้าตรัสกับอาโรนว่า "จงไปพบกับโมเสสในถิ่นทุรกันดาร" เขาก็ไปพบกับท่านที่ภูเขาของพระเจ้าและสวมกอดท่าน
28 โมเสสจึงเล่าให้อาโรนฟังถึงพระดำรัส ซึ่งพระเจ้าตรัสเมื่อทรงใช้ตน และถึงหมายสำคัญทั้งปวงซึ่งพระองค์ทรงกำชับให้กระทำ
29 โมเสสกับอาโรนเรียกประชุมบรรดาผู้ใหญ่ของชนชาติ อิสราเอลพร้อมกัน
30 แล้วอาโรนจึงกล่าวถึงพระดำรัสทั้งหมด ซึ่งพระเจ้าตรัสแก่โมเสส และทำหมายสำคัญต่างๆนั้นต่อหน้าประชาชน
31 ฝ่ายประชาชน เมื่อได้ยินว่าพระเจ้าเสด็จมาเยี่ยมเยียนชนชาติอิสราเอล และทอดพระเนตรเห็นความทุกข์ยากของเขาแล้วก็เชื่อ เขากราบลงนมัสการ

อพยพ 5
1 ต่อมาภายหลังโมเสสกับอาโรนพากันเข้าเฝ้าฟาโรห์ ทูลว่า "พระเจ้าของอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า 'จงปล่อยประชากรของเราไป เพื่อเขาจะได้ทำการเลี้ยงนมัสการเราในถิ่นทุรกันดาร'"
2 ฟาโรห์จึงตรัสว่า "พระเจ้านั้นเป็นผู้ใดเล่า เราจึงจะต้องฟังคำของพระองค์และปล่อยคนอิสราเอลไป เราไม่รู้จักพระเจ้า และยิ่งกว่านั้น เราจะไม่ยอมปล่อยคนอิสราเอลไปเป็นอันขาด"
3 เขาทั้งสองจึงทูลว่า "พระเจ้าของคนฮีบรูทรงปรากฏแก่ข้าพระบาท ดังนั้นขอโปรดให้ข้าพระบาททั้งหลายเดินทาง ไปในถิ่นทุรกันดารสักสามวัน เพื่อจะได้ทำพิธีถวายสัตวบูชาแด่พระเจ้าของข้าพระบาท หาไม่พระองค์จะทรงลงโทษพวกข้าพระบาทด้วยโรคภัย หรือด้วยดาบ"
4 กษัตริย์แห่งอียิปต์ตรัสกับเขาว่า "เจ้าโมเสสกับอาโรน เจ้าจะให้ประชาชนละทิ้งการงานของเขาเสียทำไม เจ้าจงกลับไปรับภาระตามหน้าที่ของเจ้า"
5 ฟาโรห์ตรัสต่อไปว่า "ดูเถิด เดี๋ยวนี้พวกไพร่ในประเทศนี้มีมาก และเจ้าทั้งสองทำให้เขาต้องหยุดงานของเขาเสีย"
6 ในวันนั้นเองฟาโรห์มีพระบัญชาสั่งนายงาน และนายกองของประชาชนว่า
7 "ตั้งแต่วันนี้ไป อย่าให้ฟางแก่พวกไพร่สำหรับใช้ทำอิฐเหมือนแต่ก่อน แต่ให้เขาไปเที่ยวหาฟางเอาเอง
8 ส่วนจำนวนอิฐซึ่งแต่ก่อนเกณฑ์ให้ทำเท่าไร ก็จงเกณฑ์ให้ทำเท่านั้น อย่าได้ลดหย่อนลง เพราะว่าเขาเกียจคร้าน เหตุฉะนี้เขาจึงพากันร้องว่า 'ขอให้พวกข้าพระบาทไปถวายสัตวบูชาแด่ พระเจ้าของพวกข้าพระบาท'
9 จงจัดหางานให้เขาทำหนักกว่าแต่ก่อน เพื่อเขาจะได้ไม่มีเวลาไปฟังคำพูดเหลวไหล"
10 ฝ่ายนายงานและนายกองของประชาชนก็ออกไปบอกว่า "ฟาโรห์รับสั่งดังนี้ว่า 'เราจะไม่ยอมให้ฟางแก่พวกเจ้าเลย
11 เจ้าจงไปหาฟางมาเอง ตามแต่จะหามาได้เถิด แต่งานที่เกณฑ์นั้นก็ไม่ลดหย่อนให้เลย'"
12 ประชาชนเหล่านั้น จึงแยกย้ายกันไปทั่วแผ่นดินอียิปต์เก็บตอฟางมาแทนฟาง
13 นายงานก็เร่งรัดว่า "จงทำงานประจำวันของ เจ้าให้เสร็จครบเหมือนเมื่อยังมีฟางอยู่"
14 นายกองของชนชาติอิสราเอล ซึ่งนายงานของฟาโรห์ตั้งให้เป็นผู้บังคับเขานั้น ก็ถูกตีและถูกถามว่า "ทำไมหมู่นี้จึงไม่ได้อิฐที่เกณฑ์ไว้เต็มจำนวนเหมือนแต่ก่อน"
15 นายกองของชนชาติอิสราเอลจึงมาร้องทูลต่อฟาโรห์ว่า "เหตุไฉนฝ่าพระบาทจึงทรงกระทำดังนี้แก่พวกทาส
16 เขามิได้ให้ฟางแก่พวกทาสของฝ่าพระบาทเลย แต่เขาสั่งว่า 'ทำอิฐซิ' ดูเถิด ข้าแต่ฝ่าพระบาท เขาโบยตีพวกทาส แต่ข้าราชการของฝ่าพระบาทเองเป็นฝ่ายผิด"
17 ฟาโรห์ตรัสว่า "พวกเจ้าเกียจคร้าน เกียจคร้านจริงๆ พวกเจ้าจึงมาร้องว่า 'ขอให้ข้าพระบาทไปถวายสัตวบูชาแด่พระเจ้า'
18 เหตุฉะนั้นเจ้าจงไปทำงานเดี๋ยวนี้ ฟางนั้นเขาจะไม่ให้พวกเจ้าเลย แต่จำนวนอิฐที่เกณฑ์ไว้นั้น พวกเจ้าจะต้องทำมาให้ครบจำนวน"
19 นายกองชนชาติอิสราเอลเมื่อถูกสั่งว่า "ไม่ให้ลดหย่อนจำนวนอิฐที่ถูกเกณฑ์ให้ทำทุกๆวันลง" ก็เห็นว่าตนถูกแกล้งแล้ว
20 ครั้นออกมาจากเฝ้าฟาโรห์ เขาพบโมเสสกับอาโรนยืนคอยเขาอยู่
21 จึงกล่าวแก่เขาทั้งสองว่า "ขอพระเจ้าทรงพิจารณา และพิพากษาลงโทษท่านทั้งสอง เพราะท่านกระทำให้พวกข้าพเจ้าเป็นที่เกลียดชังต่อฟาโรห์ และต่อข้าราชการทั้งปวงของพระองค์ เหมือนหนึ่งเอาดาบใส่มือเขาให้ฆ่าพวกข้าพเจ้าเสีย"
22 โมเสสจึงกลับไปทูลพระเจ้าว่า "ข้าแต่พระเจ้า เหตุไฉนพระองค์ทรงทำรุนแรงแก่ชนชาตินี้ เหตุไฉนพระองค์จึงทรงใช้ข้าพระองค์มา
23 ตั้งแต่ข้าพระองค์ไปเฝ้าฟาโรห์ และทูลในพระนามของพระองค์แล้ว ฟาโรห์ก็ทำทารุณแก่ชนชาตินี้ ส่วนพระองค์ก็มิได้ทรงช่วย ประชากรของพระองค์ให้พ้นความทุกข์เลย"

อพยพ 6
1 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "บัดนี้เจ้าจะได้เห็นเหตุการณ์ซึ่งเราจะกระทำแก่ฟาโรห์ คือเราจะบังคับฟาโรห์ ด้วยมืออันทรงฤทธิ์ ให้ปล่อยประชาชนไป เออ ด้วยมืออันเข้มแข็งของเรานั่นแหละ เขาจะไล่ประชาชนออกจากแผ่นดินของเขา"
2 พระเจ้าตรัสกับโมเสสอีกว่า "เราคือพระเยโฮวาห์
3 เราปรากฏแก่อับราฮัม แก่อิสอัค และแก่ยาโคบด้วยนามว่าพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ แต่เรามิได้สำแดงให้เขารู้จักเรา ในนามพระเยโฮวาห์
4 อีกประการหนึ่ง เราทำพันธสัญญาไว้กับเขาทั้งหลายแล้วว่า เราจะยกแผ่นดินคานาอันให้แก่เขา อันเป็นแผ่นดินที่เขาเคยอาศัยอยู่ในฐานะคนต่างด้าว
5 ยิ่งกว่านั้น เราได้ยินเสียงคร่ำครวญของชนชาติอิสราเอล ซึ่งชาวอียิปต์กักไว้ให้เป็นทาสและเราระลึก ถึงพันธสัญญาของเรา
6 เหตุฉะนี้จงกล่าวแก่ชนชาติอิสราเอลว่า 'เราคือพระเยโฮวาห์ เราจะนำพวกเจ้าไปให้พ้นจาก งานตรากตรำที่ชาวอียิปต์เกณฑ์ให้ทำ และจะให้พ้นจากการเป็นทาสเขา เราจะช่วยกู้เจ้าด้วยแขนที่เงื้อง่า และด้วยการพิพากษาอันใหญ่หลวง
7 เราจะรับพวกเจ้าเป็นประชากรของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของพวกเจ้า พวกเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า ผู้นำเจ้าไปให้พ้นจากงานตรากตรำที่ชาวอียิปต์เกณฑ์ให้ทำ
8 เราจะนำพวกเจ้าเข้าไปในแผ่นดิน ซึ่งเราได้ปฏิญาณไว้ว่าจะให้แก่ อับราฮัม แก่อิสอัค และแก่ยาโคบ เราจะยกแผ่นดินนั้น ให้แก่เจ้าเป็นกรรมสิทธิ์ เราคือพระเจ้า'"
9 โมเสสจึงนำความนั้นไปเล่าให้ชนชาติอิสราเอลฟัง แต่เขามิได้เชื่อฟังโมเสสเพราะหมดอาลัยตายอยาก และทนงานทาสแทบไม่ไหว
10 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
11 "จงเข้าไปเฝ้าฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ บอกให้ปล่อยชนชาติอิสราเอลไปจากแผ่นดินของเขา"
12 แต่โมเสสกราบทูลพระเจ้าว่า "แม้แต่ชนชาติอิสราเอลก็มิได้เชื่อฟังข้าพระองค์ ฟาโรห์จะเชื่อฟังข้าพระองค์อย่างไร ข้าพระองค์เป็น คนพูดไม่คล่อง"
13 พระเจ้าจึงตรัสแก่โมเสสและอาโรน ให้แจ้งแก่ชนชาติอิสราเอลและฟาโรห์กษัตริย์อียิปต์ว่า พระองค์ทรงมีบัญชาท่านทั้งสองให้พาชนชาติ อิสราเอลออกจากแผ่นดินอียิปต์
14 ต่อไปนี้เป็นต้นตระกูลของเขา บุตรของรูเบนผู้เป็นบุตรหัวปีของอิสราเอลชื่อฮาโนค ปัลลู เฮสโรน และคารมี เหล่านี้เป็นตระกูลเผ่ารูเบน
15 บุตรของสิเมโอนชื่อเยมูเอล ยามีน โอหาด ยาคีน โศหาร์ และชาอูลผู้เกิดจากหญิงชาวคานาอัน เหล่านี้เป็นตระกูลเผ่าสิเมโอน
16 ต่อไปนี้เป็นชื่อบุตรของเลวี ตามชาติพันธุ์ของเขาคือ เกอร์โชน โคฮาท และเมรารี เลวีนั้นมีอายุได้ร้อยสามสิบเจ็ดปี
17 บุตรของเกอร์โชนชื่อลิบนีและชิเมอี ตามตระกูลของเขา
18 บุตรของโคฮาทชื่ออัมราม อิสฮาร์ เฮโบรน และอุสซีเอล โคฮาทมีอายุได้ร้อยสามสิบสามปี
19 บุตรของเมรารีชื่อ มาห์ลี และมูชี เหล่านี้เป็นตระกูลของคนเลวี ตามชาติพันธุ์ของเขา
20 ฝ่ายอัมรามได้โยเคเบดน้องบิดาของตนเป็นภรรยา แล้วนางให้กำเนิดบุตรแก่เขาชื่ออาโรนและโมเสส อัมรามมีอายุได้ร้อยสามสิบเจ็ดปี
21 บุตรของอิสฮาร์ชื่อโคราห์ เนเฟกและศิครี
22 บุตรของอุสชีเอล ชื่อมิชาเอล เอลซาฟานและสิธรี
23 ฝ่ายอาโรนได้นางเอลีเชบาบุตรีของอัมมีนาดับ น้องสาวของนาโชนเป็นภรรยา นางมีบุตรกับเขาชื่อ นาดับ อาบีฮู เอเลอาซาร์และอิธามาร์
24 บุตรของโคราห์ชื่ออัสสีร์ เอลคานาห์และอาบียาสาฟ เหล่านี้เป็นตระกูลของคนโคราห์
25 ฝ่ายเอเลอาซาร์บุตรอาโรน ได้รับบุตรีคนหนึ่งของปูทิเอลเป็นภรรยา นางมีบุตรกับเขาชื่อฟีเนหัส คนเหล่านี้เป็นต้นตระกูลของคนเลวีตามตระกูล
26 อาโรนและโมเสสสองคนนี้แหละ คือผู้ที่พระเจ้าได้ตรัสว่า "จงพาชนชาติอิสราเอล ออกจากแผ่นดินอียิปต์ตามหมู่ตามกองของเขา"
27 สองคนนี้แหละเป็นผู้ที่กราบทูลฟาโรห์กษัตริย์ของอียิปต์ เรื่องพาชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์คือโมเสสคนนี้ และอาโรนคนนี้แหละ
28 ในวันที่พระเจ้าตรัสกับโมเสสในแผ่นดินอียิปต์นั้น
29 พระองค์ตรัสกับโมเสสว่า "เราคือพระเจ้า เจ้าจงบอกฟาโรห์กษัตริย์ของอียิปต์ ตามข้อความซึ่งเราได้บอกแก่เจ้า"
30 ฝ่ายโมเสสกราบทูลพระเจ้าว่า "ข้าพระองค์เป็นคนพูดไม่คล่อง ที่ไหนฟาโรห์จะเชื่อฟังข้าพระองค์"

อพยพ 7
1 พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า "ดูซี เราตั้งเจ้าไว้เป็นดังพระเจ้าต่อฟาโรห์ และอาโรนพี่ชายของเจ้าจะเป็นผู้เผยพระวจนะแทนเจ้า
2 เจ้าจงบอกข้อความทั้งหมดที่เราสั่งเจ้า แล้วอาโรนพี่ชายของเจ้าจะบอกแก่ฟาโรห์ ให้ปล่อยชนชาติอิสราเอลออกไปจากแผ่นดินของเขา
3 เราจะทำให้ใจของฟาโรห์แข็งกระด้างไป แม้เราจะกระทำหมายสำคัญและอัศจรรย์ให้ทวี มากขึ้นในประเทศอียิปต์
4 ฟาโรห์จะไม่เชื่อฟังเจ้า แล้วเราจะยกมือของเราขึ้นปราบประเทศอียิปต์ และจะพาพลโยธาของเราคือชนชาติอิสราเอล ให้พ้นจากแผ่นดินอียิปต์ด้วยกิจการใหญ่โตอันทรงฤทธิ์
5 ชาวอียิปต์จะรู้ว่าเราคือพระเจ้า ต่อเมื่อเราได้ยกมือขึ้นปราบอียิปต์ และพาชนชาติอิสราเอลออกจากพวกเขา"
6 โมเสสและอาโรนก็กระทำตามนั้น เขากระทำตามที่พระเจ้าทรงบัญชา
7 เมื่อเขาทั้งสองไปทูลฟาโรห์นั้น โมเสสมีอายุแปดสิบปี และอาโรนมีอายุแปดสิบสามปี
8 พระเจ้าตรัสกับโมเสส และอาโรนว่า
9 "เมื่อฟาโรห์สั่งเจ้าว่า 'จงแสดงอัศจรรย์พิสูจน์งานของเจ้า' เจ้าจงพูดกับอาโรนว่า 'เอาไม้เท้าของท่านโยนลงต่อหน้าฟาโรห์ ไม้เท้าจะได้กลายเป็นงู'"
10 โมเสสกับอาโรนจึงเข้าไปเฝ้าฟาโรห์ เขากระทำตามที่พระเจ้าทรงบัญชา อาโรนโยนไม้เท้าลงต่อหน้าฟาโรห์ และข้าราชการทั้งปวง ไม้นั้นก็กลายเป็นงู
11 ฝ่ายฟาโรห์ก็ทรงเรียกพวกนักปราชญ์ และพวกนักวิทยากลมา พวกเขาเป็นพวกนักแสดงกลแห่งอียิปต์ จึงทำได้เหมือนกันด้วยศิลปอันลี้ลับของเขา
12 เมื่อเขาต่างคนต่างโยนไม้เท้าลงไม้เท้าเหล่านั้นก็ กลายเป็นงู แต่ไม้เท้าของอาโรนกลืนไม้เท้าของพวกเขาเสียทั้งหมด
13 ถึงกระนั้นพระทัยของฟาโรห์ ก็กระด้างหายอมเชื่อเขาทั้งสองไม่ จริงดังที่พระเจ้าตรัสไว้แล้ว
14 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "ใจของฟาโรห์แข็งกระด้าง ไม่ยอมปล่อยให้ประชากรไป
15 จงไปเฝ้าฟาโรห์ในเวลาเช้า เมื่อเขาไปที่แม่น้ำยืนคอยเขาอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำ เอาไม้เท้าที่กลายเป็นงูได้นั้นไปด้วย
16 และกล่าวแก่เขาว่า 'พระเจ้าของชาวฮีบรูตรัสสั่งให้ข้าพระบาทมาเฝ้า โดยมีพระดำรัสว่า "จงปล่อยประชากรของเราไปนมัสการเราในถิ่นทุรกันดาร จนบัดนี้เจ้าก็ยังหาได้เชื่อฟังไม่"
17 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า "ท่านจะทราบว่า เราคือพระเจ้าโดยอาศัยการกระทำดังนี้ เราจะเอาไม้เท้าที่ถือไว้นั้นฟาดน้ำลงในแม่น้ำไนล์ น้ำนั้นจะกลายเป็นโลหิต
18 ปลาซึ่งอยู่ในแม่น้ำไนล์จะตาย และแม่น้ำจะเหม็น จนชาวอียิปต์ดื่มน้ำ ในแม่น้ำไนล์ไม่ได้"'"
19 พระเจ้าตรัสสั่งโมเสสอีกว่า "จงบอกอาโรนว่า 'เอาไม้เท้าของท่านชี้ไปเหนือน้ำแห่งอียิปต์ คือเหนือแม่น้ำลำคลอง บึง และสระทั้งหมดของเขา น้ำจะกลายเป็นโลหิต จะมีแต่โลหิตตลอดแผ่นดินอียิปต์ ทั้งที่อยู่ในภาชนะไม้หรือภาชนะหิน'"
20 โมเสสกับอาโรนก็กระทำตามที่พระเจ้าบัญชา คือท่านได้ยกไม้ขึ้นตีน้ำในแม่น้ำไนล์ต่อพระพักตร์ฟาโรห์ และต่อหน้าพวกข้าราชการ แล้วน้ำในแม่น้ำไนล์ก็กลาย เป็นโลหิตสิ้น
21 ปลาที่อยู่ในแม่น้ำไนล์ก็ตาย แม่น้ำไนล์ก็เหม็น และชาวอียิปต์ก็ดื่มน้ำในแม่น้ำไนล์นั้นไม่ได้ มีโลหิตทั่วแผ่นดินอียิปต์
22 แต่พวกนักแสดงกลแห่งอียิปต์ก็กระทำได้เหมือนกัน อาศัยศิลปอันลึกลับของเขา แต่พระทัยของฟาโรห์ก็ยังแข็งกระด้าง หาเชื่อฟังท่านทั้งสองไม่ ซึ่งก็เป็นจริงดังที่พระเจ้าตรัสไว้
23 ฟาโรห์เสด็จกลับเข้าในวัง มิได้เอาพระทัยใส่แม้ในเหตุการณ์ครั้งนี้
24 ชาวอียิปต์ทั้งปวงก็พากันขุดหลุมตามริมแม่น้ำไนล์หาน้ำดื่ม เพราะดื่มน้ำในแม่น้ำไนล์ไม่ได้
25 เจ็ดวันผ่านไปนับตั้งแต่พระเจ้าทรงบันดาล ให้แม่น้ำไนล์เป็นโลหิต

อพยพ 8
1 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "ไปหาฟาโรห์บอกว่า 'พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า "จงปล่อยประชากรของเราให้ไปนมัสการเรา
2 ถ้าไม่ยอม เราจะให้ฝูงกบขึ้นมารังควานทั่ว เขตแดนของท่าน
3 ฝูงกบจะเต็มไปทั้งแม่น้ำไนล์ จะขึ้นมาอยู่ในวัง ในห้องบรรทม และบนแท่นบรรทมของท่าน ในเรือนข้าราชการ ตามตัวพลเมือง ในเตาปิ้งขนม และในอ่างขยำแป้งของท่านด้วย
4 ฝูงกบนั้นจะขึ้นมาที่ตัวฟาโรห์ ที่ตัวพลเมืองและที่ตัวข้าราชการทั้งปวงของท่าน"'"
5 แล้วพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "จงบอกอาโรนให้เหยียดมือที่ถือไม้เท้าออกเหนือแม่น้ำ เหนือลำคลองและเหนือบึงให้ฝูงกบขึ้นมาบนแผ่นดินอียิปต์"
6 อาโรนก็เหยียดมือออกเหนือพื้นน้ำทั้งหลายในอียิปต์ กบก็ขึ้นมาเต็มแผ่นดินอียิปต์
7 ฝ่ายพวกนักแสดงกลก็ทำตามศิลปอันลึกลับของเขา ให้มีฝูงกบขึ้นมาบนแผ่นดินอียิปต์เหมือนกัน
8 ฟาโรห์ตรัสเรียกโมเสสกับอาโรนมาว่า "เจ้าทั้งสองจงกราบทูลวิงวอนขอพระเจ้า ทรงบันดาลให้ฝูงกบไปเสียจากเราและจากพลเมืองของเรา แล้วเราจะยอมปล่อยให้ประชากรเหล่านั้นไปถวายสัตวบูชา แด่พระเจ้า"
9 โมเสสจึงทูลฟาโรห์ว่า "เวลาใดที่ฝ่าพระบาทมีพระประสงค์ให้ข้าพระบาทวิงวอนต่อพระเจ้าเพื่อฝ่าพระบาท ข้าราชบริพารและพลเมืองของฝ่าพระบาท ขอให้ทรงขับไล่ฝูงกบไปเสียจากฝ่าบาทและราชสำนักลงไปอยู่ในแม่น้ำไนล์ ก็จงมีพระบัญชามาเถิด ข้าพระบาทจะกราบทูลขอให้เป็นไปดังพระประสงค์"
10 ฟาโรห์ตรัสตอบว่า "พรุ่งนี้" โมเสสจึงทูลว่า "จะเป็นไปตามพระดำรัส ฝ่าพระบาทจะได้ทราบว่า ไม่มีผู้ใดเหมือนพระเจ้าของข้าพระบาททั้งหลาย
11 ฝูงกบจะไปจากฝ่าพระบาท จากราชสำนัก จากข้าราชการและพลเมืองของฝ่าพระบาท เหลืออยู่เฉพาะแต่ในแม่น้ำไนล์"
12 โมเสสกับอาโรนทูลลาไป แล้วโมเสสร้องทูลพระเจ้า เรื่องฝูงกบที่พระองค์ได้ทรงให้มาทรมานฟาโรห์
13 พระเจ้าทรงกระทำตามคำทูลขอของโมเสส ฝูงกบเหล่านั้นก็ไปตายเกลื่อนบ้านเรือน เกลื่อนลานบ้านและทุ่งนา
14 เขาก็เก็บซากกบไว้เป็นกองๆ แผ่นดินก็เหม็นตลบไป
15 เมื่อฟาโรห์ทรงทราบว่าความเดือดร้อนลดน้อยลงแล้ว ก็กลับมีพระทัยแข็งกระด้างอีก ไม่ยอมเชื่อฟังโมเสสและอาโรน จริงดังที่พระเจ้าตรัสไว้แล้ว
16 พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า "บอกอาโรนว่า 'เอาไม้เท้าตีฝุ่นดินให้กลายเป็นริ้นทั่วประเทศอียิปต์'"
17 เขาทั้งสองก็กระทำตาม อาโรนเหยียดมือออกยกไม้เท้าตีฝุ่นดิน ก็มีริ้นมาตอมมนุษย์และสัตว์ ฝุ่นดินทั้งหมดกลายเป็นริ้นทั่วประเทศอียิปต์
18 ฝ่ายพวกเล่นกลก็พยายามใช้ศิลปะอันลึกลับของเขา เพื่อทำให้เกิดริ้น แต่ก็ทำไม่ได้ ริ้นพากันมาตอมมนุษย์และสัตว์ทั้งปวง
19 พวกเล่นกลจึงทูลฟาโรห์ว่า "นี่เป็นกิจการแห่งนิ้วพระหัตถ์พระเจ้า" ฝ่ายฟาโรห์มีพระทัยแข็งกระด้าง หาเชื่อฟังเขาไม่ จริงดังที่พระเจ้าตรัสไว้แล้ว
20 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "ลุกขึ้นแต่เช้าไปคอยเฝ้าฟาโรห์ ฟาโรห์จะมายังแม่น้ำ แล้วบอกว่า 'พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า "จงปล่อยประชากรของเราให้ไปนมัสการเรา
21 ถ้าแม้ไม่ปล่อยประชากรของเราไป เราจะใช้ให้ฝูงเหลือบมาตอมกายของเจ้า ตอมข้าราชการและพลเมืองของเจ้าด้วย ฝูงเหลือบจะเข้าไปในราชสำนัก ในบ้านเรือนของชาวอียิปต์ พื้นดินที่เขาอยู่นั้นจะเต็มไปด้วยฝูงเหลือบ
22 ในวันนั้นเราจะแยกเมืองโกเชน ที่ประชากรของเราอาศัยอยู่นั้นออก มิให้มีฝูงเหลือบที่นั่น เพื่อเจ้าจะได้รู้ว่าเราคือพระเจ้า สถิตอยู่ท่ามกลางแผ่นดิน
23 เราจะแบ่งเขตแดนในระหว่างชนชาติของเรากับ ชนชาติของเจ้า หมายสำคัญนี้จะบังเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้"'"
24 แล้วพระเจ้าก็ทรงกระทำดังนั้น เหลือบฝูงใหญ่ยิ่งนักเข้าไปในพระราชวังของฟาโรห์ ในเรือนข้าราชการ และทั่วแผ่นดินอียิปต์ ทำให้แผ่นดินได้รับความเสียหายย่อยยับ
25 ฟาโรห์จึงตรัสเรียกโมเสส กับอาโรนมา รับสั่งว่า "จงไปถวายสัตวบูชาแด่พระเจ้าของเจ้าในเขตแผ่นดินนี้"
26 โมเสสทูลว่า "การกระทำเช่นนั้นหาควรไม่ เพราะข้าพระบาททั้งหลายต้องถวายสัตวบูชา แด่พระเจ้าของข้าพระบาท แต่ชาวอียิปต์ถือว่า เป็นการผิดที่จะฆ่าสัตว์เหล่านี้ ถ้าข้าพระบาทถวายสัตวบูชาต่อหน้าเขา ซึ่งชาวอียิปต์ถือว่าเป็นสัตว์ที่ไม่ควรฆ่า เขาจะไม่เอาก้อนหินขว้างข้าพระบาททั้งหลายหรือ
27 ข้าพระบาททั้งหลายจะเดินทางไปในถิ่น ทุรกันดารสักสามวัน ถวายสัตวบูชาแด่พระเจ้า ของพวกข้าพระบาทตามที่พระองค์ทรงบัญชา"
28 ฟาโรห์จึงรับสั่งว่า "เราจะปล่อยพวกเจ้าไป เพื่อจะได้ถวายสัตวบูชาแด่พระเจ้าของเจ้าในถิ่นทุรกันดาร แต่ว่าพวกเจ้าอย่าไปให้ไกลนัก จงวิงวอนเพื่อเราด้วย"
29 โมเสสจึงทูลว่า "พอข้าพระบาททูลลาฝ่าพระบาทไป ข้าพระบาทจะอธิษฐานทูลพระเจ้า ขอให้ฝูงเหลือบไปเสียจากฟาโรห์ จากข้าราชการและจากพลเมืองในเวลาพรุ่งนี้ แต่ขออย่าทรงกลับคำอีก ไม่ยอมปล่อยประชากรให้ไปถวายสัตวบูชาแด่พระเจ้า"
30 โมเสสทูลลาฟาโรห์ไปแล้วก็อธิษฐานต่อพระเจ้า
31 พระเจ้าทรงกระทำตามคำทูลขอของโมเสส ทรงให้ฝูงเหลือบไปเสียจากฟาโรห์ จากข้าราชการและจากพลเมืองของท่าน มิให้เหลืออยู่สักตัวเดียว
32 ฝ่ายฟาโรห์ก็กลับมีพระทัยแข็งกระด้างในคราวนี้อีก มิให้ทรงปล่อยประชากรอิสราเอลไป

อพยพ 9
1 พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า "ไปหาฟาโรห์บอกว่า พระเจ้าของคนฮีบรูตรัสดังนี้ว่า 'จงปล่อยให้ประชากรของเราไป เพื่อเขาจะได้นมัสการเรา
2 ถ้าท่านไม่ยอมปล่อยให้ไป ยังหน่วงเหนี่ยวเขาไว้
3 หัตถ์ของพระเจ้าจะทำให้ฝูงสัตว์ในทุ่งนา ฝูงม้า ฝูงลา ฝูงอูฐ ฝูงโค และฝูงแพะแกะ เป็นโรคระบาดร้ายแรงขึ้น
4 แต่พระองค์จะทรงกระทำต่อฝูงสัตว์ของ ชนชาติอิสราเอลต่างกับฝูงสัตว์ของชาวอียิปต์ สัตว์ของคนอิสราเอลจะไม่ต้องตายเลย'"
5 พระเจ้าทรงกำหนดเวลาไว้ว่า "พรุ่งนี้พระเจ้าจะทรงกระทำสิ่งนี้ในแผ่นดิน"
6 รุ่งขึ้นพระเจ้าก็ทรงกระทำตามพระวาจา ฝูงสัตว์ของชาวอียิปต์ตายหมด แต่สัตว์ของชนชาติอิสราเอลไม่ตายสักตัวเดียว
7 ฟาโรห์ทรงใช้คนไปดูและประจักษ์ว่า สัตว์ของคนอิสราเอลไม่ตายสักตัวเดียว แต่พระทัยของฟาโรห์ยังแข็งกระด้าง ไม่ยอมปล่อยให้ประชากรไป
8 พระเจ้าจึงตรัสแก่โมเสสและอาโรนว่า "เจ้าจงกำเขม่าจากเตาให้เต็มกำมือ แล้วให้โมเสสซัดขึ้นไปในอากาศต่อหน้าฟาโรห์
9 เขม่านั้นจะกลายเป็นฝุ่นปลิวไปทั่วแผ่นดินอียิปต์ ทำให้เกิดเป็นฝีแตกลามทั้งตัวคนและสัตว์ทั่วแผ่นดินอียิปต์
10 เขาทั้งสองจึงกำเขม่าจากเตาไปยืนอยู่ต่อพระพักตร์ ฟาโรห์ พอโมเสสซัดเขม่าขึ้นไปในท้องฟ้าเขม่านั้นก็ทำให้ เกิดฝีแตกลามไปทั้งตัวคนและสัตว์
11 ฝ่ายพวกนักแสดงกลก็ไม่อาจยืนอยู่ต่อหน้าโมเสส เพราะพวกเล่นกลและชาวอียิปต์ทั้งปวง ก็เป็นฝีทั่วตัวด้วยเหมือนกัน
12 แต่พระเจ้าทรงให้พระทัยของฟาโรห์แข็งกระด้าง ไม่ยอมเชื่อฟังโมเสสและอาโรน จริงดังที่พระเจ้าตรัสกับโมเสสไว้แล้ว
13 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "จงตื่นแต่เช้าไปยืนต่อหน้าฟาโรห์บอกว่า 'พระเจ้าของคนฮีบรูตรัสดังนี้ว่า "จงปล่อยประชากรของเราไปนมัสการเรา
14 มิฉะนั้นคราวนี้เราจะบันดาลให้เกิดภัยพิบัติต่างๆ แก่เจ้า และแก่ข้าราชการ และแก่พลเมืองของเจ้า เพื่อเจ้าจะได้รู้แน่ว่า ทั่วโลกไม่มีผู้ใดจะเปรียบกับเราได้
15 เราจะยกมือขึ้นประหารเจ้าและประชาชนของ เจ้าด้วยภัยพิบัติให้สูญสิ้นไปจากโลกเสียก็ได้
16 แต่เหตุที่เราให้เจ้ามีชีวิตอยู่ ก็เพื่อจะให้เจ้าเห็นฤทธานุภาพของเรา และนามของเราจะได้มีผู้ประกาศไปทั่วโลก
17 เจ้ายังถือทิฐิต่อสู้ประชากรของเรา ไม่ยอมปล่อยเขาไป
18 ดูนะพรุ่งนี้ประมาณเวลานี้ เราจะให้ลูกเห็บตกลงมาอย่างหนัก อย่างที่ไม่เคยมีในอียิปต์ ตั้งแต่เริ่มสร้างบ้านเมืองมาจนบัดนี้
19 เหตุฉะนั้น จงให้ต้อนฝูงสัตว์ และบรรดาผู้ที่อยู่ในทุ่งนาให้เข้าที่กำบัง เพราะคนทุกคน และสัตว์ทุกตัวในทุ่งนาที่มิได้เข้ามาอยู่ในบ้าน จะถูกลูกเห็บตายหมด"'"
20 บรรดาข้าราชการของฟาโรห์ ที่เกรงกลัวพระดำรัสของพระเจ้า ก็ให้ทาสและสัตว์ของตนกลับเข้าบ้าน
21 แต่ผู้ที่ไม่สนใจพระดำรัสของ พระเจ้าก็ยังคงปล่อยให้ทาสและสัตว์ของตนอยู่ในทุ่งนา
22 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "จงชูมือขึ้นยังท้องฟ้า เพื่อลูกเห็บ จะได้ตกลงมาทั่วแผ่นดินอียิปต์ บนมนุษย์ บนสัตว์ และบนผักหญ้าทุกอย่างซึ่งอยู่ในทุ่งนาทั่วแผ่นดินอียิปต์"
23 โมเสสก็ชูไม้เท้าขึ้นยังท้องฟ้า แล้วพระเจ้าทรงบันดาลให้มีเสียงฟ้าร้อง มีลูกเห็บและไฟตกลงมาบนแผ่นดิน พระเจ้าทรงให้ลูกเห็บตกบนแผ่นดินอียิปต์
24 มีลูกเห็บกับไฟแลบ ลูกเห็บตกหนักยิ่งนักอย่างที่ไม่เคยมีในแผ่นดินอียิปต์ ตั้งแต่เริ่มตั้งเป็นชาติมา
25 สิ่งทั้งปวงที่อยู่ในทุ่งนาทั่วแผ่นดินอียิปต์ ก็ถูกลูกเห็บทำลายเสียสิ้นทั้งคนและสัตว์ ลูกเห็บยังตกลงถูกผักและต้นไม้ ทุกอย่างหักโค่น
26 เว้นแต่ที่เมืองโกเชน ที่ชนชาติอิสราเอลอยู่นั้น หามีลูกเห็บตกไม่
27 ฟาโรห์จึงทรงใช้คนไปเรียกโมเสสและอาโรนมาเฝ้า แล้วตรัสว่า "ครั้งนี้เราทำบาปแน่แล้ว พระเจ้าเป็นฝ่ายถูก เราและชนชาติของเราผิด
28 ขอท่านทูลวิงวอนพระเจ้าให้เลิกมีฟ้าร้องและลูกเห็บเสียที เราจะปล่อยพวกท่านไป จะไม่กักไว้อีก"
29 โมเสสทูลว่า "เมื่อข้าพระบาทออกไปจากกรุงนี้แล้ว ข้าพระบาทจะยกมือทูลพระเจ้า เสียงฟ้าร้องก็จะเงียบ และจะไม่มีลูกเห็บตกอีก เพื่อฝ่าพระบาทจะได้ทราบว่า โลกนี้เป็นของพระเจ้า
30 แต่ฝ่ายฝ่าพระบาทและข้าราชการนั้น ข้าพระบาททราบอยู่แล้วว่า ยังไม่ยำเกรงพระเจ้า"
31 ต้นป่านต้นบารลีถูกลูกเห็บทำลายเสีย เพราะในเวลานั้นต้นบารลีก็กำลังออกรวง และต้นป่านก็ออกดอกแล้ว
32 ส่วนข้าวสาลีและข้าวสแปลต์นั้นมิได้ถูกทำลาย เพราะงอกช้า
33 เมื่อโมเสสทูลลาฟาโรห์ไปจากกรุง ก็ยกมือขึ้นทูลพระเจ้า เสียงฟ้าร้องกับลูกเห็บนั้นก็หยุด ฝนก็มิได้ตกบนแผ่นดินอีก
34 เมื่อฟาโรห์ทราบว่า ฝน ลูกเห็บและฟ้าร้องนั้นหยุดแล้ว พระองค์ก็กลับทรงกระทำผิดต่อไปอีก พระทัยแข็งกระด้าง ทั้งพระองค์และข้าราชการ
35 พระทัยของฟาโรห์แข็งกระด้างและไม่ยอมปล่อยชนชาติ อิสราเอลไปจริงดังที่พระเจ้าตรัสไว้กับโมเสส

อพยพ 10
1 พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า "จงเข้าไปหาฟาโรห์ เพราะเราทำให้ใจของ ฟาโรห์และใจของข้าราชการแข็งกระด้าง เพื่อเราจะได้แสดงหมายสำคัญเหล่านี้ของ เราท่ามกลางพวกเขา
2 เพื่อเจ้าจะได้เล่าเหตุการณ์ ที่เราได้กระทำแก่ชาวอียิปต์ให้ลูกหลานฟังรวมทั้งหมายสำคัญ ซึ่งเราได้สำแดงแก่เขานั้น เพื่อพวกเจ้าจะได้รู้ว่าเราคือพระเจ้า"
3 โมเสสและอาโรนจึงเข้าไปเฝ้าฟาโรห์ทูลว่า "พระเจ้าของคนฮีบรูตรัสดังนี้ว่า 'เจ้าจะขัดขืนไม่ยอมอ่อนน้อมต่อเรานานสักเท่าใด จงปล่อยประชากรของเราให้ไปนมัสการเรา
4 ถ้าเจ้าไม่ยอมปล่อยประชากรของเราไป พรุ่งนี้เราจะให้ตั๊กแตนเข้ามาในเขตแดนของเจ้า
5 ฝูงตั๊กแตนนั้นจะมาลงเต็มไปหมดจนแลไม่เห็นพื้นดิน และสิ่งที่เหลือจากลูกเห็บทำลาย มันจะกิน และต้นไม้ทุกต้นซึ่งงอกขึ้นให้เจ้าในทุ่งนานั้น มันจะกินเสียหมด
6 มันจะเข้าไปในราชสำนัก ในบ้านเรือนของข้าราชการ และในบ้านเรือนของชาวอียิปต์จนเต็มหมด อย่างที่บิดาและปู่ทวด ตั้งแต่เกิดมาจนทุกวันนี้ ไม่เคยเห็นเช่นนี้เลย'" แล้วโมเสสก็ออกไปจากวังฟาโรห์
7 บรรดาข้าราชการทูลฟาโรห์ว่า "คนนี้จะเป็นบ่วงแร้วดักเราไปนานสักเท่าใด ขอทรงพระกรุณาปลดปล่อยคนเหล่านั้นให้ไป นมัสการพระเจ้าของเขาเถิด พระองค์ยังไม่ทราบหรือว่า อียิปต์กำลังพินาศแล้ว"
8 โมเสสและอาโรนถูกนำตัวเข้ามาเฝ้าฟาโรห์อีก พระองค์จึงตรัสว่า "ไปนมัสการพระเจ้าของเจ้า แต่ใครจะไปบ้าง"
9 โมเสสทูลว่า "ข้าพระบาทจะต้องพากันไปทั้งคนหนุ่มและคนแก่ ข้าพระบาทจะต้องพากันไปทั้งบุตรชายและบุตรหญิง และฝูงแพะแกะและฝูงโค เพราะข้าพระบาททั้งหลายต้องมีพิธีเลี้ยงถวายพระเจ้า"
10 ฟาโรห์ตรัสกับเขาทั้งสองว่า "ถ้าเรายอมให้เจ้าไปกับบุตรด้วย ก็ให้พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับพวกเจ้าเถิด เจ้าคิดทุจริตเสียแล้ว
11 อนุญาตไม่ได้ จงพาเฉพาะแต่ผู้ชายไปนมัสการพระเจ้า เพราะเจ้าปรารถนาเช่นนี้เท่านั้น" แล้วโมเสสกับอาโรน ก็ถูกขับไล่ ออกไปเสียจากพระพักตร์ของฟาโรห์
12 พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า "จงเหยียดมือออกเหนือประเทศอียิปต์ให้ฝูงตั๊กแตน ลงบนผืนแผ่นดินอียิปต์ ให้กินผักทั่วไปทั้งทุ่ง ซึ่งเหลือจากลูกเห็บทำลาย"
13 โมเสสจึงยื่นไม้เท้าออกเหนือแผ่นดินอียิปต์ พระเจ้าก็บันดาลให้ลมตะวันออกพัดมาเหนือพื้น แผ่นดินทั้งกลางวันและกลางคืนตลอดวันนั้น ครั้นเวลารุ่งเช้า ลมตะวันออกก็พัดหอบฝูงตั๊กแตนมา
14 ฝูงตั๊กแตนลงทั่วแผ่นดินอียิปต์ และจับ อยู่ทั่วเขตแดนอียิปต์ทั้งหมด แต่ก่อนไม่เคยมีตั๊กแตนฝูงใหญ่อย่างนี้เลย และต่อไปข้างหน้าจะหามีอย่างนั้นอีกไม่
15 มันปกคลุมพื้นแผ่นดินจนแลมืดไป มันกินผักในทุ่ง และผลไม้ทุกอย่างซึ่งเหลือจากลูกเห็บ ทำลาย ไม่มีพืชใบเขียวเหลือเลย ไม่ว่าต้นไม้หรือผักในทุ่ง ทั่วแผ่นดินอียิปต์
16 ฟาโรห์รีบให้คนไปตามตัว โมเสสและอาโรนเข้าเฝ้าแล้วตรัสว่า "เราได้ทำบาปต่อพระเจ้าของเจ้า และต่อเจ้าทั้งสองด้วย
17 ขอเจ้ายกโทษบาปให้เราครั้งนี้สักครั้งเถิด จงวิงวอนขอพระเจ้าของเจ้า เพื่อพระองค์จะได้ทรงโปรดให้ความตายนี้พ้นไปจากเรา"
18 โมเสสก็ไปจากฟาโรห์ และทูลวิงวอนพระเจ้า
19 พระเจ้าจึงทรงบันดาลให้ลมพายุพัดกลับ มาจากทิศตะวันตกหอบฝูงตั๊กแตนไปตกในทะเลแดง จนไม่เหลือเลยสักตัวเดียว ตลอดเขตแดนอียิปต์
20 แต่พระเจ้าทรงบันดาลให้พระทัยของฟาโรห์แข็งกระด้าง ท่านจึงไม่ยอมปล่อยคนอิสราเอลไป
21 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "จงชูมือของเจ้าขึ้นสู่ท้องฟ้า เพื่อจะให้มีความมืดทั่วแผ่นดินอียิปต์ เป็นความมืดจนจับคลำได้"
22 โมเสสจึงชูมือขึ้นสู่ท้องฟ้า แล้วก็เกิดมีความมืดทึบทั่วไป ในแผ่นดินอียิปต์ตลอดสามวัน
23 เขามองกันไม่เห็น ไม่มีใครลุกไปจากที่ของเขาสามวัน ฝ่ายบรรดาชนชาติอิสราเอลนั้น มีแสงสว่างอยู่ในที่อาศัยของเขา
24 ฟาโรห์จึงให้ตามตัวโมเสสเข้าเฝ้า ตรัสว่า "พวกเจ้าจงไปนมัสการพระเจ้าเถิด แต่ให้ฝูงแกะและฝูงโคอยู่ส่วนผู้หญิงกับเด็กไปกับเจ้าได้"
25 ฝ่ายโมเสสจึงทูลว่า "ต้องโปรดประทานให้มีเครื่องสัตวบูชาและเครื่องเผาบูชา ติดมือไปด้วย เพื่อพวกข้าพระบาทจะได้บูชาต่อพระเจ้าของข้าพระบาท
26 ข้าพระบาทต้องนำฝูงสัตว์ไปด้วย ขาดไม่ได้สักกีบเดียว เพราะว่าจะต้องเอาสัตว์จากฝูงเหล่านั้นไปถวายพระเจ้าของข้าพระบาท ข้าพระบาทยังไม่ทราบว่าจะต้องการสัตว์ตัวใดถวายพระองค์ จนกว่าจะถึงที่นั่น"
27 แต่พระเจ้าทรงกระทำให้พระทัยฟาโรห์แข็งกระด้าง ท่านจึงไม่ยอมปล่อยเขาไป
28 ฟาโรห์รับสั่งแก่โมเสสว่า "ไปให้พ้น ระวังตัวให้ดีเถอะ อย่ามาเห็นหน้าเราอีกเลย เพราะถ้าเจ้าเห็นหน้าเราวันใด เจ้าจะต้องตายวันนั้น"
29 โมเสสจึงทูลว่า "ฝ่าพระบาทตรัสถูกแล้ว ข้าพระบาทจะไม่มาเห็นพระพักตร์ของฝ่าพระบาทอีกเลย"

อพยพ 11
1 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "เราจะนำภัยพิบัติมาสู่ฟาโรห์ และอียิปต์อีกอย่างเดียว หลังจากนั้นเขาจะปล่อยพวกเจ้าไปจากที่นี่ เมื่อเขาให้พวกเจ้าไปคราวนี้ เขาจะขับไล่พวกเจ้าออกไปทีเดียว
2 บัดนี้เจ้าจงสั่งให้ประชาชนทั้งปวง ให้ผู้ชายผู้หญิงทุกคน ขอเครื่องเงินเครื่องทองจากเพื่อนบ้านของตน"
3 พระเจ้าทรงให้ประชาชนเป็นที่ถูกอกถูกใจชาวอียิปต์ ยิ่งกว่านั้นโมเสสเป็นที่นับถือมากในประเทศอียิปต์ ทั้งต่อหน้าข้าราชการและต่อหน้าพลเมืองทั้งปวง
4 โมเสสประกาศว่า "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า 'เวลาประมาณเที่ยงคืน เราจะออกไปท่ามกลางอียิปต์
5 และพวกลูกหัวปีทั้งหมดในแผ่นดินอียิปต์ ตั้งแต่ราชบุตรหัวปีของฟาโรห์ ผู้ประทับบนพระที่นั่ง จนถึงบุตรหัวปีของทาสหญิง ซึ่งโม่แป้ง ทั้งลูกหัวปีของสัตว์เดียรัจฉานด้วยจะต้องตาย
6 แล้วจะมีการพิลาปร้องไห้ทั่วแผ่นดินอียิปต์ อย่างที่ไม่เคยมีมาแต่ก่อน และต่อไปภายหน้าก็จะไม่มีอีกเลย'
7 ฝ่ายคนหรือสัตว์ของชนชาติอิสราเอลทั้งปวง จะไม่มีแม้แต่เสียงสุนัขขู่ เพื่อให้ทราบว่าพระเจ้าทรงกระทำต่อชาวอียิปต์ ต่างกับชนชาติอิสราเอล
8 ข้าราชการของท่านจะลงมาหาเรา กราบลงต่อหน้าเรากล่าวว่า 'ขอท่านกับพรรคพวกไปเสียจากที่นี่เถิด' หลังจากนั้นเราก็จะออกไป" โมเสสทูลลาฟาโรห์ไปด้วยความโกรธยิ่งนัก
9 แล้วพระเจ้าตรัสตอบโมเสสว่า "ฟาโรห์จะไม่เชื่อฟังเจ้า เพื่ออัศจรรย์ของเราจะได้เพิ่มขึ้นอีกในแผ่นดินอียิปต์"
10 โมเสสกับอาโรนก็ได้กระทำอัศจรรย์เหล่านั้นต่อ พระพักตร์ฟาโรห์ และพระเจ้าทรงกระทำให้พระทัยของฟาโรห์แข็งกระด้างไป ท่านจึงไม่ยอมปล่อยชนชาติอิสราเอลให้ออกไปจาก แผ่นดินของท่าน

อพยพ 12
1 พระเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนในประเทศอียิปต์ว่า
2 "ให้เดือนนี้เป็นเดือนเริ่มต้นสำหรับเจ้าทั้งหลาย ให้เป็นเดือนแรกในปีใหม่สำหรับพวกเจ้า
3 จงสั่งชุมนุมคนอิสราเอลว่า ในวันที่สิบเดือนนี้ ให้ผู้ชายทุกคน เตรียมลูกแกะครอบครัวละตัว ตามตระกูลของตน
4 ถ้าครอบครัวใดมีคนน้อยกินลูกแกะตัวหนึ่งไม่หมด ก็ให้รวมกับเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียงกันเตรียมลูกแกะ ตัวหนึ่งตามจำนวนคนตามที่เขาจะกินได้กี่มากน้อย ให้นับจำนวนคนที่จะกินลูกแกะนั้น
5 ลูกแกะของเจ้า ต้องปราศจากตำหนิ เป็นตัวผู้อายุไม่เกินหนึ่งขวบ เจ้าจงเอามาจากฝูงแกะ หรือฝูงแพะ
6 จงเก็บไว้ให้ดีถึงวันที่สิบสี่เดือนนี้ แล้วในเย็นวันนั้น ให้ที่ประชุมของคนอิสราเอลทั้งหมด ฆ่าลูกแกะของเขา
7 แล้วเอาเลือดทาที่ไม้วงกบประตูทั้งสองข้าง และไม้ข้างบนณเรือนที่เขาเลี้ยงกันนั้นด้วย
8 ในคืนวันนั้นให้เขากินเนื้อปิ้ง กับขนมปังไร้เชื้อ และผักรสขม
9 เนื้อที่ยังดิบหรือเนื้อต้มอย่ากินเลย แต่จงปิ้งทั้งหัวและขา และเครื่องในด้วย
10 จงกินให้หมดอย่าให้มีเศษเหลือจนถึงเวลาเช้า เศษเหลือถึงเวลาเช้าก็ให้เผาเสีย
11 เจ้าทั้งหลายจงเลี้ยงกันดังนี้ คือให้คาดเอว สวมรองเท้า และถือไม้เท้าไว้ และรีบกินโดยเร็ว การเลี้ยงนี้เป็นปัสกาของพระเจ้า
12 เพราะในคืนวันนั้น เราจะผ่านไปในประเทศอียิปต์ และเราจะประหารลูกหัวปีทั้งหมดในอียิปต์ทั้ง ของมนุษย์และของสัตว์ และเราจะพิพากษาลงโทษพระทั้งปวงของอียิปต์ เราคือพระเจ้า
13 แต่เลือดที่บ้านที่เจ้าทั้งหลายอยู่นั้น จะเป็นหมายสำคัญสำหรับเจ้า เมื่อเราเห็นเลือดนั้น เราจะผ่านเว้นเจ้าทั้งหลายไป จะไม่มีภัยพิบัติบังเกิดแก่เจ้า ขณะที่เราประหารชาวอียิปต์
14 "วันนี้จะเป็นวันที่ระลึกสำหรับเจ้า ให้เจ้าทั้งหลายถือไว้เป็นเทศกาลแด่พระเจ้า ชั่วชาติพันธุ์ของเจ้า เจ้าจงฉลองเทศกาลนี้และถือเป็นกฎถาวร
15 เจ้าทั้งหลายจงกินขนมปังไร้เชื้อให้ครบเจ็ดวัน วันแรกจงชำระบ้านเจ้าให้ปราศจากเชื้อ ถ้าผู้ใดขืนกินขนมปังที่มีเชื้อตั้งแต่วันแรกจนถึงวันที่เจ็ด จะต้องอเปหิผู้นั้นเสียจากอิสราเอล
16 ในวันแรกนั้นให้มีการประชุมบริสุทธิ์ วันที่เจ็ดก็ให้มีการประชุมบริสุทธิ์ ในวันนั้นอย่าให้ผู้ใดทำงานเลย เว้นไว้แต่การจัดเตรียมอาหารสำหรับรับประทาน
17 เจ้าทั้งหลายจงถือพิธีเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ เพราะในวันนั้น เราได้นำพลโยธาของเจ้าทั้งหลายออกไปจากแผ่นดินอียิปต์ เหตุฉะนี้ เจ้าจงฉลองวันนี้ และถือเป็นกฎถาวรชั่วชาติพันธุ์ของเจ้า
18 ในตอนเย็นวันที่สิบสี่เดือนแรก เจ้าทั้งหลายจงกินขนมปังไร้เชื้อจน ถึงเวลาเย็นวันที่ยี่สิบเอ็ดของเดือนนั้น
19 ในเจ็ดวันนั้นอย่าให้พบเชื้อในบ้านของเจ้าเลย เพราะว่าถ้าผู้ใดที่เป็นแขกเมืองก็ดีหรือคนเกิด ในเมืองก็ดี ขืนกินขนมปังมีเชื้อ ผู้นั้นจะต้องถูกอเปหิจากชุมนุมคนอิสราเอล
20 อย่ากินสิ่งใดที่มีเชื้อ ในที่อาศัยของเจ้า เจ้าจงกินแต่ขนมปังไร้เชื้อเท่านั้น"
21 แล้วโมเสสเรียกพวกผู้ใหญ่ของคนอิสราเอลมาพร้อมกันสั่งว่า "ท่านทั้งหลายจงไปเอาลูกแกะตามครอบครัวของท่านมา ฆ่าเป็นลูกแกะปัสกา
22 เอาต้นหุสบกำหนึ่งจุ่มลงในเลือดที่อยู่ในอ่าง แล้วป้ายเลือดนั้นไว้ที่ไม้ข้างบน และไม้วงกบประตูทั้งสองข้างด้วยเลือดที่อยู่ในอ่าง อย่าให้ผู้ใดออกไปพ้นประตูบ้านของตนจนถึงรุ่งเช้า
23 เพราะพระเจ้าจะเสด็จผ่านไปเพื่อจะได้ประหารคนอียิปต์ เมื่อพระองค์ทรงเห็นเลือดที่ไม้ประตูข้างบน และที่ไม้วงกบประตูทั้งสองข้าง พระเจ้าจะทรงผ่านเว้นประตูนั้น ไม่ทรงยอมให้ผู้สังหารเข้าไปในบ้านท่าน  เพื่อจะประหารท่าน
24 ท่านทั้งหลายจงถือพิธีนี้ให้เป็นกฎถาวรของท่าน และของลูกหลานท่าน
25 ครั้นท่านไปถึงแผ่นดินซึ่งพระเจ้าจะทรงประทาน แก่ท่านตามที่ได้ทรงสัญญาไว้แล้วนั้น ท่านจงถือพิธีนี้ไว้ปฏิบัติ
26 เมื่อลูกหลานของท่านถามว่า 'พิธีนี้หมายความว่ากระไร'
27 ท่านทั้งหลายจงตอบว่า 'เป็นการถวายสัตวบูชาปัสกาแด่พระเจ้า เพราะพระองค์ทรงผ่านเว้นบ้านของชนชาติอิสราเอลในอียิปต์ เมื่อพระองค์ทรงประหารคนอียิปต์ แต่ไว้ชีวิตครอบครัวของเราทั้งหลาย'" ประชากรทั้งปวงก็กราบลงนมัสการ
28 แล้วคนชาติอิสราเอลก็ไปทำตามคำสั่งทุกประการ พระเจ้าทรงรับสั่งกับโมเสส และอาโรนอย่างไร เขาทั้งหลายก็กระทำตามทุกประการ มรณกรรมของลูกหัวปี
29 ในเวลาเที่ยงคืน พระเจ้าทรงประหารบุตรหัวปีทุกคนในประเทศอียิปต์ ตั้งแต่พระราชบุตรหัวปีของฟาโรห์ผู้ประทับบนพระที่นั่ง จนถึงบุตรหัวปีของเชลยที่อยู่ในคุกมืด ทั้งลูกหัวปีของสัตว์เลี้ยงทุกตัว
30 ฟาโรห์กับข้าราชการ และชาวอียิปต์ทั้งปวงตื่นขึ้นในตอนกลางคืน มีเสียงร้องไห้คร่ำครวญดังทั่วทั้งอียิปต์ เนื่องด้วยไม่มีบ้านใดเลยที่ไม่มีคนตาย
31 ฟาโรห์จึงตรัสเรียกโมเสสกับอาโรน ให้มาเฝ้าในคืนวันนั้น ตรัสว่า "เจ้าทั้งสองกับทั้งชนชาติอิสราเอล จงยกออกไปจากประชากรของเราเถิด ไปนมัสการพระเจ้าตามที่ได้พูดไว้นั้น
32 เอาฝูงแพะแกะและฝูงโคของเจ้าไปด้วย ตามที่เจ้าได้พูดไว้แล้ว ไป และอวยพรให้เราด้วย"
33 ฝ่ายชาวอียิปต์ก็เร่งรัด ให้ชนชาตินั้นออกไปจากประเทศโดยเร็วเพราะเขาพูดว่า "พวกเราตายกันหมดแล้ว"
34 ชนชาติอิสราเอลเอา ก้อนแป้งดิบที่ยังมิได้ใส่เชื้อกับอ่างขยำแป้ง ห่อผ้าใส่บ่าแบกไป
35 ชนชาติอิสราเอลกระทำตามที่โมเสสสั่งไว้ คือขอเครื่องเงิน เครื่องทอง และเครื่องนุ่งห่มจากชาวอียิปต์
36 และพระเจ้าทรงบันดาลให้ประชากรเป็น ที่ถูกอกถูกใจชาวอียิปต์ เขาจึงให้สิ่งของทั้งปวงตามที่เขาขอ ดั่งนี้แหละ เขาจึงได้ริบเอาสิ่งของต่างๆ ของชาวอียิปต์เสีย
37 ชนชาติอิสราเอลยกเดินออก จากเมืองราเมเสสไปถึงเมืองสุคคท นับแต่ผู้ชายได้ประมาณหกแสนคน ผู้หญิงและเด็กต่างหาก
38 มีฝูงชนชาติอื่นเป็นจำนวนมาก ติดตามไปด้วย พร้อมทั้งฝูงสัตว์ คือฝูงแพะแกะและโคจำนวนมากมาย
39 เขาเอาก้อนแป้งซึ่งนำมาจากอียิปต์นั้น ปิ้งเป็นขนมปังไร้เชื้อ เพราะเขาถูกเร่งรัดให้ออกจากอียิปต์ จึงไม่ทันเตรียมเสบียง
40 ชนชาติอิสราเอลอยู่ในอียิปต์เป็นเวลาสี่ร้อยสามสิบปี
41 ครั้นสิ้นสี่ร้อยสามสิบปีแล้ว ในวันนั้นเองพลโยธาของพระเจ้าก็ยกออกจากประเทศอียิปต์
42 คืนวันนั้นเป็นคืนที่พระเจ้าทรงเฝ้าดู เพื่อทรงนำเขาออกจากประเทศอียิปต์ คืนวันนั้นจึงเป็นคืนของพระเจ้าที่ชนชาติอิสราเอลทั้งปวง ถือเป็นที่ระลึกตลอดชั่วชาติพันธุ์ของเขา
43 พระเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า "ระเบียบพิธีปัสกาเป็นดังนี้ คืออย่าให้คนต่างชาติกินเลย
44 ส่วนทาสซึ่งนายเอาเงินซื้อมา เมื่อให้ทาสนั้นเข้าสุหนัตแล้วจึงให้เขากินได้
45 ส่วนแขกหรือลูกจ้างอย่าให้กินเลย
46 ให้กินปัสกาแต่ในบ้าน อย่าเอาเนื้อไปนอกบ้าน และอย่าหักกระดูกของมันเลย
47 ให้ชุมนุมคนอิสราเอลทั้งปวงถือและปฏิบัติตามพิธีนี้
48 เมื่อมีคนต่างด้าวมาอาศัยอยู่กับเจ้า และใคร่จะถือปัสกาถวายพระเจ้า ก็ให้ชายพวกนั้นเข้าสุหนัตเสียก่อนทุกคนแล้วจึงให้เขามาใกล้ และถือพิธีนั้นได้ เขาจึงจะเป็นเหมือนคนเกิดในแผ่นดินนั้น แต่ผู้ใดที่ยังมิได้เข้าสุหนัต อย่าให้เข้าร่วมกินเลี้ยงในพิธีปัสกานั้นเลย
49 บทบัญญัติสำหรับคนเกิดในเมือง และคนต่างด้าวซึ่งอาศัยอยู่ด้วยกัน กับเจ้าทั้งหลายจะต้องเป็นอันเดียวกัน"
50 คนอิสราเอลทั้งปวงก็ปฏิบัติตามทุกประการ พระเจ้ารับสั่งแก่โมเสสและอาโรนอย่างไร พวกเขาก็กระทำอย่างนั้น
51 วันนั้นแหละพระเจ้าทรงนำชนชาติอิสราเอล ออกจากประเทศอียิปต์ แยกเป็นกระบวนพลโยธา

อพยพ 13
1 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
2 "จงถวายลูกหัวปีทั้งปวงแก่เรา คือทุกสิ่งของชนชาติอิสราเอลที่ออกจากครรภ์ครั้งแรก จะเป็นมนุษย์หรือสัตว์สิ่งนั้นเป็นของของเรา"
3 โมเสสจึงกล่าวแก่ประชาชนว่า "จงระลึกถึงวันนี้ที่ท่านทั้งหลายออกมาจากอียิปต์ จากแดนทาส เพราะพระเจ้าทรงนำท่านทั้งหลายออกจากที่นั่นด้วยฤทธิ์ พระหัตถ์ อย่ากินขนมปังที่มีเชื้อเลย
4 ท่านทั้งหลายยกออกไปในวันนี้ในเดือนอาบีบ
5 ครั้นพระเจ้าทรงนำพวกท่านมาถึงแผ่นดินของคนคานาอัน คนฮิตไทต์ คนอาโมไรต์ คนฮีไวต์ และคนเยบุส ที่พระองค์ทรงปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษว่า จะยกแผ่นดินนี้ให้พวกท่าน เป็นแผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ ท่านทั้งหลายจงถือพิธีนี้ในเดือนนั้น
6 จงกินขนมปังไร้เชื้อเป็นเวลาเจ็ดวัน และวันที่เจ็ดจงมีสมโภชถวายพระเจ้า
7 จงกินขนมปังไร้เชื้อให้ครบกำหนดเจ็ดวัน อย่าให้เห็นขนมปังซึ่งมีเชื้อ หรือให้เห็นเชื้อขนมปังในเขตของพวกท่าน
8 ในวันนั้นจงบอกบุตรของท่านว่า 'ที่ได้ทำดังนี้ก็เพราะเหตุการณ์ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงกระทำสำหรับข้า ขณะเมื่อข้าออกจากอียิปต์'
9 สำหรับท่านพิธีนี้จะเป็นดังรอยสำคัญที่มือของท่าน และดังเครื่องระลึกระหว่างนัยน์ตาของท่าน เพื่อพระธรรมของพระเจ้าจะได้อยู่ในปากของท่าน เพราะพระเจ้าได้ทรงนำพวกท่านออกมาจากอียิปต์ ด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์
10 เพราะฉะนั้น พวกท่านจงปฏิบัติตามกฎพิธีนี้ตามกำหนดทุกๆปีไป
11 "เมื่อพระเจ้าทรงนำท่านไปยังแผ่นดินของคน คานาอันดังที่พระองค์ได้ทรงปฏิญาณไว้กับท่าน และบรรพบุรุษของท่านว่า จะทรงยกแผ่นดินนั้นให้แก่ท่าน
12 ทุกอย่างที่เบิกครรภ์ครั้งแรกนั้น ท่านจงแยกถวายแด่พระเจ้า และลูกสัตว์หัวปี ตัวผู้ที่เกิดจากสัตว์ใช้งานของท่าน ก็เป็นของพระเจ้า
13 จงเอาลูกแกะไถ่ลูกลาหัวปี ถ้าไม่ไถ่จงหักคอมันเสีย จงไถ่บุตรชายหัวปีทั้งหลายของมนุษย์ไว้ทั้งหมด
14 ต่อไปภายหน้า เมื่อบุตรของท่านจะถามว่า 'ทำไมจึงทำอย่างนี้' จงเล่าให้เขาฟังว่า 'พระเจ้าทรงนำพวกเราออกจากอียิปต์ จากแดนทาสด้วยฤทธิ์พระหัตถ์
15 ครั้นพระทัยของฟาโรห์ดื้อไม่ยอมปล่อยให้พวกเราไป พระเจ้าจึงทรงประหารลูกหัวปีทั้งหลายในประเทศอียิปต์ ทั้งของมนุษย์และของสัตว์ด้วย เหตุฉะนี้ ข้าจึงถวายบรรดาสัตว์หัวปีตัวผู้แด่พระเจ้า แต่บุตรชายหัวปีทั้งหลายของข้า ข้าก็ไถ่ไว้'
16 พิธีนี้จะเป็นดังรอยสำคัญที่มือของท่าน และดังเครื่องหมายระหว่างนัยน์ตาของท่าน เพราะพระเจ้าได้ทรงนำพวกเราออกจากอียิปต์ด้วยฤทธิ์พระหัตถ์"
17 เมื่อฟาโรห์ปล่อยประชากรไปแล้ว พระเจ้ามิได้ทรงนำเขาไปทางแผ่นดินของชาวฟีลิสเตีย แม้ว่าจะเป็นทางใกล้ เพราะพระเจ้าตรัสว่า "เกรงว่าเมื่อประชากรไปเผชิญสงครามเข้า เขาจะเปลี่ยนใจและกลับไปยังอียิปต์เสีย"
18 พระเจ้าจึงทรงนำเขาอ้อมไปทางถิ่น ทุรกันดารยังทะเลแดง ชนชาติอิสราเอลก็ออกไปจากแผ่นดินอียิปต์ มีอาวุธพร้อมที่จะทำสงคราม
19 โมเสสเอากระดูกของโยเซฟไปด้วย เพราะโยเซฟให้ชนชาติอิสราเอลสาบานไว้ว่า "พระเจ้าคงจะเสด็จมาเยี่ยมท่านทั้งหลายเป็นแน่ แล้วท่านจงเอากระดูกของเราไปจากที่นี่ด้วย"
20 คนอิสราเอลยกออกจากเมืองสุคคท ไปตั้งค่ายที่ตำบลเอธามบริเวณชายถิ่นทุรกันดาร
21 พระเจ้าเสด็จนำทางพวกเขาในเวลากลางวันด้วยเสาเมฆ และตอนกลางคืนด้วยเสาเพลิง ให้เขามีแสงสว่างเพื่อจะได้เดินทางได้ทั้งกลางวันและ กลางคืน
22 เสาเมฆในเวลากลางวันและเสาเพลิงในเวลากลางคืน มิได้คลาดจากเบื้องหน้าประชากรเลย

อพยพ 14
1 พระเจ้ารับสั่งแก่โมเสสว่า
2 "จงสั่งชนชาติอิสราเอลให้ย้อนกลับไปยังค่ายหน้า ตำบลปีหะหิโรทระหว่างมิกดลและทะเลหน้าตำบล บาอัลเซโฟน แล้วตั้งค่ายตรงนั้นใกล้ทะเล
3 ฟาโรห์จะกล่าวถึงชนชาติอิสราเอลว่า 'พวกเขาติดอยู่บนบก ถิ่นทุรกันดารนั้นกั้นเขาไว้แล้ว'
4 เราจะบันดาลให้ใจฟาโรห์แข็งกระด้างไป ฟาโรห์จะไล่ตามมา แล้วเราจะได้รับเกียรติยศ เพราะฟาโรห์และพลโยธา แล้วชาวอียิปต์จะรู้ว่า เราคือพระเจ้า" เขาทั้งหลายก็กระทำตามรับสั่งนั้น
5 เมื่อกษัตริย์อียิปต์ทราบความว่า ประชากรเหล่านั้นหนีไปแล้ว พระดำริของฟาโรห์และความคิด ของข้าราชการก็เปลี่ยนไปจากที่มีต่อประชากรอิสราเอล เขาจึงว่า "ทำไมเราจึงทำเช่นนี้ ไฉนเราจึงได้ปล่อยพวกอิสราเอลไปให้พ้นจาก การรับใช้เราเล่า"
6 ฝ่ายฟาโรห์ก็จัดราชรถ และนำพลโยธาไปด้วย
7 ท่านเอารถรบอย่างดีหกร้อยคัน กับรถรบทั้งหมดในอียิปต์ มีทหารประจำอยู่ทุกคัน
8 พระเจ้าทรงให้พระทัยของฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์แข็ง กระด้างไป ท่านจึงไล่ตามชนชาติอิสราเอลซึ่งเดินทางไปโดยมี พระหัตถ์ของพระเจ้าคุ้มครอง
9 ชาวอียิปต์ไล่ตามไปมีทั้งม้าและรถรบของฟาโรห์และ ทหารม้า กองทัพของท่านมาทันชนชาติอิสราเอลที่ตั้งค่ายอยู่ริมทะเล ใกล้ตำบลปีหะหิโรท หน้าตำบลบาอัลเซโฟน
10 เมื่อฟาโรห์เข้ามาใกล้ ชนชาติอิสราเอลก็เงยหน้าขึ้นดู เมื่อเห็นชาวอียิปต์ยกติดตามมา ก็มีความกลัวยิ่งนัก คนอิสราเอลจึงร้องทูลพระเจ้า
11 เขาบอกโมเสสว่า "หลุมฝังศพในอียิปต์ไม่มีหรือ ท่านจึงพาเราออกมาให้ตายในถิ่นทุรกันดาร ทำไมหนอท่านจึงพาเราออกมาจากอียิปต์
12 พวกเราบอกท่านในอียิปต์แล้วมิใช่หรือว่า ปล่อยพวกเราแต่ลำพัง ให้พวกเรารับใช้ชาวอียิปต์เถิด เพราะการรับใช้ชาวอียิปต์นั้น ก็ยังดีกว่าที่จะมาตายในถิ่นทุรกันดาร"
13 โมเสสจึงเตือนประชากรว่า "อย่ากลัวเลย มั่นคงไว้ คอยดูความรอดที่จะมาจากพระเจ้า ซึ่งพระองค์จะประทานให้แก่ท่านทั้งหลายในวันนี้ด้วยคนอียิปต์ ซึ่งท่านทั้งหลายเห็นในวันนี้ แต่นี้ไปจะไม่ได้เห็นอีกเลย
14 พระเจ้าจะทรงรบแทนท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงสงบอยู่เถิด"
15 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "เหตุไฉนเจ้าจึงมาร้องทุกข์ต่อเรา จงสั่งชนชาติอิสราเอลให้เดินต่อไปข้างหน้าเถิด
16 ฝ่ายเจ้าจงยกไม้เท้าของเจ้า แล้วยื่นมือของเจ้าออกไปเหนือทะเล ทำให้ทะเลนั้นแยกออก เพื่อคนอิสราเอลจะได้เดินบนดินแห้งกลางทะเลแล้ว ข้ามไปได้
17 ส่วนเราก็จะบันดาลให้ใจชาวอียิปต์แข็งกระด้างไล่ตามมา แล้วเราจะได้รับเกียรติเพราะฟาโรห์ พลโยธา รถรบ และพลม้าทั้งหมดของเขา
18 เมื่อเราได้รับเกียรติเพราะฟาโรห์ รถรบ และพลม้าของเขาแล้ว ชาวอียิปต์ก็จะรู้ว่าเรานี่แหละคือพระเจ้า"
19 ฝ่ายทูตของพระเจ้าซึ่งนำพลโยธานั้นกลับไปอยู่ข้างหลัง และเสาเมฆซึ่งอยู่ข้างหน้า ก็กลับมาตั้งอยู่ข้างหลังเขา
20 คือมาอยู่ระหว่างพลโยธาอียิปต์และพลโยธาอิสราเอล มีเมฆและความมืดกั้น เวลากลางคืนก็ผ่านไปโดยทั้งสองฝ่ายมิได้เข้าใกล้กันตลอดคืน
21 โมเสสยื่นมือของท่านออกไปเหนือทะเล และพระเจ้าก็ทรงบันดาลให้ลมทิศตะวันออกพัดโหมไล่น้ำทะเลตลอดคืน ทำให้ทะเลกลายเป็นดินแห้ง น้ำแยกออกจากกัน
22 ชนชาติอิสราเอลก็พากันเดินบนดินแห้งกลางทะเล ส่วนน้ำนั้นตั้งเป็นเหมือนกำแพงสำหรับเขา ทั้งทางขวาและทางซ้าย
23 คนอียิปต์ก็ไล่ตามเขาเข้าไปกลางทะเล ทั้งกองม้าและราชรถ และพลม้าทั้งปวงของฟาโรห์
24 เวลาปัจฉิมยาม พระเจ้าทอดพระเนตรจากเสาเพลิงและเสาเมฆทรงเห็นพลโยธาอียิปต์ ก็ทรงบันดาลให้กองทัพอียิปต์เกิดโกลาหล
25 พระองค์ทรงกระทำให้ล้อรถฝืดจนแล่นไปแทบไม่ไหว คนอียิปต์จึงพูดกันว่า "ให้เราหนีไปจากคนอิสราเอลเถิด เพราะพระเจ้าทรงต่อสู้กับคนอียิปต์แทนเขา"
26 ขณะนั้นพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "จงยื่นมือออกไปเหนือทะเล เพื่อให้น้ำทะเลไหลกลับคืนมาท่วมคนอียิปต์ ทั้งรถรบและพลม้าของเขา"
27 โมเสสจึงยื่นมือออกไปเหนือทะเล ครั้นรุ่งเช้า ทะเลก็กลับไหลดังเก่า คนอียิปต์พากันหนีกระแสน้ำ แต่พระเจ้าทรงสลัดคนอียิปต์ลงกลางทะเล
28 น้ำก็ท่วมพลรถและพลม้า คือพลโยธาทั้งหมดของฟาโรห์ซึ่งไล่ตามเขาเข้าไปในทะเล ไม่เหลือสักคนเดียว
29 ฝ่ายชนชาติอิสราเอลเดินไปตามดินแห้งกลางท้องทะเล น้ำตั้งขึ้นเหมือนกำแพงสำหรับเขาทั้งทางขวาและทางซ้าย
30 ดังนี้ในวันนั้นพระเจ้าทรงโปรด ช่วยให้คนอิสราเอลรอดจากเงื้อมมือคนอียิปต์ อิสราเอลเห็นศพคนอียิปต์อยู่ที่ชายทะเล
31 อิสราเอลเห็นกิจการใหญ่ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงกระทำแก่คนอียิปต์ ประชากรก็เกรงกลัวพระเจ้า เขาทั้งหลายเชื่อถือพระเจ้าและ เชื่อโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์ด้วย

อพยพ 15
1 ขณะนั้นโมเสสกับชนชาติอิสราเอลร้องเพลงบทนี้ ถวายพระเจ้าว่า "ข้าพเจ้าจะร้องเพลงถวายพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงได้ชัยชนะอย่างใหญ่หลวง พระองค์ทรงกวาดม้าและพลม้าลงในทะเล
2 พระเจ้าทรงเป็นผู้พิทักษ์ผู้ออกรบแทนข้าพเจ้า พระองค์ทรงเป็นผู้ช่วยให้ข้าพเจ้ารอด พระองค์นี่แหละเป็นพระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระองค์ ทรงเป็นพระเจ้าของบรรพบุรุษของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะยกย่องสรรเสริญพระองค์
3 พระเจ้าทรงเป็นนักรบ พระนามของพระองค์คือพระเยโฮวาห์
4 พระองค์ทรงเหวี่ยงรถรบและโยนพลโยธา ของฟาโรห์ลงในทะเล นายทหารรถรบชั้นยอดของฟาโรห์ก็จมในทะเลแดง
5 น้ำท่วมเขา เขาจมลงในทะเลที่ลึก ประดุจก้อนหิน
6 ข้าแต่พระเจ้า พระหัตถ์ขวาของพระองค์ ทรงอานุภาพยิ่ง ข้าแต่พระเจ้า พระหัตถ์ขวาของพระองค์ทรงทำลายศัตรูให้พินาศไป
7 ด้วยเดชานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระองค์ทรงคว่ำปฏิปักษ์ของพระองค์เสีย พระองค์ทรงใช้พระพิโรธของพระองค์ เผาผลาญเขาเสียอย่างตอฟาง
8 โดยลมที่ระบายจากช่องพระนาสิก น้ำก็ท่วมสูงขึ้นไป น้ำท่วมก็ท้นสูงขึ้น น้ำก็แข็งขึ้นในท้องทะเล
9 พวกข้าศึกกล่าวว่า 'เราจะติดตาม เราจะจับให้ทัน เราจะริบสิ่งของมาแบ่งปันกัน เราจึงจะพอใจที่ได้กระทำกับพวกนั้นดังประสงค์ เราจะชักดาบออก มือเราจะทำลายเขาเสีย'
10 พระองค์ทรงบันดาลให้ลมพัดมา น้ำทะเลก็ท่วมเขามิด เขาจมลงในกระแสน้ำอันไหลแรงนั้นเหมือนตะกั่ว
11 ข้าแต่พระเจ้า ในบรรดาพระทั้งปวง องค์ไหนจะเป็นเหมือนพระองค์เล่า องค์ไหนจะเหมือนพระองค์ผู้ทรงประกอบด้วยความบริสุทธิ์ และน่าเกรงขามเนื่องด้วยพระราชกิจอันรุ่งเรือง และอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงกระทำ
12 พระองค์ทรงเหยียดพระหัตถ์ขวาออก แผ่นดินก็กลืนพวกเขาเสีย
13 พระองค์ทรงนำชนชาติ ซึ่งพระองค์ทรงไถ่ไว้ด้วยความรักมั่นคงของพระองค์ พระองค์ทรงพาเขามาถึงที่สถิตอันบริสุทธิ์ของพระองค์ ด้วยพระเดชานุภาพ
14 ชนชาติทั้งหลายได้ยินแล้ว ก็พากันสะทกสะท้าน ชาวประเทศฟีลิสเตียรู้สึกเสียวสยอง
15 ครั้งนั้นพวกเจ้านายในเมืองเอโดมก็พากันหวาดกลัว และพวกหัวหน้าในเมืองโมอับก็สะทกสะท้าน ชาวเมืองคานาอันทั้งปวงก็ระส่ำระสายไป
16 ความรู้สึกเสียวสยองและความตกใจกลัวอุบัติขึ้นในใจของเขา เนื่องด้วยฤทธานุภาพแห่งพระกรของพระองค์ เขาหยุดนิ่งอยู่เหมือนก้อนหิน ข้าแต่พระเจ้า จนประชากรของพระองค์ผ่านพ้นไป จนชนชาติซึ่งพระองค์ทรงไถ่ไว้แล้วผ่านไป
17 พระองค์ทรงนำเขาเข้ามา และให้เขาตั้งหลักแหล่งอยู่บนภูเขาของพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า เป็นสถานที่ซึ่งพระองค์ทรงสร้างไว้เพื่อเป็นที่สถิตของพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า สถานนมัสการซึ่งพระหัตถ์ของพระองค์สถาปนาไว้
18 พระเจ้าจะทรงครอบครองอยู่เป็นนิตย์นิรันดร์"
19 เพราะเมื่อกองม้าของฟาโรห์กับราชรถ และพลม้าของท่านลงไปในทะเล พระเจ้าก็ทรงให้น้ำทะเลไหลกลับมาท่วมเสีย แต่ชนชาติอิสราเอลเดินไปบนดินแห้งกลางทะเลนั้น
20 ฝ่ายมิเรียมหญิงผู้เผยพระวจนะ พี่สาวของอาโรนก็ถือรำมะนา และหญิงทั้งปวงก็ถือรำมะนาเดินตาม พร้อมกับเต้นรำไปด้วย
21 มิเรียมจึงร้องนำว่า "จงร้องเพลงถวายพระเจ้าเถิด เพราะพระองค์ทรงได้ชัยชนะอย่างใหญ่หลวง พระองค์ทรงกวาดม้าและพลม้าให้ตกลงไปในทะเล"
22 ต่อมาโมเสสนำพวกอิสราเอลออกจากทะเลแดงไปยังป่าชูร์ เดินไปในถิ่นทุรกันดารสามวัน ก็มิได้พบน้ำเลย
23 ครั้นมาถึงตำบลมาราห์ เขาก็กินน้ำที่ตำบลมาราห์นั้นไม่ได้ เพราะน้ำขม เหตุฉะนั้นจึงตั้งชื่อว่ามาราห์
24 ประชาชนก็พากันบ่น และต่อว่าโมเสสว่า "พวกเราจะเอาอะไรดื่ม"
25 โมเสสก็ร้องทูลพระเจ้า พระเจ้าจึงทรงชี้ให้ท่านเห็นต้นไม้ต้นหนึ่ง เมื่อโยนต้นไม้นั้นลงในน้ำ น้ำก็จืด ณที่นั้นพระองค์ทรงประทานกฎเกณฑ์ และกฎหมายไว้ และทรงลองใจเขาที่นั่น
26 พระองค์ตรัสว่า "ถ้าเจ้าทั้งหลายฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าของเจ้า  และกระทำสิ่งที่ชอบในสายพระเนตรของพระองค์ เงี่ยหูฟังพระบัญญัติของพระองค์ และปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของพระองค์ทุกประการ แล้วโรคต่างๆซึ่งเราบันดาลให้เกิดแก่ชาวอียิปต์นั้น เราจะไม่ให้บังเกิดแก่พวกเจ้าเลย เพราะเราคือพระเจ้าแพทย์ของเจ้า"
27 พวกเขามาถึงตำบลเอลิม ที่มีบ่อน้ำพุสิบสองบ่อ มีต้นอินทผลัมเจ็ดสิบต้น พวกเขาจึงตั้งค่ายใกล้บ่อน้ำนั้น

อพยพ 16
1 พวกเขายกไปจากเอลิม และในวันที่สิบห้าเดือนที่สอง นับตั้งแต่เวลายกออกจาก แผ่นดินอียิปต์ ชุมนุมชนชาติอิสราเอลทั้งหมดก็มาถึงถิ่นทุรกันดารสีน ซึ่งอยู่ระหว่างตำบลเอลิมกับภูเขาซีนาย
2 ชุมนุมชนชาติอิสราเอลทั้งปวงก็ พากันบ่นต่อโมเสสและอาโรนในถิ่นทุรกันดาร
3 คนอิสราเอลกล่าวแก่ท่านทั้งสองว่า "พวกข้าพเจ้าตายเสียด้วยพระหัตถ์ของ พระเจ้าตั้งแต่อยู่ในประเทศอียิปต์ ขณะเมื่อนั่งอยู่ใกล้หม้อเนื้อและ รับประทานอาหารอิ่มหนำจะดีกว่า นี่ท่านกลับนำพวกข้าพเจ้าออกมาในถิ่นทุรกันดารอย่างนี้ เพื่อจะให้ชุมนุมชนทั้งหมดหิวตายเท่านั้น"
4 แล้วพระเจ้าได้ตรัสกับโมเสสว่า "ดูเถิด เราจะให้อาหารตกลงมาจากท้องฟ้า ดุจฝนสำหรับพวกเจ้า ให้ประชาชนออกไปเก็บทุกวัน พอกินเฉพาะวันหนึ่งๆ เพื่อเราจะได้ลองใจว่า เขาจะปฏิบัติตามโอวาท ของเราหรือไม่
5 ในวันที่หก เมื่อเขาเตรียมของที่เก็บมา อาหารนั้นก็จะเพิ่มเป็นสองเท่าของที่เขาเก็บทุกวัน"
6 โมเสสกับอาโรนจึงบอกชนชาติอิสราเอลทั้งปวงว่า "ในเวลาเย็นท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่า พระเจ้าเป็นผู้ทรงนำพวกท่านออกจากประเทศอียิปต์
7 ในเวลาเช้าพวกท่านจะได้เห็นพระสิริแห่งพระเจ้า เพราะคำบ่นต่อว่าของพวกท่านต่อพระเจ้าทราบถึงพระองค์แล้ว เราทั้งสองเป็นผู้ใดเล่า พวกท่านจึงมาบ่นต่อว่าเรา"
8 โมเสสกล่าวว่า "ในเวลาเย็นพระเจ้าจะประทานเนื้อให้ท่านรับประทาน และในเวลาเช้าพวกท่านจะมีอาหารรับประทานจนอิ่ม เพราะพระเจ้าทรงทราบคำบ่นของท่านต่อพระองค์ เราทั้งสองนี้เป็นผู้ใดเล่า พวกท่านมิได้บ่นต่อว่าเรา แต่ได้บ่นต่อว่าพระเจ้า"
9 โมเสสจึงกล่าวแก่อาโรนว่า "จงบอกชุมนุมชนชาติอิสราเอลทั้งปวงว่า 'เข้ามาใกล้พระเจ้า เพราะพระองค์ทรงสดับคำบ่นของท่านแล้ว'"
10 ขณะที่อาโรนกล่าวแก่ชุมนุมชนอิสราเอลอยู่นั้น เขาทั้งหลายมองไปทางถิ่นทุรกันดาร ก็เห็นพระสิริของพระเจ้าปรากฏอยู่ในเมฆ
11 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
12 "เราได้ยินคำบ่นของชนชาติอิสราเอลแล้ว จงกล่าวแก่เขาว่า 'ในเวลาโพล้เพล้ พวกเจ้าจะได้กินเนื้อ ทั้งในเวลาเช้า เจ้าจะได้อาหารกินจนอิ่ม แล้วเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระเจ้าของพวกเจ้า'"
13 ครั้นถึงเวลาเย็นฝูงนกคุ่มบินมาเต็มค่าย ในเวลาเช้าก็มีน้ำค้างตกรอบค่ายที่พัก
14 เมื่อน้ำค้างระเหยไปแล้ว ก็เห็นสิ่งหนึ่งเหมือนเกล็ดเล็กๆ เท่าเม็ดน้ำค้างแข็งอยู่ที่พื้นดินในถิ่นทุรกันดารนั้น
15 เมื่อชนชาติอิสราเอลเห็นจึงพูดกันว่า "นี่อะไรหนอ" เพราะเขาไม่ทราบว่าเป็นสิ่งใด โมเสสจึงบอกเขาว่า "นี่แหละเป็นอาหารที่พระเจ้าประทานให้พวกท่านรับประทาน
16 นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงบัญชาไว้ว่า 'ให้ทุกคนเก็บเท่าที่พอรับประทานอิ่ม ให้เก็บคนละโอเมอร์ ตามจำนวนคนมากน้อย ซึ่งพักอยู่ในเต็นท์ของตน'"
17 ชนชาติอิสราเอลก็กระทำตาม บางคนเก็บมาก บางคนเก็บน้อย
18 แต่เมื่อเขาใช้โอเมอร์ตวง คนที่เก็บได้มากก็ไม่มีเหลือ และคนที่เก็บได้น้อยก็หาขาดไม่ ทุกคนเก็บได้เท่าที่คนหนึ่งรับประทานพอดี
19 โมเสสจึงสั่งว่า "อย่าให้ผู้ใดเก็บเหลือไว้จนรุ่งเช้า"
20 แต่เขามิได้เชื่อฟังโมเสส บางคนเก็บส่วนหนึ่งไว้จนรุ่งเช้า อาหารนั้นก็เน่าเป็นหนอน และบูดเหม็น โมเสสจึงโกรธคนเหล่านั้น
21 เขาเก็บกันทุกๆเช้าเท่าที่คนหนึ่งรับประทานพอดี แต่พอแดดออกร้อนจัดแล้วอาหารนั้นก็ละลายไป
22 อยู่มาเมื่อถึงวันที่หก เขาเก็บอาหารสองเท่า คือคนละสองโอเมอร์ บรรดาหัวหน้าของชุมนุมชนจึงมารายงานต่อโมเสส
23 โมเสสบอกเขาว่า "พระเจ้าทรงพระบัญชาว่า 'พรุ่งนี้เป็นวันหยุดงาน เป็นสะบาโต วันบริสุทธิ์ของพระเจ้า จะปิ้งอะไรก็ให้ปิ้ง จะต้มอะไรก็ให้ต้มเสีย และส่วนที่เหลือทั้งหมดจงเก็บไว้จนถึงวันรุ่งขึ้น'"
24 เมื่อเขาเก็บไว้จนถึงวันรุ่งขึ้น ตามโมเสสสั่ง อาหารนั้นก็มิได้บูดเหม็นเป็นหนอนเลย
25 โมเสสจึงบอกว่า "วันนี้จงกินอาหารนั้น เพราะว่าวันนี้เป็นวันสะบาโตของพระเจ้า วันนี้ท่านจะไม่พบอาหารอย่างนั้นในทุ่งเลย
26 จงเก็บหกวัน แต่ในวันที่เจ็ดซึ่งเป็นสะบาโตจะไม่มีเลย"
27 อยู่มาเมื่อวันที่เจ็ด มีบางคนออกไปเก็บ แต่ไม่ได้พบ
28 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "พวกเจ้าจะขัดขืนบัญญัติและกฎหมายของเรานานสักเท่าไร
29 ดูซิ พระเจ้าทรงกำหนดวันสะบาโตให้เจ้าคือในวันที่หก พระองค์จึงประทานอาหารให้พอรับประทานสองวัน ให้ทุกคนพักอยู่ในที่ของตน อย่าให้ผู้ใดออกจากที่พักในวันที่เจ็ดนั้นเลย"
30 เหตุฉะนั้นประชาชนทั้งปวงจึงได้พักงานในวันที่เจ็ด
31 เหล่าวงศ์วานของอิสราเอล เรียกชื่ออาหารนั้นว่ามานา เป็นเม็ดขาวเหมือนเมล็ดผักชี มีรสเหมือนขนมแผ่นประสมน้ำผึ้ง
32 โมเสสกล่าวว่า "พระเจ้ามีรับสั่งว่า 'จงตวงมานาโอเมอร์หนึ่ง เก็บไว้ตลอดชั่วชาติพันธุ์ของเจ้า เพื่อเขาทั้งหลายจะได้เห็นอาหาร ซึ่งเราเลี้ยงเจ้าในถิ่นทุรกันดารนี้ เมื่อเรานำพวกเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์'"
33 โมเสสบอกอาโรนว่า "เอาไหลูกหนึ่ง ตวงมานาให้เต็มโอเมอร์หนึ่ง เก็บไว้ต่อพระพักตร์พระเจ้าชั่วชาติพันธุ์ของท่าน"
34 อาโรนก็วางมานานั้นลงหน้าหีบพระโอวาท เพื่อรักษาไว้ตามพระดำรัสที่พระเจ้าทรงบัญชาแก่โมเสส
35 ชนชาติอิสราเอลได้กินมานาสี่สิบปีจนเขามาถึง เมืองที่จะอาศัยอยู่ พวกเขากินมานาจนมาถึงชายแดนแคว้นคานาอัน
36 (หนึ่งโอเมอร์เท่ากับหนึ่งในสิบของเอฟาห์)

อพยพ 17
1 ชุมนุมชนชาติอิสราเอลทั้งหมด ยกออกจากถิ่นทุรกันดารสีน ไปเป็นระยะๆ ตามพระบัญชาของพระเจ้า และมาตั้งค่ายที่เรฟีดิม ที่นั่นไม่มีน้ำให้ประชาชนดื่ม
2 เหตุฉะนั้นประชาชนจึงกล่าวหาว่าเป็นความผิดของโมเสส และกล่าวกับโมเสสว่า "ให้น้ำพวกข้าดื่มซิ" โมเสสจึงบอกเขาว่า "พวกเจ้าหาเรื่องเราทำไม เหตุไฉนพวกเจ้าจึงบังอาจลองดีกับพระเจ้า"
3 ประชาชนกระหายน้ำที่ตำบลนั้น จึงบ่นต่อโมเสสว่า "ทำไมท่านจึงพาพวกข้าทั้งบุตรและฝูงสัตว์ของข้าออกมา จากประเทศอียิปต์ให้อดน้ำตาย"
4 โมเสสจึงร้องทูลพระเจ้าว่า "ข้าพระองค์จะทำอย่างไรกับชนชาตินี้ดี เขาเกือบจะเอาหินขว้างข้าพระองค์ให้ตายอยู่แล้ว"
5 พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า "จงเดินล่วงหน้าประชาชนไป และนำพวกผู้ใหญ่บางคนของอิสราเอลไปด้วย ให้ถือไม้เท้าที่เจ้าใช้ตีแม่น้ำไนล์นั้นไปด้วย
6 เราจะยืนอยู่ต่อหน้าเจ้าที่นั่น บนศิลาที่ภูเขาโฮเรบ จงตีศิลานั้น แล้วน้ำจะไหลออกมาให้ประชาชนดื่ม" โมเสสก็ทำดังนั้นต่อหน้าพวกผู้ใหญ่ของอิสราเอล
7 โมเสสเรียกชื่อตำบลนั้นว่า มัสสาห์ และเมรีบาห์ ด้วยเหตุว่า คนอิสราเอลกล่าวหาตนณที่นั้น และลองดีกับพระเจ้าว่า "พระเจ้าทรงสถิตอยู่ท่ามกลาง พวกข้าพเจ้าจริงหรือ"
8 ครั้งนั้น คนอามาเลขยกมารบกับคนอิสราเอลที่ตำบลเรฟีดิม
9 โมเสสสั่งโยชูวาว่า "จงเลือกชายฉกรรจ์ฝ่ายเราออกไปสู้รบกับพวกอามาเลข พรุ่งนี้เราจะยืนถือไม้เท้าของพระเจ้าอยู่บนยอดภูเขา"
10 โยชูวาก็ทำตามคำสั่งของโมเสส ออกสู้รบกับพวกอามาเลข ส่วนโมเสส อาโรน และเฮอร์ก็ขึ้นไปบนยอดภูเขานั้น
11 โมเสสยกมือขึ้นเมื่อไร อิสราเอลก็ได้เปรียบเมื่อนั้น ท่านลดมือลงเมื่อไร พวกอามาเลขก็เป็นต่อเมื่อนั้น
12 แต่มือของโมเสสเมื่อยล้า เขาทั้งสองก็นำก้อนหินมาวางไว้ให้โมเสสท่านนั่ง อาโรนกับเฮอร์ก็ช่วยยกมือท่านขึ้นคนละข้าง มือของท่านก็ชูอยู่จนตะวันตกดิน
13 ฝ่ายโยชูวาปราบอามาเลขกับประชาชนของ เขาพ่ายแพ้ไปด้วยคมดาบ
14 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "จงเขียนข้อความต่อไปนี้ลงไว้ในหนังสือเพื่อเป็นที่ระลึก ทั้งเล่าให้โยชูวาฟังคือว่าเราจะลบล้างชื่อชนชาติ อามาเลข ไม่ให้ปรากฏในความทรงจำของประชาชนภายใต้ฟ้านี้เลย"
15 โมเสสจึงสร้างแท่นบูชาเรียกชื่อ ว่า เยโฮวาห์นิสสี
16 กล่าวว่า "มือบนพระบัลลังก์ของพระเจ้า พระองค์จะทรงกระทำสงคราม กับอามาเลขต่อไปทุกชั่วชาติพันธุ์"

อพยพ 18
1 เยโธรปุโรหิตแห่งมีเดียน พ่อตาของโมเสส ได้ยินถึงกิจการต่างๆที่พระเจ้าทรงกระทำเพื่อโมเสส และอิสราเอลประชากรของพระองค์ เมื่อพระเจ้าทรงนำพวกเขาออกจากอียิปต์
2 เยโธรพ่อตารับศิปโปราห์ภรรยาของโมเสส ไว้หลังจากที่โมเสสส่งกลับไป
3 พร้อมกับบุตรทั้งสองคนของนาง คนหนึ่งชื่อเกอร์โชม (เพราะโมเสสกล่าวว่า "ข้าพเจ้าเป็นคนต่างด้าว อาศัยอยู่ต่างประเทศ")
4 อีกคนหนึ่งชื่อเอลีเยเซอร์ (เพราะท่านกล่าวว่า "พระเจ้าของบิดาเราเป็นผู้อุปถัมภ์ของ ข้าพเจ้าและทรงให้ข้าพเจ้ารอดจากพระแสงดาบของฟาโรห์")
5 เยโธรพ่อตาของโมเสส พาภรรยาและบุตรทั้งสองคนนั้นมาหา โมเสสที่ในถิ่นทุรกันดาร ที่เขาตั้งค่ายอยู่ที่ภูเขาของพระเจ้า
6 มีคนไปบอกโมเสสว่า "แน่ะเยโธรพ่อตาของท่าน พาภรรยากับบุตรทั้งสองของนางมาหาท่าน"
7 โมเสสออกไปต้อนรับพ่อตา กราบลงและจุบท่าน ท่านทั้งสองไต่ถามถึงทุกข์สุขซึ่งกันและกัน แล้วพากันเข้าไปในเต็นท์
8 โมเสสเล่าให้พ่อตาฟังถึงเหตุการณ์ทุกประการ ซึ่งพระเจ้าทรงกระทำกับฟาโรห์ และแก่ชาวอียิปต์ เพราะทรงเห็นแก่พวกอิสราเอล ทั้งความทุกข์ยากลำบากทั้งปวงซึ่งเกิดขึ้นแก่คน อิสราเอลในระหว่างทาง และพระเจ้าได้ทรงช่วยเขา ให้พ้นภัยอย่างไร
9 เยโธรก็มีความยินดีที่ได้ทราบพระกรุณาทั้งสิ้น ซึ่งพระเจ้าได้ทรงสำแดงแก่คนอิสราเอล เมื่อพระองค์ทรงช่วยเขาให้รอดพ้นจากเงื้อมมือชาวอียิปต์
10 เยโธรจึงกล่าวว่า "สาธุการแด่พระเจ้า ผู้ทรงช่วยท่านทั้งหลายให้รอดจากเงื้อมมือชาวอียิปต์ และจากหัตถ์ของฟาโรห์ และทรงช่วยประชากรให้พ้นจากมือของชาวอียิปต์
11 บัดนี้เราทราบว่าพระเจ้าทรงเป็นใหญ่กว่าพระทั้งปวง ใหญ่กว่าพระเหล่านั้นที่ได้กระทำต่อชนชาติ อิสราเอลอย่างทะนง"
12 เยโธรพ่อตาของโมเสสก็นำเครื่องเผาบูชา และเครื่องสัตวบูชาถวายแด่พระเจ้า ฝ่ายอาโรนกับบรรดาผู้ใหญ่แห่งอิสราเอลมารับประทาน เลี้ยงกับพ่อตาของโมเสสเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า
13 วันรุ่งขึ้น โมเสสออกนั่งพิจารณาพิพากษา ความให้ประชาชน พวกเขายืนห้อมล้อมโมเสสตั้งแต่เช้าจนเย็น
14 เมื่อพ่อตาของโมเสสเห็นงานที่โมเสสกระทำเพื่อ ประชาชนเช่นนั้น จึงกล่าวว่า "นี่ท่านใช้วิธีอะไรปฏิบัติกับประชาชนเล่า เหตุไรท่านจึงนั่งทำงานอยู่แต่ผู้เดียว และประชาชนทั้งปวงก็ยืนล้อมท่านตั้งแต่เช้าจนเย็น"
15 โมเสสจึงตอบพ่อตาว่า "เพราะประชาชนมาหาข้าพเจ้า เพื่อขอให้ทูลถามพระเจ้า
16 เมื่อเขามีการโต้เถียงกันก็มาหาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ตัดสินความระหว่างเขากับเพื่อนบ้าน สอนเขาให้รู้จักกฎเกณฑ์ของพระเจ้าและ ข้อตัดสินของพระองค์"
17 ฝ่ายพ่อตาของโมเสสจึงกล่าวแก่ท่านว่า "ท่านทำอย่างนี้ไม่ดี
18 ทั้งท่านและประชาชนที่มาหาท่านนั้นคงจะอ่อนระอาใจ เพราะภาระอันหนักนี้เหลือกำลังของท่าน ท่านไม่สามารถที่จะทำแต่ผู้เดียวได้
19 ฟังเราบ้าง เราจะให้คำแนะนำแก่ท่าน และขอให้พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับท่าน ท่านจงเป็นผู้แทนของประชาชนต่อพระเจ้า นำความกราบทูลพระเจ้า
20 ท่านจงสั่งสอนเขาให้รู้กฎเกณฑ์ และข้อตัดสินและแสดงให้เขารู้จักทางที่เขาต้องดำเนิน ชีวิตและสิ่งที่ต้องปฏิบัติ
21 ยิ่งกว่านั้น ท่านจงเลือกคนที่สามารถจากพวกประชาชน คือคนที่ยำเกรงพระเจ้า ไว้ใจได้ และไม่กินสินบน แต่งตั้งคนอย่างนี้ไว้เป็นผู้ปกครองคนพันคนบ้าง ร้อยคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง สิบคนบ้าง
22 ให้เขาพิพากษาความของประชาชนอยู่เสมอ ส่วนคดีใหญ่ๆ ก็ให้เขานำมาแจ้งต่อท่าน แต่คดีเล็กๆน้อยๆให้เขาตัดสินเอง การงานของท่านจะเบาลง และพวกเขาจะแบกภาระร่วมกับท่าน
23 ถ้าทำดังนี้และพระเจ้าทรงบัญชาแล้ว ท่านก็จะสามารถทนได้ประชาชน ทั้งปวงนี้ก็จะไปยังที่อาศัยของเขาด้วยความสงบสุข"
24 โมเสสก็เชื่อฟังถ้อยคำของพ่อตา และทำตามที่เขาแนะนำทุกประการ
25 โมเสสจึงได้เลือกคนที่สามารถจากคนอิสราเอลทั้งปวง ตั้งให้เป็นหัวหน้าประชาชน เป็นผู้ปกครองคนพันคนบ้าง ร้อยคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง สิบคนบ้าง
26 คนเหล่านั้นพิพากษาความของประชาชนอยู่เสมอ แต่คดียากๆ เขานำไปแจ้งโมเสส ส่วนคดีเล็กๆน้อยๆเขาตัดสินเอง
27 โมเสสส่งพ่อตาของตนกลับไป พ่อตาก็กลับไปยังเมืองของเขา

อพยพ 19
1 ในเดือนที่สามนับตั้งแต่ชนชาติอิสราเอลออกจากแผ่นดินอียิปต์ ในวันนั้นเขามาถึงถิ่นทุรกันดารซีนาย
2 เมื่อยกออกจากตำบลเรฟีดิม มาถึงถิ่นทุรกันดารซีนาย พวกเขาก็ตั้งค่ายอยู่ในถิ่นทุรกันดาร ชาวอิสราเอลตั้งค่ายอยู่ที่หน้าภูเขานั้น
3 โมเสสขึ้นไปเฝ้าพระเจ้า พระเจ้าตรัสจากภูเขานั้นว่า "บอกวงศ์วานยาโคบและชนชาติอิสราเอลดังนี้ว่า
4 พวกเจ้าได้เห็นกิจการซึ่งเรากระทำกับชาวอียิปต์แล้ว และที่เราเทิดชูเจ้าขึ้น ดุจดังด้วยปีกนกอินทรี เพื่อนำเจ้ามาถึงเรา
5 เหตุฉะนี้ถ้าเจ้าฟังเสียงเรา และรักษาพันธสัญญาของเราไว้ เจ้าจะเป็นกรรมสิทธิ์ของเราที่เราเลือกสรรจากท่ามกลาง ชนชาติทั้งปวง เพราะแผ่นดินทั้งสิ้นเป็นของเรา
6 เจ้าทั้งหลายจะเป็นอาณาจักรปุโรหิต และเป็นชนชาติบริสุทธิ์สำหรับเรา นี่เป็นถ้อยคำที่เจ้าต้องบอกให้คนอิสราเอลฟัง"
7 โมเสสจึงเรียกประชุมพวกผู้ใหญ่ของประชาชน แล้วเล่าข้อความเหล่านี้ที่พระเจ้าทรงบัญชาท่านให้ เขาฟังทุกประการ
8 ประชาชนก็ตอบพร้อมกันว่า "สิ่งทั้งปวงที่พระเจ้าตรัสนั้น ข้าพเจ้าทั้งหลายจะกระทำตาม" โมเสสจึงนำถ้อยคำของประชาชนไปกราบทูลพระเจ้า
9 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "เราจะมาหาเจ้าในเมฆหนาทึบ เพื่อประชาชนจะได้ยินขณะที่เราพูดกับเจ้า แล้วจะได้เชื่อเจ้าเสมอ" โมเสสนำคำของประชาชนนั้นกราบทูลพระเจ้า
10 พระเจ้าจึงรับสั่งกับโมเสสว่า "ไปบอกให้ประชาชนชำระตัวให้บริสุทธิ์ในวันนี้และพรุ่งนี้ ให้เขาซักเสื้อผ้าเสียให้สะอาด
11 เตรียมตัวไว้ให้พร้อมในวันที่สาม เพราะในวันที่สามนั้น พระเจ้าจะเสด็จลงมาบนภูเขาซีนายต่อหน้าประชาชนทั้งปวง
12 จงกำหนดเขตให้ประชาชนอยู่รอบภูเขา แล้วกำชับเขาว่า 'เจ้าทั้งหลายจงระวังตัวให้ดี อย่าล่วงล้ำเขตขึ้นไปหรือถูกต้องเชิงภูเขานั้น ผู้ใดถูกภูเขาต้องมีโทษถึงตาย
13 อย่าใช้มือฆ่าผู้นั้นเลย ให้เอาหินขว้างหรือยิงเสีย จะเป็นสัตว์ก็ดีหรือเป็นมนุษย์ก็ดีอย่าไว้ชีวิต' เมื่อได้ยินเสียงแตรเป่ายาว ให้เขาทั้งหลายมายังภูเขานั้น"
14 โมเสสลงจากภูเขามายังประชาชน แล้วสั่งให้เขาชำระตัวให้บริสุทธิ์ และซักเสื้อผ้าให้สะอาด
15 แล้วท่านกล่าวแก่ประชาชนว่า "ท่านทั้งหลายจงเตรียมตัวไว้ให้พร้อมในวันที่สาม อย่าเข้าใกล้ผู้หญิงเลย"
16 อยู่มาพอถึงรุ่งเช้าวันที่สาม ก็บังเกิดฟ้าร้อง ฟ้าแลบ มีเมฆอันหนาทึบปกคลุมภูเขานั้นไว้กับมีเสียงแตรดังสนั่น จนคนทั้งปวงที่อยู่ในค่ายต่างก็พากันกลัวจนตัวสั่น
17 โมเสสก็นำประชาชนออกจากค่ายไปเฝ้าพระเจ้า พวกเขามายืนอยู่ที่เชิงภูเขา
18 ภูเขาซีนายมีควันกลุ้มหุ้มอยู่ทั่วไป เพราะพระเจ้าเสด็จลงมาบนภูเขานั้นโดย อาศัยเพลิงควันไฟพลุ่งขึ้นเหมือนควันจากเตาใหญ่ ภูเขาก็สะท้านหวั่นไหวไปหมด
19 เมื่อเสียงแตรยิ่งดังขึ้น โมเสสก็กราบทูล พระเจ้าก็ตรัสตอบเป็นเสียงฟ้าร้อง
20 พระเจ้าเสด็จลงมาบนยอดภูเขาซีนาย พระเจ้าทรงเรียกโมเสสให้ขึ้นไปบนยอดเขา โมเสสก็ขึ้นไป
21 พระเจ้าตรัสสั่งโมเสสว่า "เจ้าจงลงไปกำชับประชาชน เกรงว่าเขาจะล่วงล้ำเข้ามาถึงพระเจ้า เพราะอยากเห็น แล้วเขาจะพินาศเสียเป็นจำนวนมาก
22 อีกประการหนึ่ง พวกปุโรหิต ที่เข้ามาเฝ้าพระเจ้านั้นให้เขาชำระตัวให้บริสุทธิ์ ด้วยเกรงว่าพระเจ้าจะทรงพระพิโรธลงโทษเขา"
23 ฝ่ายโมเสสกราบทูลพระเจ้าว่า "ประชาชนขึ้นมาบนภูเขาซีนายไม่ได้ เพราะพระองค์ทรงสั่งข้าพระองค์ทั้งหลายว่า 'จงกั้นเขตรอบภูเขานั้น ชำระให้เป็นที่บริสุทธิ์'"
24 พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า "ลงไปเถิด แล้วกลับขึ้นมาอีกพาอาโรนขึ้นมาด้วย แต่อย่าให้พวกปุโรหิตและประชาชนล่วงล้ำขึ้นมาถึงพระเจ้า เกรงว่าพระองค์จะลงโทษเขา"
25 โมเสสก็ลงไปบอกประชาชนตามนั้น

อพยพ 20
1 พระเจ้าตรัสพระวจนะทั้งสิ้นต่อไปนี้ว่า
2 "เราคือพระเจ้าของเจ้า ผู้ได้นำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์คือจากแดนทาส
3 "อย่ามีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา
4 "อย่าทำรูปเคารพสำหรับตน เป็นรูปสิ่งใดซึ่งมีอยู่ในฟ้าเบื้องบน หรือบนแผ่นดินเบื้องล่าง หรือในน้ำใต้แผ่นดิน
5 อย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่านั้น เพราะเราคือพระเจ้าของเจ้า เป็นพระเจ้าที่หวงแหน ให้โทษบิดาตกทอดไปถึงลูกหลานของผู้ที่ชัง เราจนถึงสามชั่วสี่ชั่วอายุคน
6 แต่เราแสดงความรักมั่นคงต่อคนที่รักเรา และปฏิบัติตามบัญญัติของเรา จนถึงพันชั่วอายุคน
7 "อย่าออกพระนามพระเจ้าของเจ้าอย่างไม่สมควร เพราะผู้ที่ออกพระนามพระองค์อย่างไม่สมควรนั้น พระเจ้าจะทรงถือว่าไม่มีโทษก็หามิได้
8 "จงระลึกถึงวันสะบาโต ถือเป็นวันบริสุทธิ์
9 จงทำการงานทั้งสิ้นของเจ้าหกวัน
10 แต่วันที่เจ็ดนั้นเป็นสะบาโตของพระเจ้าของเจ้า ในวันนั้นอย่ากระทำการงานใดๆ ไม่ว่าเจ้าเอง หรือบุตรชายบุตรหญิงของเจ้า หรือทาสทาสีของเจ้า หรือสัตว์ใช้งานของเจ้า หรือแขกที่อาศัยอยู่ในประตูเมืองของเจ้า
11 เพราะในหกวันพระเจ้าทรงสร้างฟ้าและแผ่นดิน ทะเล และสรรพสิ่งซึ่งมีอยู่ในที่เหล่านั้น แต่ในวันที่เจ็ดทรงพัก เพราะฉะนั้นพระเจ้าทรงอวยพระพรวันสะบาโต และทรงตั้งวันนั้นไว้เป็นวันบริสุทธิ์
12 "จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า เพื่ออายุของเจ้าจะได้ยืนนานบนแผ่นดิน ซึ่งพระเจ้าของเจ้าประทานให้แก่เจ้า
13 "อย่าฆ่าคน
14 "อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา
15 "อย่าลักทรัพย์
16 "อย่าเป็นพยานเท็จใส่ร้ายเพื่อนบ้าน
17 "อย่าโลภครัวเรือนของเพื่อนบ้าน อย่าโลภภรรยาของเพื่อนบ้าน หรือทาสทาสีของเขา หรือโค ลาของเขา หรือสิ่งใดๆซึ่งเป็นของของเพื่อนบ้าน"
18 คนทั้งหลายเมื่อได้ยิน ได้เห็นฟ้าร้อง ฟ้าแลบ เสียงแตร และควันที่พลุ่งขึ้นจากภูเขาเช่นนั้น ต่างก็ยืนตัวสั่นอยู่แต่ไกล
19 เขาจึงกล่าวแก่โมเสสว่า "ท่านจงนำความมาเล่าเถิด พวกข้าพเจ้าจะฟัง แต่อย่าให้พระเจ้าตรัสกับพวกข้าพเจ้าเลย เกรงว่าข้าพเจ้าจะตาย"
20 โมเสสจึงกล่าวแก่ประชาชนว่า "อย่ากลัวเลย เพราะว่าพระเจ้าเสด็จมาเพื่อลองใจท่านทั้งหลาย เพื่อพวกท่านจะได้ยำเกรงพระองค์ และจะได้ไม่ทำบาป"
21 ประชาชนยืนอยู่แต่ไกล แต่โมเสสเข้าไปใกล้ความมืดทึบที่พระเจ้าทรงสถิตอยู่นั้น
22 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "บอกชนชาติอิสราเอลดังนี้ว่า 'เจ้าทั้งหลายได้เห็นแล้วว่า เราพูดกับพวกเจ้าจากท้องฟ้า
23 เจ้าอย่าทำรูปเคารพด้วยเงิน ไว้สำหรับบูชาเทียมเท่ากับเรา หรือทำรูปพระด้วยทองคำสำหรับตัว
24 จงใช้ดินก่อแท่นบูชาสำหรับเรา และบนแท่นนั้นจงใช้แกะและโคของเจ้าเป็นเครื่องเผาบูชา และเป็นศานติบูชาแก่เรา ในทุกตำบลที่เราให้ระลึกถึงนามของเรา เราจะมาหาเจ้าและอวยพรเจ้า
25 ถ้าจะก่อแท่นบูชาด้วยศิลาสำหรับเรา อย่าก่อด้วยศิลาที่ตกแต่งแล้ว เพราะถ้าเจ้าใช้เครื่องมือตกแต่งศิลานั้น เจ้าก็จะทำให้ศิลานั้นเป็นมลทิน
26 และอย่าขึ้นไปยังแท่นของเราทางบันได เพื่อจะได้ไม่เป็นที่อุจาดตา"

อพยพ 21
1 ต่อไปนี้เป็นกฎหมายซึ่งเจ้าต้อง ประกาศให้เขาทั้งหลายทราบไว้
2 ถ้าเจ้าจะซื้อคนฮีบรูไว้เป็นทาส เขาจะต้องปรนนิบัติเจ้าหกปี แต่ปีที่เจ็ดเขาจะได้เป็นอิสระโดยไม่ต้องเสียค่าไถ่
3 ทาสซึ่งได้มาแต่ผู้เดียวจงปล่อยเขาไปแต่ผู้เดียว ถ้าเขามีภรรยาต้องปล่อยภรรยาของเขาไปด้วย
4 ถ้านายหาภรรยาให้เขา และภรรยานั้นเกิดลูกชายก็ดี หญิงก็ดีด้วยกัน ภรรยากับลูกนั้นจะเป็นคนของนาย เขาจะเป็นอิสระได้แต่ตัวผู้เดียว
5 ถ้าทาสนั้นมากล่าวเป็นที่เข้าใจชัดเจนว่า 'ข้าพเจ้ารักนายและลูกเมียของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่อยากออกไปเป็นไท'
6 ให้นายพาทาสนั้นไปเฝ้าพระเจ้า พาเขาไปที่ประตูหรือไม้วงกบประตู แล้วให้นายเจาะหูเขาด้วยเหล็กหมาด เขาก็จะอยู่ปรนนิบัตินายต่อไปจนชีวิตหาไม่
7 "ถ้าคนใดขายบุตรหญิงเป็นทาสี หญิงนั้นจะมิได้เป็นอิสระเหมือนทาส
8 ถ้าหญิงนั้นไม่เป็นที่พอใจของนายที่รับเธอไว้ ต้องยอมให้คนอื่นไถ่เธอไป แต่ไม่มีสิทธิ์จะขายหญิงนั้นให้แก่ชาวต่างประเทศ เพราะมิได้ซื่อสัตย์ต่อหญิงนั้นแล้ว
9 ถ้านายยกหญิงนั้นให้เป็นภรรยาลูกชายของตน ก็ให้เขาปฏิบัติต่อหญิงนั้นดุจเป็นบุตรีของตน
10 ถ้าเขาหาหญิงอื่นมาเป็นภรรยา อย่าให้เขาลดอาหารการกิน เสื้อผ้าและประเพณีผัวเมียกับคนเก่า
11 ถ้าเขามิได้กระทำตามประการใด ในสามประการนี้แก่เธอ หญิงนั้นจะไปเสียก็ได้ โดยไม่ต้องมีค่าไถ่ ไม่ต้องเสียเงิน
12 "ผู้ใดทุบตีคนหนึ่งให้ตาย ผู้นั้นจำต้องรับโทษถึงตายเหมือนกัน
13 ถ้าผู้ใดมิได้เจตนาฆ่าเขา แต่เขาตายเพราะพระเจ้าทรงปล่อยให้ตายด้วยมือของผู้นั้น เราจะตั้งตำบลหนึ่งไว้ให้เขาหนีไปที่นั่น
14 แต่ถ้าผู้ใดเจตนาหักหลังฆ่าเพื่อนบ้าน ก็ให้ดึงตัวเขาไปจากแท่นบูชาของเรา เพื่อลงโทษให้ถึงตาย
15 "ผู้ใดทุบตีบิดามารดาของตน ผู้นั้นจะต้องถูกปรับโทษถึงตาย
16 "ผู้ใดลักคนไปขายก็ดี หรือมีผู้พบคนที่ถูกลักไปอยู่ในมือของผู้นั้นก็ดี ผู้ลักนั้นจะต้องถูกปรับโทษถึงตาย
17 "ผู้ใดด่าแช่งบิดามารดาของตน ผู้นั้นต้องถูกปรับโทษถึงตาย
18 "ถ้ามีผู้วิวาทกัน และฝ่ายหนึ่งเอาหินขว้างหรือชก แต่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ถึงแก่ความตาย เพียงแต่เจ็บป่วยต้องนอนพัก
19 ถ้าผู้ที่ถูกเจ็บนั้นลุกขึ้น ถือไม้เท้าเดินออกไปได้อีก ผู้ตีนั้นก็พ้นโทษ แต่เขาจะต้องเสียค่าป่วยการ และค่ารักษาบาดแผลจนหายเป็นปกติ
20 "ถ้าผู้ใดทุบตีทาสชายหญิงของตนด้วยไม้จนตายคามือ ผู้นั้นต้องถูกปรับโทษ
21 หากว่าทาสนั้นมีชีวิตต่อไปได้วันหนึ่ง หรือสองวันจึงตาย นายก็ไม่ต้องถูกปรับโทษ เพราะทาสนั้นเป็นดังเงินของนาย
22 "ถ้ามีผู้ชายตีกัน แล้วบังเอิญไปถูกผู้หญิงมีครรภ์ทำให้แท้งลูก แต่หญิงนั้นไม่เป็นอันตราย ต้องปรับผู้นั้นตามแต่สามีของหญิงนั้นจะเรียกร้องเอาจากเขา และเขาจะต้องเสียตามที่ผู้พิพากษาจะตัดสิน
23 ถ้าหากว่าเป็นเหตุให้เกิดอันตรายประการใด ก็ให้วินิจฉัยดังนี้ คือชีวิตแทนชีวิต
24 ตาแทนตา ฟันแทนฟัน มือแทนมือ เท้าแทนเท้า
25 รอยไหม้แทนรอยไหม้ แผลแทนแผล รอยช้ำแทนรอยช้ำ
26 "ถ้าผู้ใดตีนัยน์ตาของทาสชายหญิงให้บอดไป เขาต้องปล่อยทาสผู้นั้นให้เป็นไท เนื่องด้วยนัยน์ตาของเขา
27 ถ้าผู้ใดทำให้ฟันทาสชายหญิงหลุดไป เขาต้องปล่อยทาสผู้นั้นเป็นไทเนื่องด้วยฟันของเขา
28 "ถ้าโคขวิดชายหรือหญิงถึงตาย จงเอาหินขว้างโคนั้นให้ตาย และอย่ากินเนื้อของมันเลย แต่เจ้าของโคตัวนั้นไม่มีโทษ
29 แต่ถ้าโคนั้นเคยขวิดคนมาก่อน และมีผู้มาเตือนให้เจ้าของทราบ แต่เจ้าของมิได้กักขังมันไว้ มันจึงได้ขวิดชายหรือหญิงถึงตาย ให้เอาหินขว้างโคนั้นเสียให้ตาย และให้ลงโทษเจ้าของถึงตายด้วย
30 ถ้าจะเรียกร้องเอาค่าไถ่จากผู้นั้น เขาต้องเสียค่าไถ่แทนชีวิตของเขาตามที่ได้เรียกร้อง
31 หากโคนั้นขวิดบุตรชายและบุตรหญิง ก็จงปรับโทษตามกฎหมายข้อนี้ดุจกัน
32 ถ้าโคนั้นขวิดทาสชายหญิงของผู้ใด เจ้าของโคต้องให้เงินแก่นายของทาสนั้นสามสิบเชเขล แล้วต้องเอาหินขว้างโคนั้นให้ตายเสียด้วย
33 "ถ้าผู้ใดเปิดบ่อหรือขุดบ่อแต่มิได้ปิดไว้ แล้วมีโคหรือลาตกลงไปตายในบ่อนั้น
34 เจ้าของบ่อต้องให้ค่าชดใช้เขาต้องเสียเงินค่าสัตว์นั้นๆ ให้แก่เจ้าของ ซากสัตว์ที่ตายนั้นจะตกเป็นของเจ้าของบ่อ
35 "ถ้าโคของผู้ใดขวิดโคของผู้อื่นให้ตาย เขาต้องขายโคที่เป็นอยู่แล้วมาแบ่งเงินกัน และโคที่ตายนั้นให้แบ่งกันด้วย
36 หรือถ้ารู้แล้วว่า โคนั้นเคยขวิดมาก่อน แต่เจ้าของมิได้กักขังไว้ เจ้าของต้องใช้โคแทนโค และโคที่ตายนั้นก็ตกเป็นของตัว

อพยพ 22
1 "ถ้าผู้ใดลักโคหรือแกะไปฆ่าหรือขาย ให้ผู้นั้นใช้โคห้าตัวแทนโคหนึ่งตัว และแกะสี่ตัวแทนแกะตัวหนึ่ง
2 ถ้าผู้ใดเห็นขโมยกำลังขุดช่องเข้าไปแล้วตีขโมยนั้นตาย เขาไม่มีโทษถึงตาย เพราะการตีคนนั้น
3 ถ้าดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว ผู้ตีจะมีโทษถึงตาย แต่ผู้ร้ายนั้นต้องให้ค่าชดใช้ ถ้าเขาไม่มีอะไรจะใช้ให้ ต้องขายตัวเขาเป็นค่าของที่ลักไปนั้น
4 ถ้าจับของที่ลักไปนั้นได้อยู่ในมือของเขา จะเป็นโคก็ดี หรือลาก็ดี หรือแกะก็ดี ซึ่งยังเป็นอยู่ ขโมยนั้นต้องให้ค่าชดใช้เป็นสองเท่า
5 "ผู้ใดปล่อยให้สัตว์กินของในนาหรือในสวนองุ่นเสียไป หรือปล่อยสัตว์ของตน แล้วมันไปกินในนาของผู้อื่นเขาต้องให้ค่าชดใช้ โดยให้ของที่ดีที่สุดในนาของตน และของที่ดีที่สุดในสวนองุ่นของตนเป็นค่าเสียหาย
6 "ถ้าจุดไฟที่กองหนาม และไฟลามไปติดกองข้าว หรือติดต้นข้าวซึ่งมิได้เกี่ยว หรือติดทุ่งนาให้ไหม้เสีย ผู้ที่จุดไฟนั้นต้องใช้ค่าเสียหายเต็มจำนวน
7 "ถ้าผู้ใดฝากเงินหรือสิ่งของไว้กับเพื่อนบ้าน แล้วของนั้นถูกขโมยลักไปจากเรือนผู้นั้น ถ้าจับขโมยได้ ขโมยต้องใช้แทนเป็นสองเท่า
8 ถ้าจับขโมยไม่ได้ จงให้เจ้าของเรือนมาเฝ้าพระเจ้า เพื่อจะดูว่า มือของตนเองได้ลักสิ่งของของเพื่อนบ้านนั้นหรือไม่
9 "ในคดีฟ้องร้องทุกอย่าง จะเป็นเรื่องโค ลา แกะ หรือเสื้อผ้า หรือเรื่องสิ่งของใดๆที่หายไป ถ้ามีคนมาอ้างว่า สิ่งนี้สิ่งนั้นเป็นของตน จงนำคดีของคู่ความนั้นไปเฝ้าพระเจ้า พระเจ้าทรงตัดสินว่าผู้ใดผิด ผู้นั้นจะต้องใช้ค่าชดใช้เป็นสองเท่า
10 "ถ้าผู้ใดฝากลาหรือโค หรือแกะหรือสัตว์ใดๆไว้กับเพื่อนบ้าน และสัตว์นั้นเกิดตายลง หรือเป็นอันตราย หรือมีผู้ไล่ต้อนไปจากบ้านนั้นโดยไม่มีใครเห็น
11 ต้องให้ผู้รับฝากนั้นสาบานตัวต่อเพื่อนบ้าน ต่อพระพักตร์พระเจ้าเพื่อดูว่ามือของเขา ลักของของเพื่อนบ้านนั้นจริงหรือไม่ แล้วเจ้าของนั้นจะต้องยินยอม ผู้รับฝากนั้นไม่ต้องให้ค่าชดใช้
12 แต่ถ้าสัตว์นั้นถูกลักไป ขณะเมื่อผู้รับฝากอยู่ด้วย ผู้รับฝากต้องให้ค่าชดใช้แก่เจ้าของ
13 ถ้ามีสัตว์ร้ายมากัดฉีกสัตว์นั้นตาย จงเอาซากมาให้ตรวจดูเป็นหลักฐาน แล้วผู้รับฝากไม่ต้องให้ค่าชดใช้แทนสัตว์ที่ถูกกัดฉีกนั้น
14 "ถ้าผู้ใดยืมสิ่งใดๆไปจากเพื่อนบ้าน แล้วเกิดเป็นอันตราย หรือตายระหว่างเวลาที่เจ้าของไม่อยู่ ผู้ยืมต้องให้ค่าชดใช้เต็มตามจำนวน
15 ถ้าเจ้าของอยู่ด้วย ผู้ยืมไม่ต้องให้ค่าชดใช้ถ้าเป็นของ เช่าให้คิดแต่ค่าเช่าเท่านั้น
16 "ถ้าผู้ใดล่อลวงหญิง พรหมจารีที่ยังไม่มีคู่หมั้นและนอนร่วมกับหญิงนั้น ผู้นั้นจะต้องเสียเงินสินสอด และต้องรับหญิงนั้นเป็นภรรยาของตน
17 ถ้าบิดาไม่ยอมอย่างเด็ดขาด ที่จะยกหญิงนั้นให้เป็นภรรยา เขาก็ต้องเสียเงินเท่าสินสอดตามธรรมเนียมสู่ขอหญิง พรหมจารีนั้นดุจกัน
18 "สำหรับหญิงแม่มด เจ้าอย่าให้รอดชีวิตอยู่เลย
19 "ผู้ใดร่วมประเวณีกับสัตว์ ผู้นั้นจะต้องถูกลงโทษถึงตาย
20 "ผู้ใดถวายบูชาแด่พระต่างๆ เว้นแต่พระเจ้าองค์เดียว ผู้นั้นต้องถูกปรับโทษถึงตายทีเดียว
21 "เจ้าอย่าบีบบังคับหรือข่มเหงคนต่างด้าวเลย เพราะเจ้าทั้งหลายเคยเป็นคนต่างด้าวอยู่ในประเทศอียิปต์
22 อย่าข่มเหงหญิงม่ายหรือลูกกำพร้าเลย
23 ถ้าเจ้าข่มเหงเขาโดยวิธีใดก็ตาม และเขาร้องทุกข์ถึงเรา เราจะฟังคำร้องทุกข์ของเขาแน่ๆ
24 ความโกรธของเราจะพลุ่งขึ้น และเราจะประหารเจ้าด้วยดาบ ภรรยาของเจ้าจะต้องเป็นม่าย และบุตรของเจ้าจะต้องเป็นกำพร้า
25 "ถ้าเจ้าให้ประชากรของเราคนใดที่เป็นคนจน และอยู่กับเจ้ายืมเงินไป อย่าถือว่าตนเป็นเจ้าหนี้ และอย่าคิดดอกเบี้ยจากเขา
26 ถ้าเจ้าได้รับเสื้อคลุมของเพื่อนบ้านไว้เป็นของประกัน จงคืนของนั้นให้เขาก่อนตะวันตกดิน
27 เพราะเขาอาจมีเสื้อคลุมตัวนั้นตัวเดียว เป็นเครื่องปกคลุมร่างกาย มิฉะนั้นเวลานอนเขาจะเอาอะไรห่มเล่า เมื่อเขาทูลร้องทุกข์ต่อเรา เราจะสดับฟังเพราะเราเป็นผู้มีเมตตากรุณา
28 "อย่าด่าพระเจ้า หรือสาปแช่งผู้ปกครองชนชาติของเจ้าเลย
29 "อย่าผลัดวันที่จะนำพืชผลอันอุดมของเจ้า และน้ำผลไม้ต่างๆมาถวายพระเจ้า อย่าชักช้าเลย "จงถวายบุตรหัวปีของเจ้าให้แก่เรา
30 สำหรับโค และแพะ แกะของเจ้า จงทำดังนั้นเหมือนกัน ให้ลูกมันอยู่กับแม่เจ็ดวัน ถึงวันที่แปดจงพามาถวายแก่เรา
31 "เจ้าทั้งหลายเป็นคนบริสุทธิ์อุทิศแก่เรา เหตุฉะนั้นเนื้อสัตว์ที่ถูกกัดตายในทุ่งนา เจ้าอย่ากินเลย จงทิ้งให้สุนัขกินเสีย

อพยพ 23
1 "อย่านำเรื่องเท็จไปเล่าต่อๆกัน อย่าร่วมใจเป็นพยานใจร้ายกับคนชั่ว
2 อย่าทำชั่วตามอย่างคนจำนวนมากที่เขาทำกันนั้นเลย อย่าอ้างพยานลำเอียงเข้าข้างคนหมู่มาก จะทำให้ขาดความยุติธรรมไป
3 อย่าลำเอียงเข้าข้างคนจนในคดีของเขา
4 "ถ้าเจ้าพบโคหรือลาของศัตรูหลงมา จงพาไปส่งคืนให้เจ้าของจงได้
5 ถ้าเห็นลาของผู้ที่เกลียดชังเจ้าล้มลงเพราะ บรรทุกของหนัก อย่าได้เมินเฉยเสีย จงช่วยเขายกมันขึ้น
6 "เจ้าอย่าบิดเบือนคำพิพากษา ให้ผิดไปจากความยุติธรรมที่คนจนควรได้รับในคดีของเขา
7 เจ้าจงหลีกให้ห่างไกลจากการใส่ความคนอื่น อย่าประหารชีวิตคนที่ปราศจากความผิด และคนสัตย์ธรรม เพราะเราจะไม่ยกโทษให้คนอธรรม
8 อย่ารับสินบนเลย เพราะว่าสินบนทำให้คนตาดีกลายเป็นคนตาบอดไป และอาจพลิกคดีของคนชอบธรรมเสียได้
9 "เจ้าอย่าข่มเหงคนต่างด้าว เพราะเจ้ารู้จักใจคนต่างด้าวแล้ว เพราะว่าเจ้าทั้งหลายก็เคยเป็นคนต่างด้าวในประเทศอียิปต์มาก่อน
10 "จงหว่านพืชและเกี่ยวเก็บผลในนาของเจ้าตลอดหกปี
11 แต่ปีที่เจ็ดนั้นจงงดเสีย ปล่อยให้นานั้นว่างอยู่ เพื่อให้คนจนในชนชาติของเจ้าเก็บกินส่วน ที่เหลือนอกนั้นก็ให้สัตว์ป่ากิน ส่วนสวนองุ่นและสวนมะกอกเทศเจ้าจงกระทำเช่นเดียวกัน
12 "จงทำการงานของเจ้าหกวัน แต่ในวันที่เจ็ดนั้น จงหยุดงาน เพื่อโค ลา ของเจ้าจะได้พัก และลูกชายทาสีของเจ้า กับคนต่างด้าวจะได้พักผ่อนให้สดชื่นด้วย
13 สิ่งทั้งปวงที่เราสั่งเจ้าไว้นั้นจงระวังถือให้ดี และอย่าออกชื่อพระอื่นเลย อย่าให้ได้ยินชื่อของพระเหล่านั้นออกจากปากของเจ้า
14 "จงถือเทศกาลถวายแก่เราปีละสามครั้ง
15 จงถือเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อตามเวลาที่กำหนดไว้ ในเดือนอาบีบ อันเป็นเดือนซึ่งเราบัญชาไว้ เจ้าจงกินขนมปังไร้เชื้อเจ็ดวันตามที่เราสั่งเจ้าไว้แล้ว เพราะในเดือนนั้นเจ้าออกจากอียิปต์ อย่าให้ผู้ใดมาเฝ้าเรามือเปล่าเลย
16 จงถือเทศกาลเลี้ยงฉลองการเก็บเกี่ยว ถวายพืชผลแรกที่เกิดจากแรงงานของเจ้า ซึ่งเจ้าได้หว่านพืชลงในนา เจ้าจงถือเทศกาลเลี้ยงฉลองการเก็บพืชผลปลายปี เมื่อเจ้าเก็บพืชผลจากทุ่งนาอันเป็นผลงานของเจ้า
17 ให้พวกผู้ชายเข้าเฝ้าพระเจ้าปีละสามครั้ง
18 "อย่าถวายเลือดจากเครื่องบูชาของเรา พร้อมกับขนมปัง มีเชื้อ หรือปล่อยให้มีไขมันในการเลี้ยงของเราเหลืออยู่จนถึงรุ่งเช้า
19 "พืชผลอันดีเลิศซึ่งได้เก็บครั้งแรกจากไร่นาของเจ้านั้น จงนำมาถวายในพระนิเวศพระเจ้าของเจ้า "อย่าต้มเนื้อลูกแพะด้วยน้ำนมของแม่มันเลย
20 "ดูเถิด เราใช้ทูตของเราเดินนำหน้าพวกเจ้า เพื่อคอยระวังรักษาพวกเจ้าตามทาง นำไปถึงที่ซึ่งเราได้เตรียมไว้
21 จงเอาใจใส่ฟังคำพูดของทูตนั้น และเชื่อฟังคำของเขา อย่าฝ่าฝืนเขา เพราะเขาจะไม่ยกโทษให้เจ้าเลย ด้วยว่าเขากระทำในนามของเรา
22 "ถ้าเจ้าทั้งหลายฟังเสียงของเขาจริงๆ และทำทุกสิ่งตามที่เราสั่งไว้ เราจะเป็นศัตรูต่อศัตรูของพวกเจ้า และเป็นปฏิปักษ์ต่อปฏิปักษ์ของพวกเจ้า
23 "เมื่อทูตของเราไปข้างหน้าพวกเจ้า และนำพวกเจ้าไปถึงคนอาโมไรต์ คนฮิตไทต์ คนเปริสซี คนคานาอัน คนฮีไวต์ และคนเยบุส แล้วเราทำลายล้างคนเหล่านั้นเสีย
24 อย่ากราบไหว้พระของเขา หรือปรนนิบัติ หรือทำตามแบบอย่างที่พวกเขากระทำ แต่จงทำลายรูปเคารพของเขา และทุบเสาศักดิ์สิทธิ์ของเขาเสียให้แหลกละเอียด
25 จงปรนนิบัติพระเจ้าของเจ้า แล้วพระองค์จะทรงอวยพรแก่อาหารและน้ำของเจ้า เราจะบันดาลให้โรคต่างๆหายไปจากท่ามกลางพวกเจ้า
26 จะไม่มีการแท้งลูก หรือเป็นหมันในดินแดนของเจ้า เราจะให้เจ้ามีอายุยืนนาน
27 เราจะบันดาลให้เกิดความสยดสยองขึ้นก่อนหน้าพวกเจ้า จะไปถึงชาวเมืองทั้งปวงที่พวกเจ้าไปเผชิญหน้านั้น เราจะทำให้เกิดความโกลาหล เราจะให้พวกศัตรูทั้งปวงหันหลังหนีพวกเจ้า
28 เราจะใช้ให้ฝูงต่อล่วงหน้าไปก่อนพวกเจ้า จะขับไล่คนฮีไวต์ คนคานาอัน คนฮิตไทต์ ไปให้พ้นหน้าพวกเจ้า
29 เราจะไม่ไล่เขาไปให้พ้นหน้าพวกเจ้าในระยะปีเดียว เกรงว่าแผ่นดินจะรกร้างไป และสัตว์ป่าจะทวีจำนวนขึ้นต่อสู้กับพวกเจ้า
30 แต่เราจะไล่เขาไปให้พ้นหน้าพวกเจ้าทีละเล็กละน้อย จนพวกเจ้าทวีจำนวนมากขึ้น แล้วได้รับมอบดินแดนนั้นเป็นกรรมสิทธิ์
31 เราจะกำหนดเขตแดนของพวกเจ้าไว้ตั้งแต่ทะเลแดง จนถึงทะเลของชาวฟีลิสเตีย ตั้งแต่ถิ่นทุรกันดาร จนจดแม่น้ำยูเฟรติส เพราะเราจะมอบชาวเมืองนั้นไว้ในมือของพวกเจ้า ให้พวกเจ้าไล่เขาไปเสียให้พ้น
32 พวกเจ้าอย่าทำพันธสัญญากับเขา หรือกับพระของเขาเลย
33 เขาจะอาศัยในดินแดนของเจ้าไม่ได้ เกรงว่าเขาจะชักจูงให้เจ้ากระทำบาปต่อเรา เพราะว่าถ้าพวกเจ้าปรนนิบัติพระของเขา เรื่องนี้ก็จะเป็นบ่วงแร้วดักเจ้าเป็นแน่"

อพยพ 24
1 พระองค์ตรัสกับโมเสสว่า "เจ้ากับอาโรน นาดับ และอาบีฮู กับพวกผู้ใหญ่เจ็ดสิบคนของอิสราเอล จงขึ้นมาเฝ้าพระเจ้า แล้วนมัสการอยู่แต่ไกล
2 ให้เฉพาะโมเสสผู้เดียวเข้ามาใกล้พระเจ้า ส่วนคนอื่นๆ อย่าให้เข้ามาใกล้และอย่าให้ประชาชนขึ้นมากับโมเสสเลย"
3 โมเสสจึงนำพระวจนะของพระเจ้าและ กฎหมายทั้งสิ้นมาชี้แจงให้ประชาชนทราบ ประชาชนทั้งปวงก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า "พระวจนะทั้งหมดซึ่งพระเจ้าตรัสไว้นั้น พวก เราจะกระทำตาม"
4 โมเสสจึงจารึกพระวจนะของพระเจ้าไว้ทุกคำ แล้วตื่นขึ้นแต่เช้าจัดแจงสร้างแท่นบูชาขึ้นที่เชิงภูเขา ปักเสาหินขึ้นสิบสองก้อนตามจำนวนเผ่าทั้งสิบสอง ของอิสราเอล
5 ท่านใช้ให้หนุ่มๆ ชนชาติอิสราเอลถวายเครื่องเผาบูชาและ ถวายโคเป็นเครื่องศานติบูชาแด่พระเจ้า
6 โมเสสเก็บเลือดโคครึ่งหนึ่งไว้ในชาม อีกครึ่งหนึ่งประพรมที่แท่นบูชานั้น
7 ท่านถือหนังสือพันธสัญญาอ่านให้ประชาชนฟัง พวกเขากล่าวว่า "สิ่งที่พระเจ้าตรัสไว้นั้น พวกเราจะกระทำตาม และเราจะเชื่อฟัง"
8 โมเสสก็เอาเลือดพรมประชาชนและกล่าวว่า "นี่เป็นเลือดแห่งพันธสัญญา ซึ่งพระเจ้ากระทำกับเจ้าตามพระวจนะเหล่านี้"
9 ครั้งนั้นโมเสสกับอาโรน นาดับและอาบีฮู และพวกผู้ใหญ่เจ็ดสิบคนของอิสราเอลขึ้นไปอีก
10 เขาทั้งหลายได้เห็นพระเจ้าแห่งอิสราเอล และพื้นที่รองพระบาทเป็นดุจแก้วไพฑูรย์ สุกใสเหมือนท้องฟ้าทีเดียว
11 พระองค์มิได้ลงโทษบรรดาหัวหน้าชนชาติอิสราเอล เขาทั้งหลายได้เห็นพระเจ้าและได้กินและดื่ม
12 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "ขึ้นมาหาเราบนภูเขาแล้วคอยอยู่ที่นั่น เราจะให้แผ่นศิลาอันมีข้อพระธรรม และข้อบัญญัติซึ่งเราจารึกไว้เพื่อเก็บไว้สอนเขา"
13 โมเสสจึงลุกขึ้นพร้อมกับโยชูวาผู้รับใช้ โมเสสขึ้นไปบนภูเขาของพระเจ้า
14 และกล่าวแก่พวกผู้ใหญ่เหล่านั้นว่า "คอยเราอยู่ที่นี่จนกว่าเราจะกลับมาหาพวกท่านอีก อาโรนและเฮอร์อยู่กับพวกท่าน ใครมีเรื่องราวอะไรก็จงมาหาท่านทั้งสองนี้เถิด"
15 แล้วโมเสสขึ้นไปบนภูเขา เมฆก็คลุมภูเขาไว้
16 พระสิริของพระเจ้ามาอยู่บนภูเขาซีนาย เมฆนั้นปกคลุมภูเขาอยู่หกวัน ครั้นวันที่เจ็ด พระองค์ทรงเรียกโมเสสจากหมู่เมฆ
17 พระสิริของพระเจ้า ปรากฏแก่ตาชนชาติอิสราเอลเหมือนเปลวไฟ ไหม้อยู่บนยอดภูเขา
18 โมเสสเข้าไปในหมู่เมฆนั้นและขึ้นไปบนภูเขา โมเสสอยู่บนภูเขานั้นสี่สิบวันสี่สิบคืน

อพยพ 25
1 ฝ่ายพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
2 "จงสั่งชนชาติอิสราเอลให้นำของมาถวายแก่เรา ของนั้นให้รับมาจากทุกๆคนที่เต็มใจถวาย
3 ของถวายซึ่งเจ้าจะต้องรับจากเขาคือ ทองคำ เงิน ทองสัมฤทธิ์
4 ด้ายสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม ผ้าป่านเนื้อดีและขนแพะ
5 หนังแกะตัวผู้ย้อมสีแดง หนังทาคัช และไม้กระถินเทศ
6 น้ำมันเติมประทีป เครื่องเทศปรุงน้ำมันสำหรับเจิม และปรุงเครื่องหอม
7 แก้วโกเมน และแก้วสำหรับฝังในเอโฟดและทับทรวง
8 แล้วให้เขาสร้างสถานนมัสการถวายแก่เรา เพื่อเราจะได้อยู่ท่ามกลางพวกเขา
9 แบบอย่างพลับพลาและเครื่องทั้งปวงของพลับพลานั้น เจ้าจงทำตามที่เราแจ้งไว้แก่เจ้านี้ทุกประการ
10 "ให้เขาทำหีบใบหนึ่งด้วยไม้กระถินเทศ ยาวสองศอกคืบ กว้างศอกคืบ และสูงศอกคืบ
11 หีบนั้นหุ้มด้วยทองคำบริสุทธิ์ทั้งด้านในและด้านนอก แล้วทำกระจังคาดรอบหีบนั้นด้วยทองคำ
12 ให้หล่อห่วงทองคำสี่ห่วงสำหรับหีบนั้น ติดไว้ที่มุมทั้งสี่ ด้านนี้สองห่วง และด้านนั้นสองห่วง
13 ให้ทำคานหามด้วยไม้กระถินเทศหุ้มด้วยทองคำ
14 แล้วสอดคานหามเข้าที่ห่วงข้างหีบสำหรับใช้ยกหามหีบนั้น
15 ไม้คานหามให้สอดไว้ในห่วงของหีบอย่าถอดออกเลย
16 พระโอวาทที่เราจะให้แก่เจ้าจงเก็บไว้ในหีบนั้น
17 แล้วจงทำพระที่นั่งกรุณา ด้วยทองคำบริสุทธิ์ยาวสองศอกคืบ กว้างศอกคืบ
18 จงทำเครูบทองคำสองรูป โดยใช้ฝีค้อนทำตั้งไว้ที่ปลายพระที่นั่งกรุณาทั้งสองข้าง
19 ทำเครูบไว้ที่ปลายพระที่นั่งกรุณาข้างละรูป ทำเครูบนั้น และให้ตอนปลายทั้งสองข้างติดเป็นเนื้อเดียวกับพระที่นั่งกรุณา
20 ให้เครูบกางปีกออกไว้เบื้องบนปกพระที่นั่งกรุณา ไว้ด้วยปีก และให้หันหน้าเข้าหากัน ให้เครูบหันหน้ามาตรงพระที่นั่งกรุณา
21 แล้วจงตั้งพระที่นั่งกรุณานั้นไว้บนหีบ จงบรรจุพระโอวาทซึ่งเราจะให้ไว้แก่เจ้าไว้ในหีบนั้น
22 ณที่นั้น เราจะอยู่ให้เจ้าเข้าเฝ้า และจะสนทนากับเจ้า จากเหนือพระที่นั่งกรุณาระหว่างกลางเครูบ ซึ่งตั้งอยู่บน หีบพระโอวาท เราจะสนทนากับเจ้าทุกเรื่อง ซึ่งเราจะสั่งเจ้าให้ประกาศแก่ชนชาติอิสราเอล
23 "แล้วจงเอาไม้กระถินเทศมาทำโต๊ะตัวหนึ่ง ยาวสองศอก กว้างหนึ่งศอก และสูงสองคืบ
24 เจ้าจงหุ้มโต๊ะนั้นด้วยทองคำบริสุทธิ์ และทำกระจังทองคำรอบโต๊ะนั้นด้วย
25 ประกับโต๊ะนั้นทำให้กว้างหนึ่งฝ่ามือโดยรอบ แล้วทำกระจังทองคำประกอบให้รอบประกับนั้น
26 จงทำห่วงทองคำสี่อันติดไว้ที่มุมขาโต๊ะทั้งสี่
27 ห่วงนั้นให้ติดชิดกับกระจัง เพื่อเอาไว้สอดคานหาม
28 เจ้าจงทำคานหามด้วยไม้กระถินเทศ หุ้มด้วยทองคำ ให้หามโต๊ะด้วยไม้นี้
29 เจ้าจงทำจานและชามกับช้อน คนโท และอ่างน้ำที่ใช้สำหรับรินเครื่องดื่มบูชา สิ่งเหล่านี้เจ้าจงทำด้วยทองคำบริสุทธิ์
30 และเจ้าจงวางขนมปังหน้าพระพักตร์ ไว้บนโต๊ะนั้นต่อหน้าเราเป็นนิตย์
31 "เจ้าจงทำคันประทีปอันหนึ่งด้วยทองคำบริสุทธิ์ ฐานและลำตัวของคันประทีปนั้นจงใช้ค้อนทำดอกคือฐานดอก และกลีบให้ติดเป็นเนื้อเดียวกันกับคันประทีป
32 ให้มีกิ่งหกกิ่ง แยกออกจากลำคันประทีปนั้นข้างละสามกิ่ง
33 กิ่งหนึ่งมีดอกเหมือนดอกอัลมันด์สามดอก ทุกๆดอกให้มีฐานดอกและกลีบ อีกกิ่งหนึ่งให้มีดอกสามดอกเหมือนดอกอัลมันด์ ทุกๆดอกให้มีฐานดอกและกลีบให้เป็นดังนี้ทั้งหกกิ่งซึ่งยื่น ออกจากลำคันประทีป
34 สำหรับลำคันประทีปนั้นให้มีดอกสี่ดอกเหมือนดอกอัลมันด์ ทั้งฐานดอกและกลีบ
35 ใต้กิ่งทุกๆคู่ทั้งหกกิ่งที่ลำคันประทีปนั้น ให้มีกระเปาะเป็นเนื้อเดียวกันกับคันประทีป
36 กระเปาะและกิ่งทำให้เป็นเนื้อเดียวกันกับคันประทีป ให้ทุกส่วนเป็นเนื้อเดียวกัน ด้วยทองคำบริสุทธิ์ที่ใช้ค้อนทำ
37 จงทำตะเกียงเจ็ดดวงสำหรับคันประทีปนั้น แล้วจุดตะเกียงให้ส่องแสงตรงไปหน้าคันประทีป
38 ตะไกรตัดไส้ตะเกียง และถาดใส่ตะไกรให้ทำด้วยทองคำบริสุทธิ์
39 คันประทีปกับเครื่องใช้ทุกอย่างให้ทำด้วยทองคำ บริสุทธิ์หนึ่งตะลันต์
40 จงระวังทำสิ่งเหล่านี้ตามแบบอย่างที่เราแจ้งแก่ เจ้าบนภูเขา"

อพยพ 26
1 "นอกจากนั้น เจ้าจงทำพลับพลาด้วยม่านสิบผืน ทำด้วยผ้าป่านเนื้อดี และผ้าทอด้วยด้ายย้อมสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม กับให้มีภาพเครูบฝีมือช่างออกแบบไว้
2 ม่านผืนหนึ่งให้ยาวยี่สิบแปดศอก กว้างสี่ศอก ม่านทุกผืนให้เท่ากัน
3 ม่านห้าผืนให้เกี่ยวติดกัน และอีกห้าผืนนั้นก็ให้เกี่ยวติดกันด้วย
4 จงทำหูม่านด้วยด้ายสีฟ้าติดไว้ตามขอบม่าน ด้านนอกสุดชุดที่หนึ่ง และตามขอบม่านด้านนอกสุดชุดที่สอง จงติดหูไว้เหมือนกัน
5 ม่านผืนหนึ่งให้ทำหูห้าสิบหู และตามขอบม่านชุดที่สอง ให้ทำหูห้าสิบหูให้ตรงกัน
6 จงทำขอทองคำห้าสิบขอสำหรับใช้เกี่ยวม่าน เพื่อให้เป็นพลับพลาเดียวกัน
7 "จงทำม่านด้วยขนแพะ สำหรับเป็นเต็นท์คลุมพลับพลาชั้นนอกอีกสิบเอ็ดผืน
8 ม่านผืนหนึ่งให้ทำยาวสามสิบศอก กว้างสี่ศอก ทั้งสิบเอ็ดผืนให้เท่ากัน
9 ม่านห้าผืนให้เกี่ยวติดกันต่างหาก และม่านอีกหกผืนให้เกี่ยวติดกันต่างหากเช่นกัน และม่านผืนที่หกนั้น จงให้ห้อยซ้อนลงมาข้างหน้าเต็นท์
10 จงทำหูห้าสิบหูติดกับขอบม่านด้านนอกสุดชุดหนึ่ง และหูห้าสิบหูติดกับขอบม่านด้านนอกสุดชุดที่สอง
11 "แล้วทำขอทองสัมฤทธิ์ห้าสิบขอ เกี่ยวขอเข้าที่หู เกี่ยวให้ติดเป็นเต็นท์หลังเดียวกัน
12 ม่านเต็นท์ส่วนที่เกินอยู่ คือชายม่านครึ่งหนึ่งที่เหลืออยู่นั้น จงให้ห้อยลงมาด้านหลังพลับพลา
13 ส่วนม่านคลุมพลับพลา ซึ่งยาวเกินไปข้างละหนึ่งศอกนั้น ให้ห้อยลงมาข้างๆพลับพลา ทั้งข้างนี้และข้างโน้น สำหรับใช้กำบัง
14 เครื่องดาดเต็นท์ข้างบน เจ้าจงทำด้วยหนังแกะตัวผู้ ย้อมสีแดงชั้นหนึ่ง และคลุมด้วยหนังทาคัชอีกชั้นหนึ่ง
15 "ไม้กรอบสำหรับทำฝาพลับพลานั้น ให้ใช้ไม้ กระถินเทศตั้งตรงขึ้น
16 ไม้กรอบนั้นให้ยาวแผ่นละสิบศอกกว้างศอกเศษ
17 ให้มีเดือยกรอบละสองเดือย เดือยกรอบหนึ่งมีไม้ประกับติดกับเดือยอีกกรอบหนึ่ง ไม้กรอบพลับพลาทั้งหมดให้ทำอย่างนี้
18 เจ้าจงทำไม้กรอบพลับพลาดังนี้ ด้านใต้ให้ทำยี่สิบแผ่น
19 จงทำฐานรองรับด้วยเงินสี่สิบฐาน สำหรับไม้กรอบยี่สิบแผ่น ใต้ไม้กรอบแผ่นหนึ่งให้มีฐานรองรับแผ่นละสองฐาน สำหรับสวมเดือยสองอัน
20 ด้านที่สองของพลับพลาข้าง ทิศเหนือนั้น ให้ใช้ไม้กรอบยี่สิบแผ่น
21 และทำฐานเงินรองรับสี่สิบฐาน ใต้กรอบให้ทำฐานแผ่นละสองฐาน
22 ส่วนด้านหลังทิศตะวันตกของพลับพลา ให้ทำไม้กรอบหกแผ่น
23 และทำอีกสองแผ่นสำหรับมุมพลับพลาด้านหลัง
24 ไม้กรอบนั้นข้างล่างให้แยกกัน แต่ตอนบนยอดให้ติดกันที่ห่วงแรกทั้งสองแห่งให้กระทำดังนี้ ก็จะทำให้เกิดมุมสองมุม
25 คือรวมเป็นไม้กรอบแปดแผ่นด้วยกัน และฐานเงินสิบหกอัน ใต้กรอบไม้ให้มีฐานรองรับแผ่นละสองฐาน
26 "เจ้าจงทำกลอนด้วยไม้กระถินเทศห้าอัน สำหรับไม้กรอบฝาพลับพลาด้านหนึ่ง
27 และกลอนอีกห้าอันสำหรับขัดไม้กรอบฝาพลับพลา อีกด้านหนึ่ง และกลอนอีกห้าอันสำหรับขัดไม้กรอบฝาพลับพลาด้านหลัง คือด้านตะวันตก
28 กลอนตัวกลางคืออยู่ตอนกลางของ ไม้กรอบสำหรับขัดฝาร้อยให้ติดกัน
29 จงหุ้มไม้กรอบเหล่านั้นด้วยทองคำ และทำห่วงไม้กรอบด้วยทองคำ สำหรับร้อยกลอน และกลอนนั้นให้หุ้มด้วยทองคำ
30 พลับพลานั้น เจ้าจงจัดตั้งไว้ตามแบบอย่างที่เรา ได้แจ้งแก่เจ้าแล้วที่บนภูเขา
31 "จงทำม่านผืนหนึ่ง ทอด้วยด้ายสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และด้วยผ้าป่านเนื้อดี ให้มีภาพเครูบฝีมือช่างออกแบบไว้
32 ม่านนั้นให้แขวนไว้ด้วยขอทองคำ ที่เสาไม้กระถินเทศสี่เสาที่หุ้มด้วยทองคำ และซึ่งตั้งอยู่บนฐานเงินสี่อัน
33 ม่านนั้นให้เขาแขวนไว้กับขอสำหรับเกี่ยวม่าน แล้วเอาหีบพระโอวาทเข้ามาไว้ข้างในภายในม่าน และม่านนั้นจะเป็นที่แบ่งพลับพลา ระหว่างวิสุทธิสถานกับอภิสุทธิสถาน
34 พระที่นั่งกรุณานั้นให้ตั้ง ไว้บนหีบพระโอวาทในอภิสุทธิสถาน
35 จงตั้งโต๊ะไว้ข้างนอกม่าน และจงตั้งคันประทีปไว้ด้านใต้ในพลับพลาตรงข้ามกับโต๊ะ เจ้าจงตั้งโต๊ะไว้ทางด้านเหนือ
36 "เจ้าจงทำบังตาที่ประตูเต็นท์นั้นด้วยด้ายสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และด้วยผ้าป่านเนื้อดี ประกอบด้วยฝีมือช่างด้ายสี
37 จงทำเสาห้าต้นด้วยไม้กระถินเทศสำหรับติดบังตาที่ประตู แล้วหุ้มเสานั้นด้วยทองคำ ขอแขวนเสาจงทำด้วยทองคำ แล้วหล่อฐานทองสัมฤทธิ์ห้าฐานสำหรับรองรับเสานั้น

อพยพ 27
1 "เจ้าจงทำแท่นบูชาด้วยไม้กระถินเทศให้ยาวห้าศอก กว้างห้าศอก ให้เป็นแท่งสี่เหลี่ยมจัตุรัส สูงสามศอก
2 จงทำเชิงงอนติดไว้ทั้งสี่มุมของแท่น ให้เป็นชิ้นเดียวกันกับแท่น และจงหุ้มแท่นด้วยทองสัมฤทธิ์
3 เจ้าจงทำหม้อสำหรับใส่ขี้เถ้า ทัพพี ชาม ขอเกี่ยวเนื้อและถาดรองไฟ คือเครื่องใช้สำหรับแท่นทั้งหมด เจ้าจงทำด้วยทองสัมฤทธิ์
4 แล้วเอาทองสัมฤทธิ์ทำตาข่ายประดับแท่นนั้น กับทำ ห่วงทองสัมฤทธิ์ติดที่มุมทั้งสี่ของตาข่าย
5 ตาข่ายนั้นให้อยู่ใต้กระจังของแท่น และให้ห้อยอยู่ตั้งแต่กลางแท่นลงมา
6 ไม้คานหามแท่น ให้ทำด้วยไม้กระถินเทศ และหุ้มด้วยทองสัมฤทธิ์
7 ไม้คานนั้นให้สอดไว้ในห่วง ในเวลาหามไม้คานจะอยู่ข้างแท่นข้างละอัน
8 แท่นนั้นทำด้วยไม้กระดาน แต่ข้างในแท่นกลวงตามแบบที่แจ้งแก่เจ้าแล้วที่ภูเขา จงให้เขาทำอย่างนั้น
9 "เจ้าจงสร้างลานพลับพลา ให้รั้วด้านใต้มีผ้าบังทำด้วยผ้าป่านเนื้อดียาวหนึ่งร้อยศอก
10 ให้มีเสายี่สิบต้น กับฐานทองสัมฤทธิ์รองรับเสายี่สิบฐาน ขอติดเสาและราวยึดเสานั้น ให้ทำด้วยเงิน
11 ทำนองเดียวกัน ด้านทิศเหนือให้มีผ้าบังยาวร้อยศอก เหมือนกันกับเสายี่สิบต้น และฐานทองสัมฤทธิ์ยี่สิบฐาน ขอและราวยึดเสานั้นให้ทำด้วยเงิน
12 ตามส่วนกว้างของลานด้านตะวันตก ให้มีผ้าบังยาวห้าสิบศอก กับเสาสิบต้น และฐานรองรับเสาสิบฐาน
13 ส่วนกว้างของลานด้านตะวันออก ให้ยาวห้าสิบศอก
14 ผ้าบังด้านริมประตูข้างหนึ่งให้ยาวสิบห้าศอก มีเสาสามต้น และฐานรองรับเสาสามฐาน
15 อีกข้างหนึ่งให้มีผ้าบังยาวสิบห้าศอก มีเสาสามต้น และฐานรองรับเสาสามฐาน
16 ให้มีผ้าบังตาที่ประตูยาวยี่สิบศอก ผ้าสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และผ้าป่านเนื้อดี ประกอบด้วยฝีมือของช่างด้ายสี กับเสาสี่ต้นและฐานรองรับเสาสี่ฐาน
17 เสาล้อมรอบทั้งหมด ให้มีราวสำหรับยึดเสาให้ติดต่อกันทำด้วยเงิน และให้ทำขอด้วยเงิน ฐานรองรับเสานั้นทำด้วยทองสัมฤทธิ์
18 ด้านยาวของลานนั้นจะเป็นร้อยศอก ด้านกว้างห้าสิบศอก สูงห้าศอก กั้นด้วยผ้าป่านเนื้อดี และมีฐานทองสัมฤทธิ์
19 เครื่องใช้สอยทั้งปวงของพลับพลาพร้อมทั้งหลักหมุดของพลับพลา กับหลักหมุดสำหรับรั้วที่กั้นลานทั้งหมด ให้ทำด้วยทองสัมฤทธิ์
20 "เจ้าจงสั่งชนชาติอิสราเอลให้นำ น้ำมันมะกอกเทศบริสุทธิ์ที่คั้นไว้นั้นมาสำหรับเติมประทีป เพื่อจะให้ประทีปนั้นส่องสว่างอยู่เสมอ
21 ในเต็นท์นัดพบข้างนอกม่านซึ่งอยู่หน้าหีบพระโอวาท ให้อาโรนและบุตรของอาโรนดูแลประทีปนั้นอยู่เฉพาะ พระพักตร์พระเจ้า ตั้งแต่เวลาพลบค่ำจนถึงรุ่งเช้า ให้เป็นกฎเกณฑ์เนืองนิตย์ที่ชนชาติอิสราเอลต้องปฏิบัติ ตามชั่วชาติพันธุ์ของเขา

อพยพ 28
1 "จงนำอาโรนพี่ชายของเจ้ากับบุตรของเขา แยกออกมาจากหมู่ชนชาติอิสราเอลให้มาอยู่ใกล้เจ้า เพื่อจะได้เป็นปุโรหิตปรนนิบัติเรา คือทั้งอาโรนกับบุตรของอาโรน คือนาดับ อาบีฮู เอเลอาซาร์ อิธามาร์
2 แล้วให้ทำเครื่องยศบริสุทธิ์สำหรับ อาโรนพี่ชายของเจ้าให้สมเกียรติและงดงาม
3 ให้กล่าวแก่คนทั้งปวงผู้มีสมรรถภาพ ซึ่งเราได้บันดาลให้เขามีจิตใจอันสามารถนั้น ให้เขาทำเครื่องยศสำหรับสถาปนาอาโรนให้ ปรนนิบัติเราในตำแหน่งปุโรหิต
4 ให้เขาทำเครื่องยศดังต่อไปนี้คือ ทับทรวง เสื้อเอโฟด เสื้อคลุม เสื้อตาสมุก ผ้ามาลา และรัดประคด และให้เขาทำเครื่องยศบริสุทธิ์สำหรับอาโรนพี่ชายของเจ้า และบุตรของเขา เพื่อจะได้เป็นปุโรหิตปรนนิบัติเรา
5 "ให้เขาเหล่านั้นรับเอาทองคำ ด้ายสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และผ้าป่านเนื้อดี
6 ให้เขาทำเอโฟดด้วยทองคำ ด้วยด้ายสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และผ้าป่านเนื้อดี ตัดด้วยฝีมือช่างออกแบบ
7 แถบที่ผูกบ่าของเอโฟดนั้น ให้ติดกับริมตอนบนทั้งสองชิ้น เพื่อจะติดเป็นอันเดียวกัน
8 รัดประคดทออย่างประณีต สำหรับคาดทับเอโฟด ให้ทำด้วยฝีมืออย่างเดียวกัน และใช้วัตถุอย่างเดียวกับเอโฟด คือทำด้วยทองคำ ด้ายสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และผ้าป่านเนื้อดี
9 แล้วให้ใช้แก้วโกเมนสองแผ่น สำหรับจารึกชื่อบุตรชายของอิสราเอลไว้
10 ที่แก้วแผ่นหนึ่งให้จารึกชื่อหกชื่อ และแผ่นที่สองก็ให้จารึกชื่อไว้อีกหก ชื่อที่เหลืออยู่ตามกำเนิด
11 ให้ช่างแกะจารึกชื่อเหล่าบุตรอิสราเอลไว้ ที่แก้วทั้งสองแผ่นนั้น เช่นอย่างแกะตราแล้วฝังไว้บนกระเปาะทองคำซึ่งมี ลวดลายละเอียด
12 แก้วทั้งสองแผ่นนั้นให้ติดไว้กับเอโฟดบนบ่าทั้งสองข้าง แก้วนั้นจะเป็นที่ระลึกถึงบรรดาบุตรแห่งอิสราเอล และอาโรนจะแบกชื่อเขาทั้งหลายไว้บนบ่าทั้งสอง เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเป็นที่ระลึก
13 เจ้าจงทำกระเปาะทองคำมีลวดลายละเอียด
14 กับทำสร้อยสองสายด้วยทองคำบริสุทธิ์ เป็นสร้อยถักเกลียว แล้วติดไว้ที่กระเปาะนั้น
15 "จงทำทับทรวงสำหรับแต่งเวลาพิพากษา ด้วยฝีมือช่างออกแบบฝีมือเหมือนทำเอโฟด คือทำด้วยทองคำ ด้ายสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้มและผ้าป่านเนื้อดี
16 ให้ทำทับทรวงเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส พับทบกลางยาวคืบหนึ่ง กว้างคืบหนึ่ง
17 จงฝังแก้วสี่แถวบนทับทรวงนั้น แถวที่หนึ่งฝังทับทิม บุษราคัมน้ำอ่อน และมรกต
18 แถวที่สองฝังพลอยขี้นกการเวก ไพฑูรย์ และเพชร
19 แถวที่สาม ฝังนิลโมรา และเพทายม่วง
20 แถวที่สี่ฝังเพทาย โกเมนและมณีโชติ แก้วทั้งหมดนี้ให้ฝังในลวดลายอันละเอียดที่ทำด้วยทองคำ
21 แก้วเหล่านั้นให้มีชื่อเหล่าบุตรอิสราเอลสิบสองชื่อ จารึกไว้เหมือนแกะตรา จะมีชื่อเผ่าทุกเผ่าตามลำดับสิบสองเผ่า
22 และเจ้าจงทำสร้อยถักเกลียวด้วย ทองคำบริสุทธิ์สำหรับทับทรวง
23 และเจ้าจงทำห่วงทองคำสองห่วง ติดไว้ที่มุมบนทั้งสองของทับทรวง
24 ส่วนสร้อยที่ทำด้วยทองคำนั้น ให้เกี่ยวด้วยห่วงที่มุมทับทรวง
25 และปลายสร้อยอีกสองข้าง ให้ติดกับกระเปาะที่มีลวดลายละเอียดทั้งสอง ให้ติดไว้ข้างหน้าที่แถบยึดเอโฟดทั้งสองข้างบนบ่า
26 จงทำห่วงทองคำสองอัน ติดไว้ที่มุมล่างทั้งสองข้างของทับทรวงข้างในที่ติดเอโฟด
27 จงทำห่วงสองอันด้วยทองคำใส่ไว้ริมเอโฟดเบื้องหน้า ใต้แถบที่ตะเข็บเหนือรัดประคดซึ่งทอด้วยฝีมือประณีต
28 ให้ผูกทับทรวงนั้นติดกับเอโฟดด้วย ใช้ด้ายถักสีฟ้าร้อยผูกที่ห่วง ให้ทับทรวงทับรัดประคด ที่ทำด้วยฝีมือประณีตของเอโฟดเพื่อมิให้ ทับทรวงหลุดไปจากเอโฟด
29 อาโรนจึงจะมีชื่อเหล่าบุตรอิสราเอล จารึกไว้ที่ทับทรวง สำหรับแต่งเวลาพิพากษาติดไว้ที่อกของตน ให้เป็นที่ระลึกต่อพระพักตร์พระเจ้าเสมอ เมื่อเขาเข้าไปในวิสุทธิสถานนั้น
30 จงใส่อูริมและทูมมิม ไว้ในทับทรวง และของสองสิ่งนี้จะอยู่ที่หัวใจของอาโรน เมื่อเข้าเฝ้าพระเจ้า อาโรนจะรับภาระการพิพากษาเหล่าบุตรอิสราเอลไว้ที่ หัวใจของตนเสมอเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า
31 "เจ้าจงทำเสื้อคลุมให้เข้าชุดกับเอโฟดด้วย ผ้าสีฟ้าล้วน
32 ให้ทำช่องคอกลางผืนเสื้อ แล้วขลิบรอบคอด้วยผ้าทอ เช่นเดียวกับคอเสื้อทหาร เพื่อจะมิให้ขาด
33 ที่ชายล่างของเสื้อคลุมให้ปักรูปทับทิม ใช้ด้ายสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้มรอบชายเสื้อ และติดลูกพรวนทองคำ สลับกับผลทับทิม
34 ลูกพรวนทองคำลูกหนึ่ง ผลทับทิมผลหนึ่ง ลูกพรวนทองคำอีกลูกหนึ่ง ผลทับทิมอีกผลหนึ่ง รอบชายล่างของเสื้อคลุม
35 อาโรนจะสวมเสื้อตัวนั้นเมื่อทำงานปรนนิบัติ และจะได้ยินเสียงลูกพรวนเมื่อเข้าเฝ้าพระเจ้าในวิสุทธิสถาน และเมื่อเดินออกมา ด้วยเกรงว่าเขาจะต้องตาย
36 "เจ้าจงทำแผ่นทองคำบริสุทธิ์ จารึกคำว่า 'บริสุทธิ์แด่พระเจ้า' ไว้เหมือนอย่างแกะตรา
37 และเจ้าจงเอาด้ายถักสีฟ้า ผูกแผ่นทองคำนั้นไว้บนมาลาให้อยู่ที่ข้างมาลาด้านหน้า
38 แผ่นทองคำนั้นจะอยู่ที่หน้าผากของอาโรน และอาโรนจะรับความผิดอันเกิดแก่ชนชาติอิสราเอล เนื่องจากของถวายอันบริสุทธิ์ ซึ่งนำมาชำระให้เป็นของถวายอันบริสุทธิ์ และแผ่นทองคำนั้นให้อยู่ที่หน้าผากของอาโรนเสมอ เพื่อพระเจ้าจะได้ทรงรับสิ่งของเหล่านั้นจากเขา
39 "จงทอเสื้อให้เป็นตาสมุกด้วยป่านเนื้อดี ส่วนผ้ามาลานั้น จงทำด้วยผ้าป่านเนื้อดี และทำรัดประคดด้วยฝีมือช่างด้ายสี
40 "จงทำเสื้อรัดประคดและหมวกสำหรับบุตรอาโรนให้ สมเกียรติและงดงาม
41 จงแต่งอาโรนพี่ชายของเจ้าและบุตรเขาด้วยเครื่องยศ แล้วเจิมและสถาปนา และชำระเขาให้บริสุทธิ์ เพื่อให้เขาเป็นปุโรหิตปรนนิบัติเรา
42 จงเย็บกางเกงให้เขาเหล่านั้นด้วยผ้าป่าน เพื่อจะปกปิดกายที่เปลือยของเขาให้ยาว ตั้งแต่เอวจนถึงต้นขา
43 ให้อาโรนกับบุตรเขาสวมเมื่อเข้าไปในเต็นท์นัดพบ และเมื่อเข้าใกล้แท่นจะปรนนิบัติณวิสุทธิสถาน เกลือกว่าเขาจะก่อกรรมชั่ว และถึงตาย เรื่องนี้ให้เป็นกฎเกณฑ์เนืองนิตย์ที่เขา และเชื้อสายของเขาจะต้องปฏิบัติตาม

อพยพ 29
1 "ต่อไปนี้เป็นการซึ่งเจ้าควรกระทำ เพื่อชำระตัวเขาทั้งหลายให้บริสุทธิ์ เพื่อเขาจะเป็นปุโรหิตปรนนิบัติเรา คือจงเอาโคหนุ่มตัวหนึ่งและแกะ ตัวผู้สองตัวซึ่งปราศจากตำหนิ
2 ขนมปังไร้เชื้อ ขนมไร้เชื้อคลุกน้ำมัน และขนมแผ่นบางไร้เชื้อทาน้ำมัน ขนมเหล่านี้จงทำด้วยยอดแป้งข้าวสาลี
3 แล้วจงใส่ขนมปังต่างๆ เหล่านั้นไว้ในกระบุงเดียวกัน จงนำมาพร้อมกับโคตัวผู้ และลูกแกะตัวผู้สองตัว
4 จงนำอาโรนและบุตรชายทั้งหลายของเขา มา ที่ประตูเต็นท์นัดพบ แล้วจงชำระตัวเขาทั้งหลายด้วยน้ำ
5 จงสวมเครื่องยศให้อาโรน คือเสื้อในกับเสื้อเอโฟดกับเอโฟดและทับทรวง และเอารัดประคดที่ทอด้วยฝีมือประณีต สำหรับใช้กับเอโฟดนั้นคาดเอวไว้
6 จงสวมมาลาที่ศีรษะของอาโรน และจงสวมมงกุฎบริสุทธิ์ทับมาลา
7 จงเอาน้ำมันเจิมเทลงบนศีรษะของเขา และเจิมตั้งเขาไว้
8 จงนำบุตรชายทั้งหลายของเขามาและสวมเสื้อให้
9 แล้วจงเอารัดประคดคาดเอวเขาไว้ทั้งตัว อาโรนเองและบุตรของเขา และคาดหมวกให้เขา แล้วเขาก็จะเป็นปุโรหิตตามกฎเกณฑ์เนืองนิตย์ ดังนี้แหละ เจ้าจงสถาปนาอาโรนและบุตรชายทั้งหลายของเขาไว้
10 "เจ้าจงนำโคตัวผู้มาที่หน้าเต็นท์นัดพบ ให้อาโรนกับบุตรเขาเอามือวางลงบนหัวโคตัวผู้
11 แล้วจงฆ่าโคตัวผู้นั้นต่อพระพักตร์พระเจ้าที่ประตูเต็นท์นัดพบ
12 จงเอานิ้วมือจุ่มเลือดโคตัวผู้นั้น ทาไว้ที่ เชิงงอนริมแท่นบ้าง ส่วนเลือดที่เหลือทั้งหมดจงเทไว้ที่เชิงแท่นบูชา
13 เจ้าจงเอาไขมันที่หุ้มเครื่องในพังผืดที่ติด อยู่กับตับและไตทั้งสองกับไขมันที่ติดไตนั้นมาเผาบนแท่น
14 แต่เนื้อกับหนัง และมูลของโคตัวผู้นั้น จงเผาไฟเสียข้างนอกค่าย ทั้งนี้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
15 "เจ้าจงนำแกะผู้ตัวหนึ่งมาให้อาโรนกับบุตรเขา เอามือของตนวางบนหัวแกะตัวผู้นั้น
16 แล้วจงฆ่าแกะตัวนั้นเสีย เอาเลือดพรมรอบๆแท่น
17 จงชำแหละแกะตัวนั้นออกเป็นท่อนๆ และเครื่องในกับขา จงล้างน้ำวางไว้กับเนื้อและหัว
18 แล้วจงเผาแกะตัวนั้นทั้งตัวบนแท่นบูชา เป็นเครื่องเผาบูชาถวายแด่พระเจ้า เป็นกลิ่นพอพระทัย เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่พระเจ้า
19 "เจ้าจงนำแกะตัวผู้อีกตัวหนึ่งมา แล้วให้อาโรนกับบุตรเขาเอามือของตน วางบนหัวแกะผู้ตัวนั้น
20 แล้วท่านจงฆ่าแกะตัวนั้นเสีย เอาเลือดส่วนหนึ่งเจิมที่ปลายใบหูข้างขวาของอาโรน และที่ปลายใบหูข้างขวาของบุตรชายของเขาทุกคน และที่หัวแม่มือข้างขวา และที่หัวแม่เท้าข้างขวาของเขาบ้าง แล้วจงเอาเลือดที่เหลือพรมรอบๆแท่นบูชา
21 จงเอาเลือดส่วนหนึ่งที่อยู่บนแท่นและน้ำมันเจิมนั้น พรมอาโรนและเครื่องยศของเขา จงพรมบุตรชายทั้งหลายของเขา และเครื่องยศของบุตรชายเหล่านั้นด้วย อาโรนและเครื่องยศของเขาจะบริสุทธิ์ รวมทั้งบุตรของเขาและเครื่องยศของเขาด้วย
22 "เจ้าจงเอาไขมันแกะตัวผู้และหางมันๆ กับไขมันที่ติดเครื่องใน และพังผืดที่ติดอยู่กับตับกับไตทั้งสอง และไขมันที่ติดอยู่กับไตกับโคนขาข้างขวาด้วย (เพราะเป็นแกะใช้สำหรับการสถาปนา)
23 กับขนมปังก้อนหนึ่งและขนมปังคลุกน้ำมันแผ่นหนึ่ง และขนมปังบางแผ่นหนึ่งจากกระบุงขนมปังไร้เชื้อ ซึ่งอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้า
24 แล้วจงวางสิ่งเหล่านั้นไว้ในมือของอาโรน และในมือบุตรของเขา นำไปทำพิธียื่นถวายให้เป็นเครื่องยื่นบูชาถวายแด่พระเจ้า
25 แล้วจงรับสิ่งเหล่านี้จากมือของเขา นำไปเผาบนแท่นบูชารวมเข้ากับ เครื่องเผาบูชาเป็นกลิ่นที่พอพระทัยแด่พระเจ้า เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่พระเจ้า
26 "จงเอาเนื้อที่อกแกะตัวผู้ซึ่งเป็นแกะสถาปนาอาโรน แล้วทำพิธียื่นถวายเป็นเครื่องยื่นบูชาถวายแด่พระเจ้า และนั่นจะเป็นส่วนของเจ้า
27 และจงเอาเนื้อที่อกแกะตัวผู้ซึ่งเป็นเครื่องยื่นถวายนั้นไว้ และเนื้อโคนขา อันเป็นส่วนยกให้แก่ปุโรหิตซึ่งเป็นเครื่องยื่นถวาย และซึ่งเป็นของถวายจากแกะใช้สำหรับการสถาปนา ด้วยเป็นส่วนของอาโรนและบุตรเขา
28 นั่นแหละ เป็นส่วนซึ่งอาโรนและบุตรเขาจะได้รับจากชนชาติ อิสราเอลเป็นเนืองนิตย์ เพราะเป็นส่วนที่ยกให้แก่ปุโรหิตและชนชาติอิสราเอล จะยกให้จากเครื่องศานติบูชาเป็นเครื่องบูชาของเขาถวาย แด่พระเจ้า
29 "เครื่องยศของอาโรนจะเป็นของบุตรชายของเขาต่อๆไป ให้เขาสวมเมื่อเขารับการเจิม และได้รับการสถาปนาไว้ในตำแหน่ง
30 จงให้บุตรซึ่งจะเป็นปุโรหิตแทนเขานั้น สวมเครื่องยศเหล่านั้นครบเจ็ดวัน ขณะที่เขามายังเต็นท์นัดพบเพื่อปรนนิบัติในวิสุทธิสถาน
31 "จงต้มเนื้อแกะตัวผู้สำหรับการสถาปนาในสถานศักดิ์สิทธิ์
32 แล้วให้อาโรนกับบุตรของเขากินเนื้อแกะตัวผู้นั้น และขนมปังซึ่งอยู่ในกระบุงที่ประตูเต็นท์นัดพบ
33 ให้เขากินของซึ่งนำมาบูชาลบมลทิน เพื่อจะสถาปนาและชำระเขาเหล่านั้นให้บริสุทธิ์ แต่ฆราวาสอย่าให้รับประทาน เพราะเป็นของบริสุทธิ์
34 และถ้าแม้เนื้อที่ใช้ในพิธีสถาปนา และขนมปังนั้นยังเหลืออยู่จนรุ่งเช้าบ้าง ก็ให้เผาส่วนที่เหลือนั้นด้วยไฟเสีย อย่าให้รับประทานเพราะเป็นของบริสุทธิ์
35 "ดังนั้นแหละ เจ้าจงกระทำให้แก่อาโรน และบุตรเขาตามคำที่เราได้บัญชาเจ้าไว้ จงทำพิธีสถาปนาเขาให้ครบเจ็ดวัน
36 จงนำโคผู้ตัวหนึ่งมาถวายทุกๆวัน เป็นเครื่องบูชาไถ่คนจากบาป เพื่อทำการลบมลทินและจงชำระแท่นบูชา ด้วยทำการลบมลทินของแท่นนั้น จงเจิมแท่นนั้นเพื่อจะชำระให้บริสุทธิ์
37 จงทำการลบมลทินแท่นนั้นครบเจ็ดวัน และชำระแท่นนั้นให้บริสุทธิ์ แล้วแท่นนั้นจะบริสุทธิ์ที่สุด สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ถูกต้องแท่นนั้นก็จะบริสุทธิ์ด้วย
38 "ต่อไปนี้เป็นสิ่งซึ่งเจ้าต้องถวายบนแท่นนั้นทุกวันเสมอไป คือลูกแกะสองตัว อายุหนึ่งขวบ
39 จงนำลูกแกะตัวหนึ่งมาบูชาเวลาเช้า และนำอีกตัวหนึ่งมาบูชาเวลาเย็น
40 พร้อมกับลูกแกะตัวที่หนึ่งนั้น จงถวายยอดแป้งหนึ่งในสิบเอฟาห์ เคล้าน้ำมันที่คั้นไว้นั้นหนึ่งในสี่ฮิน และเหล้าองุ่นหนึ่งในสี่ฮินคู่กัน เป็นเครื่องดื่มบูชา
41 จงถวายแกะอีกตัวหนึ่งนั้นในเวลาเย็น ถวายธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาคู่กันด้วย เหมือนอย่างในเวลาเช้า ให้เป็นกลิ่นพอพระทัย เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟแด่พระเจ้า
42 นี่จะเป็นเครื่องเผาบูชาเนืองนิตย์ ตลอดชั่วชาติพันธุ์ของเจ้าที่ประตูเต็นท์นัดพบ เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ที่ที่เราจะพบเจ้าทั้งหลายและสนทนากับเจ้าที่นั่น
43 ที่นั่นเราจะพบกับชนชาติอิสราเอล และพลับพลานั้นจะรับการชำระให้บริสุทธิ์ด้วยพระสิริของเรา
44 เราจะชำระเต็นท์นัดพบและแท่นบูชาไว้เป็นที่บริสุทธิ์ และเราจะชำระอาโรน และบุตรเขาให้บริสุทธิ์ด้วย เพื่อให้เป็นปุโรหิตปรนนิบัติเรา
45 เราจะสถิตอยู่ท่ามกลางชนชาติอิสราเอล และจะเป็นพระเจ้าของเขา
46 เขาจะรู้ว่า เราคือพระเจ้าของเขา ผู้ได้นำเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ เพื่อเราจะสถิตอยู่ท่ามกลางเขาทั้งหลาย เราคือพระเจ้าของเขา"

อพยพ 30
1 "เจ้าจงสร้างแท่นสำหรับเผาเครื่องหอม จงทำแท่นนั้นด้วยไม้กระถินเทศ
2 ให้ยาวศอกหนึ่ง กว้างศอกหนึ่ง เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส และสูงสองศอก เชิงงอนมุมแท่นนั้นให้เป็นไม้ท่อนเดียวกับแท่น
3 และจงหุ้มแท่นด้วยทองคำบริสุทธิ์ ทั้งด้านบนและด้านข้างทุกด้าน และเชิงงอนด้วย และจงทำกระจังทองคำล้อมรอบแท่น
4 จงทำห่วงทองคำสองห่วง ติดไว้ใต้กระจังด้านละห่วงตรงกันข้าม ห่วงนั้นสำหรับสอดใส่ไม้คานหาม
5 ไม้คานหามนั้นจงทำด้วยไม้กระถินเทศหุ้มด้วยทองคำ
6 จงตั้งแท่นนั้นไว้ข้างนอกม่าน ซึ่งอยู่ใกล้หีบพระโอวาทข้างหน้าแท่นพระที่นั่งกรุณา ซึ่งอยู่เหนือหีบพระโอวาท ที่ที่เราจะพบกับเจ้า
7 จงให้อาโรนเผาเครื่องหอมบนแท่นนั้นทุกเวลาเช้า เมื่อเขาแต่งประทีปก็จงเผาเครื่องหอมด้วย
8 และในเวลาเย็นเมื่ออาโรนจุดประทีป ให้เผาเครื่องหอมบนแท่นเป็นเครื่องหอม เนืองนิตย์ต่อพระพักตร์พระเจ้า ตลอดชั่วชาติพันธุ์ของเจ้า
9 แต่เครื่องหอมอย่างที่ห้าม อย่าได้เผาบนแท่นนั้นเลย หรือเผาเครื่องเผาบูชา หรือเครื่องธัญญบูชา หรือเทเครื่องดื่มบูชาบนนั้น
10 ให้อาโรนทำการบูชาไถ่บาปที่เชิงงอนปีละหน ให้เขาทำการลบมลทินแท่นนั้นปีละหนด้วยเลือดของ เครื่องบูชาไถ่บาปลบมลทินตลอดชั่วชาติพันธุ์ของเจ้า แท่นนั้นจะบริสุทธิ์ที่สุดแด่พระเจ้า"
11 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
12 "เมื่อเจ้าจะจดสำมะโนครัวชนชาติอิสราเอล จงให้เขาต่างนำทรัพย์สินมาถวายพระเจ้าเป็นค่าไถ่ ชีวิตเมื่อเจ้านับจำนวนเขา เพื่อจะมิได้เกิดภัยพิบัติขึ้นในหมู่พวกเขาเมื่อเจ้านับเขา
13 ทุกคนที่ขึ้นทะเบียนสำมะโนครัว จะต้องถวายของอย่างนี้ คือเงินครึ่งเชเขล ตามเชเขลของสถานนมัสการ (เชเขลหนึ่งมียี่สิบเก-ราห์) ครึ่งเชเขลเป็นเงินถวายแด่พระเจ้า
14 ทุกๆคนที่ขึ้นทะเบียนสำมะโนครัว อายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไป ให้นำเงินมาถวายพระเจ้า
15 เมื่อเจ้าทั้งหลายนำเงินมาถวายพระเจ้า เพื่อจะได้ไถ่ชีวิตของเจ้าทั้งหลายนั้น สำหรับคนมั่งมีก็อย่าถวายเกิน และสำหรับคนจนก็อย่าให้น้อยกว่าครึ่งเชเขล
16 จงเก็บเงินค่าไถ่จากชนชาติอิสราเอล และจงกำหนดเงินไว้ใช้จ่ายในเต็นท์นัดพบ เพื่อพระเจ้าจะได้ทรงระลึกถึงชนชาติอิสราเอล สำหรับการไถ่ชีวิตของเจ้าทั้งหลาย" ขัน
17 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
18 "เจ้าจงทำขันทองสัมฤทธิ์และพานรองขัน ทองสัมฤทธิ์ด้วย สำหรับล้างชำระ จงตั้งขันนั้นไว้ระหว่างเต็นท์นัดพบและแท่นบูชา แล้วจงตักน้ำใส่ไว้ในขันนั้น
19 ให้อาโรนและบุตรชายของเขาใช้ล้างมือและเท้า
20 เมื่อเขาจะเข้าไปในเต็นท์นัดพบเขาจะต้อง ชำระด้วยน้ำเพื่อจะไม่ตาย เมื่อเขาเข้ามาใกล้แท่นทำการปรนนิบัติ คือถวายเครื่องบูชาด้วยไฟแด่พระเจ้า
21 จงให้เขาล้างมือและเท้าเพื่อจะมิได้ตาย และให้เป็นกฎเกณฑ์เนืองนิตย์ประจำตัวเขา คืออาโรนกับเชื้อสายของเขาตลอดชั่วชาติพันธุ์ของเขา"
22 ยิ่งกว่านั้น พระเจ้ายังตรัสกับโมเสสว่า
23 "จงเอาเครื่องเทศพิเศษคือมดยอบน้ำ ซึ่งหนักห้าร้อยเชเขล และอบเชยหอมกึ่งจำนวน คือสองร้อยห้าสิบเชเขล และตะไคร้สองร้อยห้าสิบเชเขล
24 และการบูรห้าร้อย ตามเชเขลของสถานนมัสการ และน้ำมันมะกอกเทศหนึ่งฮิน
25 เจ้าจงเอาสิ่งเหล่านี้มาทำเป็นน้ำมันเจิมอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นน้ำหอมปรุงตามศิลปช่างปรุงน้ำมันนั้นจะเป็น น้ำมันเจิมอันบริสุทธิ์
26 แล้วจงเอาน้ำมันเจิมเต็นท์นัดพบและหีบพระโอวาทด้วย
27 โต๊ะและเครื่องใช้ประจำโต๊ะ คันประทีปกับเครื่องใช้ประจำคันประทีป และแท่นเผาเครื่องหอม
28 แท่นเครื่องเผาบูชาและเครื่องใช้ประจำแท่น ทั้งขันและพานรองขันนั้น
29 จงชำระให้บริสุทธิ์ เพื่อจะได้บริสุทธิ์ที่สุด และอะไรมาถูกสิ่งเหล่านั้นก็บริสุทธิ์ด้วย
30 อนึ่งจงชำระอาโรน และบุตรเขาไว้ให้บริสุทธิ์ เพื่อเขาจะได้เป็นปุโรหิตปรนนิบัติเรา
31 ท่านจงกล่าวแก่ชนชาติอิสราเอลว่า 'นี่แหละ เป็นน้ำมันเจิมอันบริสุทธิ์สำหรับเรา ตลอดชั่วชาติพันธุ์ของเจ้า
32 น้ำมันนี้อย่าให้เจิมคนสามัญเลย และอย่าผสมทำน้ำมันอื่นเหมือนอย่างน้ำมันนี้ น้ำมันนี้เป็นน้ำมันบริสุทธิ์ เจ้าทั้งหลายจงถือไว้เป็นบริสุทธิ์
33 ผู้ใดจะผสมน้ำมันอย่างนี้ หรือผู้ใดจะใช้ชโลมคนข้างนอก ผู้นั้นจะถูกอเปหิจากพวกพ้องของตน'"
34 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "จงเอาเครื่องเทศ คือกำยาน ชะมด และมหาหิงค์ ผสมกับกำยานบริสุทธิ์ (ให้เท่าๆกันทุกอย่าง)
35 จงผสมเครื่องหอมปรุงตามศิลปช่างปรุงเจือด้วยเกลือให้เป็นของบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์
36 จงเอาส่วนหนึ่งมาตำให้ละเอียด และวางอีกส่วนหนึ่งไว้หน้าหีบพระโอวาท ในเต็นท์นัดพบที่เราจะพบกับเจ้า เครื่องหอมนั้นเจ้าจงถือว่าบริสุทธิ์ที่สุด
37 เครื่องหอมที่เจ้ากระทำตามส่วนที่ผสมนั้นเจ้าอย่าทำใช้ เองให้ถือว่านี่เป็นเครื่องหอมศักดิ์สิทธิ์แด่พระเจ้า
38 ผู้ใดทำเครื่องเช่นนี้ไว้ใช้เป็นน้ำหอม ผู้นั้นต้องถูกอเปหิจากพวกพ้องของตน"

อพยพ 31
1 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
2 "ดูซี เราได้ออกชื่อเบซาเลล ผู้เป็นบุตรอุรี ผู้เป็นบุตรเฮอร์แห่งเผ่ายูดาห์
3 และได้ให้เขาประกอบด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า คือให้เขามีสติปัญญา ความเข้าใจและความรู้ในวิชาการทุกอย่าง
4 จะได้คิดออกแบบอย่างประณีตในการทำเครื่องทองคำ เงิน และทองสัมฤทธิ์
5 เจียระไนพลอยต่างๆ สำหรับฝังในกระเปาะและแกะสลักไม้ได้ คือประกอบวิชาการทุกอย่าง
6 และดูเถิด เราได้ตั้งผู้ช่วยอีกคนหนึ่ง ชื่อโอโฮลีอับบุตรอาหิสะมัคแห่งเผ่าดาน เราได้ให้สมรรถภาพแก่คนทั้งปวงที่มีฝีมือ เพื่อเขาจะได้ทำสิ่งสารพัด ซึ่งเราได้สั่งเจ้าไว้นั้น
7 คือเต็นท์นัดพบ หีบพระโอวาทและพระที่นั่งกรุณา ซึ่งอยู่บนหีบพระโอวาท และเครื่องใช้ทุกอย่างสำหรับเต็นท์
8 โต๊ะกับเครื่องใช้สำหรับโต๊ะ คันประทีปบริสุทธิ์กับเครื่องใช้สำหรับคันประทีป และแท่นเครื่องหอม
9 แท่นเครื่องเผาบูชากับเครื่องใช้ประจำแท่น ขัน กับพานรอง
10 เสื้อยศเย็บด้วยฝีมือประณีต คือเสื้อยศอันบริสุทธิ์ของอาโรนปุโรหิต และเสื้อยศของบุตรของเขา เพื่อจะได้สวมปฏิบัติในตำแหน่งปุโรหิต
11 และน้ำมันเจิมกับเครื่องหอมสำหรับ สถานศักดิ์สิทธิ์ที่เราบัญชาเจ้านั้น ให้เขากระทำตามทุกประการ"
12 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
13 "จงสั่งชนชาติอิสราเอลว่า 'เจ้าทั้งหลายจงรักษาวันสะบาโตของเราไว้ เพราะนี่จะเป็นหมายสำคัญระหว่างเรากับเจ้า ตลอดชั่วชาติพันธุ์ของเจ้า เพื่อเจ้าจะได้รู้ว่าเราคือพระเจ้า ผู้ได้กระทำเจ้าให้บริสุทธิ์
14 เหตุฉะนี้ เจ้าทั้งหลายจงรักษาวันสะบาโตไว้ เพราะเป็นวันบริสุทธิ์สำหรับเจ้า ผู้ใดกระทำให้วันนั้นเป็นมลทินจะต้องถูกลงโทษถึงตาย ถ้าผู้ใดทำการงานในวันนั้น ผู้นั้นต้องถูกกำจัดออกเสียจากพรรคพวกของตน
15 จงทำงานแต่ในกำหนดหกวัน แต่ในวันที่เจ็ดเป็นวันสะบาโต เป็นวันหยุดพักสงบ เป็นวันบริสุทธิ์แด่พระเจ้า ผู้ใดทำงานในวันนั้นต้องถูกลงโทษถึงตาย
16 เหตุฉะนี้ ชนชาติอิสราเอลจึงถือวันสะบาโตตลอดชั่วชาติพันธุ์ของ เขาเป็นพันธสัญญาเนืองนิตย์
17 เป็นหมายสำคัญระหว่างเรากับชนชาติอิสราเอลว่า ในหกวันพระเจ้าได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ และแผ่นดินโลก แต่ในวันที่เจ็ดพระองค์ได้ทรงงดการงานไว้ และได้ทรงหย่อนพระทัยในวันนั้น'"
18 เมื่อพระองค์ตรัสแก่โมเสสบนภูเขาซีนายเสร็จแล้ว พระองค์ได้ประทานแผ่นพระโอวาทสองแผ่นเป็น แผ่นศิลาจารึกด้วยนิ้วพระหัตถ์ของพระเจ้า

อพยพ 32
1 เมื่อประชาชนเห็นโมเสสล่าช้าอยู่ ไม่ลงมาจากภูเขา จึงได้พากันมาหาอาโรน เรียนว่า "ลุกขึ้น ขอท่านสร้างพระให้แก่พวกข้าพเจ้า ซึ่งจะนำพวกข้าพเจ้าไป ด้วยว่าโมเสสคนนี้ที่ได้นำ ข้าพเจ้าออกมาจากประเทศอียิปต์เป็นอะไรไปเสียแล้ว ข้าพเจ้าไม่ทราบ"
2 ฝ่ายอาโรนได้กล่าวแก่เขาว่า "จงปลดตุ้มหูทองคำออกจากหูภรรยา และหูบุตรชายหญิงของเจ้าทั้งหลายแล้วนำมาให้เราเถิด"
3 ประชาชนทั้งปวงจึงได้ปลดตุ้มหูทองคำจากหูของ ตนมามอบให้กับอาโรน
4 เมื่ออาโรนได้รับทองคำจากมือเขาแล้ว จึงใช้เครื่องมือสลักหล่อรูปเป็นโคหนุ่ม แล้วเขาทั้งหลายประกาศว่า "โอ อิสราเอล สิ่งเหล่านี้แหละเป็นพระของเจ้า ซึ่งนำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์"
5 เมื่ออาโรนได้ยินดังนั้นแล้ว จึงสร้างแท่นบูชาไว้ ตรงหน้ารูปโคหนุ่มนั้น แล้วอาโรนประกาศว่า "พรุ่งนี้จะเป็นวันเทศกาลเลี้ยงถวายพระเจ้า"
6 ครั้นรุ่งขึ้นเขาก็ตื่นขึ้นแต่เช้ามืดถวายเครื่องเผาบูชา และนำเครื่องศานติบูชามา ประชาชนก็นั่งลงกินและดื่มแล้วก็ลุกขึ้นเล่นสนุกกัน
7 ฝ่ายพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "เจ้าจงลงไปเถิด ด้วยว่าชนชาติของเจ้าซึ่งเจ้าได้นำออกจากแผ่นดินอียิปต์นั้น ได้ทำความเสื่อมเสียมากแล้ว
8 เขาได้หันเหออกจากทางซึ่งเราสั่งเขาไว้อย่างรวดเร็ว คือหล่อรูปโคขึ้นรูปหนึ่งสำหรับตน และกราบไหว้รูปนั้น และถวายสัตวบูชาแก่รูปนั้น และกล่าวว่า 'โอ อิสราเอล สิ่งเหล่านี้แหละเป็นพระของเจ้า ซึ่งนำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์'"
9 แล้วพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "เราเห็นประชากรนี้แล้ว นี่แหละเขาเป็นชนชาติหัวแข็ง
10 เหตุฉะนี้เจ้าจงปล่อยเขาตามลำพัง เพื่อความพิโรธของเราจะเดือดพลุ่งขึ้นต่อเขา และเพื่อเราจะผลาญทำลายเขาเสีย ส่วนเจ้า เราจะให้เป็นประชาชาติใหญ่"
11 ฝ่ายโมเสสก็วิงวอนกราบทูลพระเจ้าของท่านว่า "ข้าแต่พระเจ้า ไฉนพระองค์จึงทรงพระพิโรธต่อประชากรของพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงนำออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ ด้วยฤทธานุภาพอันใหญ่ยิ่ง และด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์เล่า
12 เหตุไฉนจะให้ชนชาวอียิปต์กล่าวว่า 'พระองค์ทรงนำเขาออกมาเพื่อจะทรงทำร้ายเขา เพื่อจะประหารชีวิตเขาที่ภูเขาและทำลายเขาเสียจากแผ่นดิน' ขอพระองค์ทรงหันกลับเสียจากความพิโรธอันแรงกล้าของ พระองค์ และทรงกลับพระทัยอย่าทำอันตรายแก่ประชากรของ พระองค์เอง
13 ขอพระองค์ได้ทรงระลึกถึง อับราฮัม อิสอัค และอิสราเอลผู้รับใช้ของพระองค์เป็นผู้ซึ่ง พระองค์ได้ทรงปฏิญาณแก่เขาเหล่านั้นไว้ว่า 'เราจะให้เชื้อสายของเจ้าทวีขึ้นดุจดวงดาว ในท้องฟ้า และแผ่นดินนี้ทั้งหมดซึ่งเราสัญญาไว้แล้ว เราจะยกให้แก่เชื้อสายของเจ้า และเขาจะรับไว้เป็นมรดกตลอดไป'"
14 แล้วพระเจ้าจึงทรงกลับพระทัย มิได้ทรงทำอันตรายอย่างที่พระองค์ทรงดำริว่า จะกระทำแก่ประชากรของพระองค์
15 ฝ่ายโมเสสกลับลงมาจากภูเขาถือแผ่นศิลาพระโอวาท มาสองแผ่นซึ่งจารึกทั้งสองด้าน จารึกทั้งด้านนี้และด้านนั้น
16 แผ่นศิลาเหล่านั้น เป็นงานจากฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า และอักษรที่จารึกนั้น เป็นลายพระหัตถ์ของพระองค์สลักไว้บนแผ่นศิลานั้น
17 เมื่อโยชูวาได้ยินเสียงประชาชนอื้ออึงอยู่ เขาจึงเรียนโมเสสว่า "ที่ค่ายมีเสียงเหมือนเกิดสงคราม"
18 ฝ่ายโมเสสตอบว่า "ที่เราได้ยินมิใช่เสียงอื้ออึงของคนที่มีชัยชนะ และมิใช่เสียงคนที่แพ้ แต่เป็นเสียงคนร้องเพลงกัน"
19 พอโมเสสเข้ามาใกล้ค่าย ได้เห็นรูปโคหนุ่ม และคนเต้นรำ โทสะของโมเสสก็เดือดพลุ่งขึ้น ท่านโยนแผ่นศิลาทิ้งตกแตกเสียที่เชิงภูเขานั่นเอง
20 แล้วท่านเอารูปโคหนุ่มที่ประชาชนทำไว้นั้นเผาเสีย และบดเป็นผงโรยลงในน้ำ และบังคับให้ชนชาติอิสราเอลดื่มน้ำนั้น
21 โมเสสจึงถามอาโรนว่า "ประชาชนนี้กระทำอะไรแก่ท่านเล่า ท่านจึงนำบาปอันใหญ่นี้มาสู่พวกเขา"
22 ฝ่ายอาโรนตอบว่า "อย่าให้ความโกรธของเจ้านายของข้าพเจ้าเดือดพลุ่งขึ้นเลย ท่านก็รู้จักประชาชนพวกนี้แล้วว่า เขาเอนเอียงไปในทางชั่ว
23 เขามาร้องขอข้าพเจ้าว่า 'ขอจงทำพระให้พวกข้าพเจ้า ซึ่งจะนำพวกข้าพเจ้าไป ด้วยว่าโมเสสคนนี้ที่ได้ นำพวกข้าพเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์นั้น เกิดอะไรขึ้นกับเขา ข้าพเจ้าไม่ทราบ'
24 แล้วข้าพเจ้าตอบแก่เขาว่า 'ผู้ใดมีทองคำให้ปลดออกมา' เขาก็มอบทองคำให้แก่ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจึงโยนลงไปในไฟ แล้วโคนี้ก็ออกมา"
25 เมื่อโมเสสเห็นประชาชนเตลิดไป (เพราะว่าอาโรนปล่อยเขาให้เตลิดไป จนเขารับคำเยาะเย้ย จากพวกศัตรู)
26 แล้วโมเสสยืนอยู่ที่ประตูค่ายร้องว่า "ผู้ใดอยู่ฝ่ายพระเจ้า ให้ผู้นั้นมาหาเราเถิด" ฝ่ายบุตรหลานเลวีได้มาหาโมเสสพร้อมกัน
27 โมเสสจึงกล่าวแก่เขาว่า "พระเจ้าของอิสราเอลตรัสสั่งดังนี้ว่า 'จงเอาดาบสะพายทุกคน แล้วจงไปมาตามประตูค่ายทุกๆคน จงฆ่าพี่น้องและมิตรสหายและเพื่อนบ้านของตัวเอง'"
28 ฝ่ายบุตรหลานของเลวีก็ทำตามโมเสสสั่ง และประชาชนประมาณสามพันคนตายลงในวันนั้น
29 ด้วยโมเสสกล่าวไว้แล้วว่า "ในวันนี้ท่านทั้งหลายจงสถาปนาตัวเองรับใช้พระเจ้า จงให้ทุกคนสู้รบกับบุตรและพี่น้องของตน เพื่อวันนี้พระองค์จะได้อำนวยพระพรแก่ท่านทั้งหลาย"
30 ครั้นวันรุ่งขึ้น โมเสสจึงกล่าวแก่ประชาชนว่า "ท่านทั้งหลายทำบาปอันใหญ่ยิ่ง แต่บัดนี้เราจะขึ้นไปเฝ้าพระเจ้า ชะรอยเราจะทำการลบมลทินบาปของท่านได้"
31 โมเสสจึงกลับไปเฝ้าพระเจ้าทูลว่า "โอพระเจ้าข้า ประชากรนี้ทำบาปอันใหญ่ยิ่ง เขาทำพระด้วยทองคำสำหรับตัวเอง
32 แต่บัดนี้ขอพระองค์โปรดยกโทษบาปของเขา ถ้าหาไม่ ขอพระองค์ทรงลบชื่อของข้าพระองค์ เสียจากทะเบียนที่พระองค์ทรงจดไว้"
33 ฝ่ายพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "ผู้ใดทำบาปต่อเราแล้ว เราจะลบชื่อผู้นั้นเสียจากทะเบียนของเรา
34 จงไปเถอะ นำประชากรไปยังที่ซึ่งเราบอกแก่เจ้าแล้ว นี่แหละทูตของเราจะนำหน้าเจ้า แต่ว่าในวันนั้น เมื่อเราจะพิพากษาเขา เราจะลงโทษเขา"
35 ฝ่ายพระเจ้าทรงบันดาลให้ภัยพิบัติเกิดขึ้นแก่ประชากร เพราะเหตุเขาทำรูปโคหนุ่มซึ่งอาโรนทำนั้น

อพยพ 33
1 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "ไปเถิด จงยกไปจากที่นี่ เจ้ากับประชากรซึ่งเจ้านำขึ้นมาจากแผ่นดินอียิปต์ ไปยังแผ่นดินซึ่งเราปฏิญาณกับอับราฮัม อิสอัค และ ยาโคบ ว่า 'แผ่นดินนั้นเราจะให้แก่เชื้อสายของเจ้า'
2 เราจะใช้ทูตผู้หนึ่งนำหน้าเจ้าไปและจะไล่คนคานาอัน คนอาโมไรต์ คนฮิตไทต์ คนเปริสซี คนฮีไวต์ คนเยบุส ออกเสียจากที่นั่น
3 จงนำไปถึงแผ่นดินซึ่งมีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ แต่เราจะไม่ขึ้นไปกับพวกเจ้า เกรงว่าเราจะทำลายล้างพวกเจ้าเสียกลางทาง เพราะว่าเจ้าเป็นชนชาติที่หัวแข็ง"
4 เมื่อประชาชนได้ยินข่าวร้ายนั้น เขามีความโศกเศร้า และไม่มีผู้ใดใส่เครื่องประดับเลย
5 เพราะพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "จงกล่าวแก่ชนชาติอิสราเอลว่า 'เจ้าทั้งหลายเป็นชนชาติที่หัวแข็ง ถ้าเราจะขึ้นไปกับเจ้าเพียงครู่เดียว เราก็จะทำลายล้างเจ้าเสีย เหตุฉะนี้ จงถอดเครื่อง ประดับออกเสีย เพื่อเราจะรู้ว่า ควรจะกระทำอย่างไรกับเจ้า'"
6 ฝ่ายชนชาติอิสราเอล ก็ถอดเครื่องประดับออก ตั้งแต่ตอนที่เขาอยู่แถบภูเขาโฮเรบเป็นต้นมา
7 ฝ่ายโมเสสเคยตั้งเต็นท์หลังหนึ่งไว้ข้างนอกไกลจากค่าย และเรียกว่า เต็นท์นัดพบ ต่อมาทุกคนซึ่งปรารถนาจะเข้าเฝ้าพระเจ้า ก็มักจะออกไปยังเต็นท์นัดพบ ซึ่งตั้งอยู่นอกบริเวณค่าย
8 และเมื่อไรที่โมเสสออกไปยังเต็นท์นั้น ประชาชนทั้งปวงก็จะลุกขึ้นยืนอยู่ที่ ประตูเต็นท์ของตนมองดูโมเสส จนท่านเข้าไปในเต็นท์
9 ครั้นโมเสสเข้าไปในเต็นท์แล้ว เสาเมฆก็ลอยลงมาตั้งอยู่ที่ประตูเต็นท์ แล้วพระเจ้าก็ตรัสสนทนากับโมเสส
10 เวลาประชาชนทั้งปวงเห็นเสาเมฆนั้นตั้งอยู่ที่ ประตูเต็นท์เมื่อไร ทุกคนก็จะลุกขึ้นยืนนมัสการอยู่ที่ประตูเต็นท์ของตน
11 ดังนี้แหละพระเจ้าเคยตรัสสนทนากับโมเสสสองต่อสอง เหมือนมิตรสหายสนทนากัน แล้วโมเสสก็กลับไปยังค่าย แต่โยชูวาผู้รับใช้หนุ่ม ผู้เป็นบุตรของนูน มิได้ ออกไปจากเต็นท์
12 โมเสสกราบทูลพระเจ้าว่า "นี่แหละพระองค์ได้ตรัสสั่งข้าพระองค์ว่า 'จงนำประชากรนี้ขึ้นไป' แต่พระองค์มิได้แจ้งให้ข้าพระองค์ทราบว่า จะใช้ผู้ใดขึ้นไปกับข้าพระองค์ แม้กระนั้นพระองค์ก็ยังตรัสกับข้าพระองค์ว่า 'เรารู้จักเจ้าด้วยนามของเจ้า และเจ้าเป็นที่โปรดปรานของเราแล้ว'
13 เหตุฉะนี้ ถ้าแม้ข้าพระองค์เป็นที่โปรดปรานของพระองค์แล้ว ขอพระองค์ทรงโปรดสำแดงพระมรรคาของพระองค์ให้ ข้าพระองค์เห็นในกาลบัดนี้ เพื่อข้าพระองค์จะรู้จักพระองค์ แล้วจะรับความเมตตาในสายพระเนตรของพระองค์เสมอไป และขอทรงนับชนชาตินี้เป็นประชากรของพระองค์"
14 ฝ่ายพระองค์ตรัสว่า "เราเองจะไปกับเจ้า และให้เจ้าได้พัก"
15 ฝ่ายโมเสสจึงกราบทูลพระองค์ว่า "ถ้าพระองค์มิได้เสด็จไปกับข้าพระองค์ ก็ขออย่านำพวกข้าพระองค์ขึ้นไปจากที่นี่เลย
16 ทำอย่างไรจะทราบได้ว่า ข้าพระองค์และประชากรของพระองค์เป็นที่โปรดปราน ของพระองค์แล้ว ก็เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นไปกับพวกข้าพระองค์ด้วยมิใช่หรือ ดังนี้ข้าพระองค์และประชากรของพระองค์ จึงแตกต่างกับชนชาติอื่นๆทั่วพื้นแผ่นดินโลก"
17 ฝ่ายพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "สิ่งซึ่งเจ้าขอแล้วเราจะกระทำตาม เพราะว่าเจ้าเป็นที่โปรดปรานของเราแล้ว และเรารู้จักชื่อของเจ้า"
18 โมเสสจึงกราบทูลว่า "ขอทรงโปรดสำแดงพระสิริของพระองค์แก่ข้าพระองค์เถิด"
19 พระองค์จึงตรัสตอบว่า "เราจะให้คุณความดีของเราประจักษ์แจ้งต่อหน้าเจ้า และเราจะประกาศนามของเราคือ เยโฮวาห์ ให้ประจักษ์ต่อหน้าเจ้า เราประสงค์จะโปรดปรานผู้ใดก็จะโปรดปรานผู้นั้น และเราประสงค์จะเมตตาแก่ผู้ใด เราก็จะเมตตาผู้นั้น"
20 พระองค์จึงตรัสว่า "เจ้าจะเห็นหน้าของเราไม่ได้ เพราะมนุษย์เห็นหน้าเราแล้วจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้"
21 พระเจ้าตรัสอีกว่า "นี่แหละมีที่แห่งหนึ่งอยู่ใกล้เรา เจ้าจงไปยืนอยู่บนศิลานั้น
22 แล้วขณะเมื่อพระสิริของเรากำลังผ่านไป เราจะซ่อนเจ้าไว้ในช่องศิลา และจะบังเจ้าไว้ด้วยมือเราจนกว่าเราจะผ่านไป
23 เมื่อเราเอามือของเราออกแล้ว เจ้าจะเห็นหลังของเรา แต่หน้าของเราเจ้าจะมิได้เห็น"

อพยพ 34
1 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "จงสกัดศิลาอีกสองแผ่นเหมือนเดิม แล้วเราจะจารึกคำเหมือนในแผ่นเก่าที่เจ้าทำแตกนั้นให้
2 จงเตรียมให้พร้อมเวลาเช้า แล้วจงขึ้นมาบนภูเขาซีนายแต่เช้า จงคอยเฝ้าเราบนยอดภูเขานั้น
3 อย่าให้ผู้ใดขึ้นมาด้วย และอย่าให้มีผู้ใดมาอยู่ที่ภูเขา อย่าให้ฝูงแพะแกะ ฝูงโคกินหญ้าอยู่หน้าภูเขานี้เลย"
4 ฝ่ายโมเสสจึงสกัดศิลาสองแผ่นเหมือนสองแผ่นแรก แล้วท่านก็ตื่นแต่เช้า ขึ้นไปบนภูเขาซีนายตามรับสั่งของพระเจ้า ถือศิลาไปสองแผ่น
5 ฝ่ายพระเจ้าเสด็จลงมาในเมฆ และโมเสสยืนอยู่กับพระองค์ที่นั่น และออกพระนามพระเจ้า
6 พระเจ้าเสด็จผ่านไปข้างหน้าท่าน ตรัสว่า "พระเยโฮวาห์ พระเยโฮวาห์ พระเจ้าผู้ทรงพระกรุณา ทรงกอปรด้วยพระคุณ ทรงกริ้วช้า และบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง และความสัตย์จริง
7 ผู้ทรงสำแดงความรักมั่นคงต่อมนุษย์กระทั่งพันชั่วอายุ ผู้ทรงโปรดยกโทษการล่วงละเมิด การทรยศ และบาปของเขาเสีย แต่จะทรงถือว่า ไม่มีโทษก็หามิได้ และให้โทษบิดาตกทอดไปถึงลูกหลานสามชั่ว สี่ชั่วอายุคน"
8 ฝ่ายโมเสสจึงรีบกราบลงที่พื้นดินนมัสการ
9 แล้วทูลว่า "ข้าแต่พระเจ้า ถ้าแม้ข้าพระองค์ได้รับความโปรดปรานจากพระองค์ แม้ว่าชนชาตินั้นหัวแข็ง ก็ขอพระองค์โปรดเสด็จไปท่ามกลางพวกข้าพระองค์ และขอทรงโปรดยกโทษ และบาปของพวกข้าพระองค์ และโปรดรับพวกข้าพระองค์เป็นมรดกของพระองค์ด้วย"
10 ฝ่ายพระองค์ตรัสว่า "ดูเถิด เราจะทำพันธสัญญาไว้ เราจะทำการอัศจรรย์ต่อหน้าชนชาติของเจ้า ซึ่งไม่มีผู้ใดกระทำในประชาชาติใดทั่ว พิภพและประชาชนทั้งปวง ซึ่งเจ้าอยู่ท่ามกลางเขานั้น จะเห็นกิจการของพระเจ้า เพราะการซึ่งเราจะทำต่อเจ้านั้น จะเป็นสิ่งที่น่ากลัวยิ่งนัก
11 "จงถือตามคำซึ่งเราบัญชาเจ้าในวันนี้ ดูเถิด เราจะไล่คนอาโมไรต์ คนคานาอัน คนฮิตไทต์ คนเปริสซี คนฮีไวต์ และคนเยบุส ไปให้พ้นหน้าเจ้า
12 จงระวังตัวให้ดี อย่ากระทำพันธสัญญากับชาวเมืองซึ่งเจ้าจะไปถึงนั้น เกรงว่าจะเป็นบ่วงแร้วดักพวกเจ้า
13 แต่เจ้าทั้งหลายจงทำลายแท่นบูชาและทุบเสา อันศักดิ์สิทธิ์ของเขาให้แหลกละเอียด และโค่นบรรดาอาเชริมของเขาเสีย
14 (เจ้าอย่านมัสการพระอื่นเลย เพราะพระเจ้าผู้ทรงพระนามว่าหวงแหน เป็นพระเจ้าผู้ทรงหวงแหน)
15 เกรงว่าเจ้าจะทำพันธสัญญากับชาวเมืองนั้น และเมื่อเขาเล่นชู้กับพระของเขา และถวายสัตวบูชาแก่รูปเคารพนั้น เขาจะเชิญ พวกเจ้าไปร่วมด้วย และพวกเจ้าจะไปกินของที่เขาถวายบูชานั้น
16 เกรงว่าเจ้าจะรับบุตรหญิงของเขามาเป็นภรรยาบุตรชายของเจ้า และบุตรหญิงของเขานั้นจะไปเล่นชู้กับพระของเขา และชักชวนให้บุตรชายของเจ้าไปเล่นชู้กับพระนั้นด้วย
17 "เจ้าอย่าหล่อรูปพระไว้สำหรับตัวเองเลย
18 "เจ้าทั้งหลายจงถือเทศกาลกินขนมปัง ไร้เชื้อ จงกินขนมปังไร้เชื้อ ให้ครบเจ็ดวันตามกำหนดในเดือนอาบีบตามที่เราบัญชาเจ้า เพราะเจ้าออกจากอียิปต์ในเดือนอาบีบ
19 ทุกสิ่งซึ่งออกจากครรภ์ครั้งแรกเป็นของเรา คือสัตว์ตัวผู้ทั้งหมดของเจ้า ลูกหัวปีของโคและของแกะ
20 ส่วนลูกลาหัวปีนั้นเจ้าจงนำลูกแกะมาไถ่ไว้ ถ้าแม้เจ้ามิได้ไถ่ก็จงหักคอมันเสีย บุตรหัวปีทั้งหลายของพวกเจ้านั้นจะต้องไถ่ไว้ด้วย อย่าให้ผู้ใดมาเฝ้าเรามือเปล่าเลย
21 "เจ้าจงทำการงานในกำหนดหกวัน แต่วันที่เจ็ดจงพัก แม้ว่าในฤดูไถนาและฤดูเกี่ยวข้าวก็จงพัก
22 จงถือเทศกาลสัปดาห์ คือเทศกาลเลี้ยงฉลองผลต้นฤดูเกี่ยวข้าวสาลี และถือเทศกาลเลี้ยงฉลองการเก็บผลิตผลในปลายปี
23 บรรดาผู้ชายทั้งหลายของพวกเจ้าต้องมาประชุมกันต่อ พระพักตร์พระเจ้าแห่งอิสราเอลปีละสามครั้ง
24 เพราะเราจะขับไล่ชนชาติทั้งหลายออกไปให้พ้นหน้าพวกเจ้า และจะขยายเขตแดนเมืองของเจ้าให้กว้างออกไป เมื่อพวกเจ้าจะขึ้นไปเฝ้าพระเจ้าของเจ้าปีละสามครั้งนั้น จะไม่มีใครอยากได้แผ่นดินของเจ้าเลย
25 "อย่าถวายเลือดบูชา พร้อมกับขนมปังมีเชื้อ และเครื่องบูชาอันเกี่ยวกับเทศกาลเลี้ยงปัสกานั้น อย่าให้เหลือไว้จนถึงวันรุ่งขึ้น
26 จงคัดพืชผลแรกจากผลรุ่นแรกในไร่นามาถวายใน พระนิเวศพระเจ้าของเจ้า อย่าต้มเนื้อลูกแพะด้วยน้ำนมแม่ของมันเลย"
27 พระเจ้าตรัสกับโมเสสอีกว่า "คำเหล่านี้จงเขียนไว้ เพราะเราทำพันธสัญญาไว้กับเจ้า และพวกอิสราเอลตามข้อความเหล่านี้แล้ว"
28 ฝ่ายโมเสสเฝ้าพระเจ้าอยู่ที่นั่นสี่สิบวันสี่สิบคืน มิได้รับประทานอาหารหรือน้ำเลย และท่านจารึกคำพันธสัญญาไว้ที่แผ่นศิลา คือพระบัญญัติสิบประการ
29 อยู่ต่อมาเมื่อโมเสสได้ลงมาจากภูเขาซีนาย ถือแผ่นพระโอวาทสองแผ่นมาด้วย เวลาที่ลงมาจากภูเขานั้น โมเสสก็ไม่ทราบว่าผิวหน้าของตนทอแสงเนื่องด้วย พระเจ้าทรงสนทนากับท่าน
30 เมื่ออาโรนและคนอิสราเอลทั้งปวงมองดูโมเสส ก็เห็นว่าผิวหน้าของท่านทอแสง และเขาก็กลัวไม่กล้าเข้ามาใกล้ท่าน
31 ฝ่ายโมเสสเรียกเขามา แล้วอาโรนกับบรรดาประมุข ของประชาชนก็กลับมาหาโมเสส และท่านสนทนากับเขา
32 แล้วหลังจากที่คนอิสราเอลเข้ามาใกล้ โมเสสก็ให้บัญญัติแก่เขาตามที่พระเจ้าตรัส แก่ท่านทุกข้อบนภูเขาซีนาย
33 เมื่อท่านพูดจบแล้ว ก็ใช้ผ้าคลุมหน้าไว้
34 แต่เมื่อไรที่โมเสสเข้าเฝ้าทูลพระเจ้า ท่านก็ปลดผ้านั้นออกเสีย จนกว่าจะกลับออกมาแล้วท่านออกมาเล่าให้คนอิสราเอลฟัง ตามที่ท่านรับพระบัญชามาแล้วนั้น
35 และคนอิสราเอลดูหน้าของโมเสส คือเห็นผิวหน้าของโมเสสทอแสง ฝ่ายโมเสสใช้ผ้าคลุมหน้าไว้อีกทุกครั้ง จนกว่าจะเข้าไปทูลพระองค์

อพยพ 35
1 ฝ่ายโมเสสให้ชุมนุมชนอิสราเอลประชุมกันกล่าว แก่เขาว่า "ต่อไปนี้เป็นสิ่งซึ่งพระเจ้าบัญชาให้ท่านทั้งหลายกระทำ
2 จงทำงานในกำหนดหกวัน แต่วันที่เจ็ดให้ท่านถือเป็นวันบริสุทธิ์ เป็นวันสะบาโตแด่พระเจ้า สำหรับให้พัก
3 ในวันสะบาโตนั้นอย่าก่อไฟเลย ทั่วตลอดที่อาศัยของเจ้า"
4 โมเสสได้กล่าวแก่ชุมนุมชนอิสราเอลว่า "ต่อไปนี้เป็นสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงบัญชา
5 ท่านทั้งหลายจงนำของจากของที่มีอยู่มาถวายพระเจ้า ผู้ใดมีน้ำใจกว้างขวางให้ผู้นั้นนำของมาถวายพระเจ้า คือทองคำ เงิน และทองสัมฤทธิ์
6 ผ้าสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม ผ้าป่านเนื้อดี และขนแพะ
7 หนังแกะตัวผู้ย้อมสีแดง หนังทาคัชและไม้กระถินเทศ
8 น้ำมันเติมตะเกียง เครื่องเทศสำหรับเจือน้ำมันเจิม และปรุงเครื่องหอมสำหรับการเผาถวาย
9 แก้วโกเมน และแก้วต่างๆ สำหรับฝังทำเอโฟดและทับทรวง
10 "จงให้ทุกคนซึ่งมีสติปัญญาในหมู่พวกท่าน พากันมาทำสิ่งทั้งปวงซึ่งพระเจ้าทรงบัญชาให้ทำแล้ว
11 คือพลับพลา เต็นท์ และผ้าคลุมเต็นท์ ขอเกี่ยวและไม้กรอบ กลอน เสา และฐานรองรับเสาของพลับพลานั้น
12 หีบและไม้คานหามหีบ พระที่นั่งกรุณากับม่านบังตา
13 โต๊ะกับไม้คานหามโต๊ะ เครื่องใช้ทั้งปวงสำหรับโต๊ะ และขนมปังหน้าพระพักตร์
14 คันประทีปที่ให้แสงสว่างกับเครื่องอุปกรณ์ และตะเกียง และน้ำมันเติมตะเกียง
15 แท่นเผาเครื่องหอมกับไม้คานหามแท่นนั้น น้ำมันเจิม และเครื่องหอมสำหรับเผาถวาย และม่านบังตาสำหรับประตู ที่ประตูพลับพลา
16 แท่นเครื่องเผาบูชากับตาข่ายทองสัมฤทธิ์ ไม้คานหามและเครื่องใช้ของแท่น ขันกับพานรอง
17 ผ้าม่านสำหรับกั้นลานพลับพลากับเสา และฐานรองรับเสา และผ้าม่านสำหรับประตูลาน
18 หลักหมุดสำหรับพลับพลา และหลักหมุดสำหรับลานพลับพลาพร้อมกับเชือก
19 เสื้อยศเย็บด้วยฝีมือประณีตสำหรับแต่ง เวลาปรนนิบัติในวิสุทธิสถาน คือเสื้อยศบริสุทธิ์สำหรับอาโรนปุโรหิต และเสื้อยศสำหรับบุตรของท่าน เพื่อใช้ปฏิบัติในตำแหน่งปุโรหิต"
20 แล้วชุมนุมอิสราเอลทั้งหมดก็แยกย้ายกันจากโมเสสไป
21 ทุกคนที่มีใจศรัทธา และที่มีใจสมัครก็นำสิ่งของมาถวายพระเจ้า สำหรับเต็นท์นัดพบ และการปรนนิบัติต่างๆ และสำหรับเครื่องยศบริสุทธิ์
22 เขาจึงพากันมาทั้งชายและหญิง บรรดาผู้มีน้ำใจสมัครนำมาซึ่งเข็มกลัด ตุ้มหู แหวนตรา และกำไลเป็นทองรูปพรรณทั้งนั้น คือทุกคนนำทองคำมายื่นถวายพระเจ้า
23 ส่วนทุกคนที่มีด้ายสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม หรือที่มีผ้าป่านเนื้อดี ขนแพะ หนังแกะตัวผู้ย้อมสีแดง และหนังทาคัชก็เอาของเหล่านั้นมาถวาย
24 ทุกคนที่มีเงิน หรือทองสัมฤทธิ์จะ ถวายก็นำมาถวายพระเจ้า และทุกคนที่มีไม้กระถินเทศใช้การได้ก็นำไม้นั้นมาถวาย
25 ส่วนผู้หญิงทั้งปวงที่ชำนาญก็ปั่นด้ายด้วยมือของตน แล้วนำด้ายซึ่งปั่นนั้นมาถวายทั้งสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และเส้นป่านปั่นอย่างดี
26 ฝ่ายบรรดาผู้หญิงที่มีใจศรัทธาก็ปั่นขนแพะ ด้วยความชำนาญ
27 บรรดาประมุขก็นำแก้วโกเมน และแก้วต่างๆมา สำหรับฝังทำเอโฟดและทับทรวง
28 กับเครื่องเทศและน้ำมันตามตะเกียง น้ำมันเจิม และน้ำมันปรุงเครื่องหอมสำหรับเผาบูชา
29 คนอิสราเอลทั้งชายและหญิงทุกคนที่มีใจสมัครนำของถวายสำหรับการงานต่างๆ ซึ่งพระเจ้าทรงบัญชาโมเสสไว้ให้ กระทำก็นำของมาตามอำเภอใจถวายแด่พระเจ้า
30 โมเสสจึงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า "ดูก่อนท่าน พระเจ้าได้ทรงออกชื่อเบซาเลล บุตรอุรี ผู้เป็นบุตรของเฮอร์ เผ่ายูดาห์
31 และพระองค์ได้ทรงให้ผู้นั้นประกอบ ด้วยพระวิญญาณของพระเจ้าให้มีสติปัญญาและความเข้าใจ และความรู้ในการช่างฝีมือต่างๆ
32 เพื่อจะคิดประดิษฐ์ลวดลายอย่างฉลาด ทำด้วยทองคำและเงินและทองสัมฤทธิ์
33 และเจียระไนแก้วต่างๆ สำหรับฝังในกระเปาะและการแกะสลักไม้ คือให้มีฝีมือดีเลิศทุกอย่าง
34 อนึ่งพระองค์ทรงดลใจให้ผู้นั้นมีน้ำใจ ที่จะสอนคนอื่นได้ด้วย พร้อมด้วยโอโฮลีอับ บุตรอาหิสะมัคเผ่าดาน
35 คนทั้งสองนี้พระองค์ทรงประทานสติปัญญา ความสามารถในการที่จะกระทำงานได้ทุกอย่าง เช่นการช่างฝีมือ การช่างออกแบบ และการช่างด้ายสี คือ สีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และเส้นป่านปั่นอย่างดี และช่างทอ คือทำการช่างฝีมือได้ทุกอย่าง และเป็นช่างออกแบบอย่างฉลาดด้วย

อพยพ 36
1 ฝ่ายเบซาเลล และโอโฮลีอับ กับคนทั้งปวงที่มีความสามารถ ซึ่งพระเจ้าทรงประทานสมรรถภาพ และสติปัญญาให้พอที่จะทำการทุกอย่างในการสร้าง สถานนมัสการตามที่พระเจ้าทรงบัญชาไว้แล้วทุกประการ"
2 โมเสสจึงเรียกเบซาเลลและโอโฮลีอับ กับคนทั้งปวงที่มีความสามารถ ซึ่งพระเจ้าทรงประทานให้แก่จิตใจของเขา และใจของเขากระตุ้นเขาให้มาทำงาน
3 คนเหล่านี้ได้รับของถวายนั้นจากโมเสส ที่คนอิสราเอลนำมาถวายเพื่อนำไปทำสถานนมัสการ ประชาชนยังนำของที่สมัครใจจะถวายมาถวายอีกทุกๆเวลาเช้า
4 ฝ่ายคนทั้งปวงที่มีความสามารถ ซึ่งทำงานต่างๆที่สถานนมัสการนั้นมาถึง แล้วต่างก็หยุดทำงานในหน้าที่ของตน
5 พากันมาเรียนโมเสสว่า 'ประชาชนนำของมาถวายมากเกินความต้องการที่จะใช้ในงานนั้นๆซึ่งพระเจ้าทรงบัญชาให้กระทำ
6 โมเสสจึงสั่งให้ประกาศไปทั่วค่ายว่า "อย่าให้ชายหญิงนำของสำหรับทำสถานนมัสการมา ถวายอีกเลย" เหตุฉะนั้นประชาชนจึงยับยั้งไม่นำของมาถวายอีก
7 เพราะของที่เขามีอยู่แล้วก็พอ และยังมีเหลืออีก
8 บรรดาช่างผู้มีความสามารถ ได้ทำพลับพลาด้วยม่านสิบผืน ด้วยผ้าป่านเนื้อดี ด้วยด้ายสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม มีรูปเครูบฝีมือช่างออกแบบไว้
9 ม่านผืนหนึ่งยาวยี่สิบแปดศอก กว้างสี่ศอก ม่านทุกผืนเท่ากัน
10 ม่านห้าผืนเขาทำให้เกี่ยวติดกัน และอีกห้าผืนนั้นเกี่ยวติดกันด้วย
11 เขาทำหูด้วยด้ายสีฟ้า ติดไว้ตามขอบม่าน ด้านนอกสุด ชุดที่หนึ่ง และตามขอบม่านด้านนอกสุด ชุดที่สองก็ทำหูไว้เหมือนกัน
12 ม่านผืนหนึ่งเขาทำหูห้าสิบหู และตามขอบม่านชุดที่สอง เขาก็ทำหูห้าสิบหูให้ตรงกัน
13 และเขาทำขอทองคำห้าสิบขอ สำหรับใช้เกี่ยวม่านเพื่อให้พลับพลาเป็นชิ้นเดียวกัน
14 เขาทำม่านด้วยขนแพะ สำหรับเป็นเต็นท์คลุมพลับพลาอีกสิบเอ็ดผืน
15 ม่านผืนหนึ่งยาวสามสิบศอก กว้างสี่ศอก ทั้งสิบเอ็ดผืนเท่ากัน
16 เขาเกี่ยวม่านห้าผืนให้ติดกันต่างหาก และม่านอีกหกผืนก็เกี่ยวติดกันอีกต่างหาก
17 และเขาทำหูห้าสิบหูติดกับม่านด้านนอกสุดชุดที่หนึ่ง และเขาทำหูห้าสิบหูติดกับขอบม่านด้านนอกสุดชุดที่สอง
18 เขาทำขอทองสัมฤทธิ์ห้าสิบขอเกี่ยวขอเข้าที่หู ให้ติดต่อเป็นเต็นท์หลังเดียวกัน
19 เขาทำเครื่องดาดเต็นท์ ด้วยหนังแกะตัวผู้ย้อมสีแดงชั้นหนึ่ง และคลุมทับด้วยหนังทาคัชอีกชั้นหนึ่ง
20 เขาทำไม้กรอบสำหรับพลับพลาด้วยไม้กระถินเทศยกตั้งขึ้นตรงๆ
21 ไม้กรอบนั้นยาวแผ่นละสิบศอก กว้างศอกคืบ
22 มีเดือยกรอบละสองเดือย เดือยกรอบหนึ่งมีไม้ประกับติดกับเดือยอีกกรอบหนึ่ง เขาได้ทำไม้กรอบพลับพลาทั้งหมดอย่างนี้
23 เขาทำไม้กรอบพลับพลาดังนี้ ด้านใต้เขาใช้ยี่สิบแผ่น
24 เขาทำฐานด้วยเงินสี่สิบฐาน สำหรับไม้กรอบยี่สิบแผ่น ใต้ไม้กรอบแผ่นหนึ่ง มีฐานรองรับแผ่นละสองฐาน สำหรับสวมเดือยสองอัน
25 ด้านที่สองของพลับพลาข้างทิศเหนือนั้น เขาทำไม้กรอบยี่สิบแผ่น
26 เขาทำฐานเงินรองรับสี่สิบฐานใต้ไม้กรอบมีฐาน แผ่นละสองฐาน
27 ส่วนด้านหลังทิศตะวันตกของพลับพลาเขาทำไม้กรอบ หกแผ่น
28 เขาทำไม้กรอบอีกสองแผ่นสำหรับมุมพลับพลาด้านหลัง
29 ไม้กรอบนั้นข้างล่างให้แยกกัน แต่ตอนบนยอดติดต่อกันที่ห่วงแรก เขาทำอย่างนี้ทำให้เกิดมุมสองมุม
30 คือรวมเป็นไม้กรอบแปดแผ่นด้วยกันและฐานเงินสิบหกอัน ใต้ไม้กรอบมีฐานแผ่นละสองฐาน
31 เขาทำกลอนด้วยไม้กระถินเทศห้าอันสำหรับขัดไม้
32 กรอบฝาพลับพลาด้านหนึ่ง และกลอนอีกห้าอันสำหรับขัดไม้กรอบฝาพลับพลาอีกด้านหนึ่ง และกลอนอีกห้าอันสำหรับขัดไม้กรอบฝาพลับพลาด้านหลัง คือด้านตะวันตก
33 เขาทำกลอนตัวกลางให้ร้อยตอนกลางของไม้กรอบ สำหรับขัดฝาตั้งแต่มุมหนึ่งไปจดอีกมุมหนึ่ง
34 เขาหุ้มไม้กรอบเหล่านั้นด้วยทองคำ และทำห่วงกรอบด้วยทองคำสำหรับร้อยกลอน และกลอนนั้นเขาหุ้มด้วยทองคำเช่นกัน
35 เขาทำม่านนั้นด้วยด้ายสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และด้วยผ้าป่านเนื้อดีมีภาพเครูบฝีมือช่างออกแบบไว้
36 เขาทำเสาไม้กระถินเทศสี่เสาหุ้มด้วยทองคำ ขอติดเสานั้นก็เป็นทองคำ เขาหล่อฐานเงินสี่อัน สำหรับรองรับเสานั้น
37 และเขาทำบังตาที่ประตูเต็นท์นั้นด้วยด้ายสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้มและผ้าป่านเนื้อดีประกอบด้วยฝีมือช่างปัก
38 และทำเสาห้าต้น สำหรับม่านนั้น พร้อมด้วยขอเกี่ยวบัวคว่ำและราวยึดเสานั้นหุ้มด้วยทองคำ แต่ฐานห้าฐานสำหรับรองรับเสานั้นทำด้วยทองสัมฤทธิ์

อพยพ 37
1 เบซาเลลทำหีบด้วยไม้กระถินเทศ ยาวสองศอกคืบ กว้างศอกคืบและสูงศอกคืบ
2 หีบนั้นเขาหุ้มด้วยทองคำบริสุทธิ์ ทั้งข้างในและข้างนอก และได้ทำกระจังรอบหีบนั้นด้วยทองคำ
3 เขาหล่อห่วงทองคำสี่ห่วงติดไว้ที่มุมทั้งสี่ ด้านนี้สองห่วง และด้านนั้นสองห่วง
4 เขาทำคานหามด้วยไม้กระถินเทศหุ้มด้วยทองคำ
5 เขาสอดคานหามเข้าที่ห่วงข้างหีบสำหรับใช้ยกหีบนั้น
6 แล้วเขาทำพระที่นั่งกรุณาด้วยทองคำบริสุทธิ์ ยาวสองศอกคืบกว้างศอกคืบ
7 เขาทำเครูบทองคำสองรูป โดยใช้ค้อนทำ ตั้งไว้ที่ปลายพระที่นั่งกรุณาทั้งสองข้าง
8 เขาทำเครูบไว้ที่ปลายพระที่นั่งกรุณาข้างละรูป เขาทำเครูบนั้นตอนปลายทั้งสองข้างเป็นเนื้อเดียวกับ พระที่นั่งกรุณา
9 ให้เครูบกางปีกออกเบื้องบนปกพระที่นั่งกรุณาไว้ด้วยปีก และให้หันหน้าเข้าหากัน คือให้เครูบหันหน้ามาตรงพระที่นั่งกรุณา
10 เขาเอาไม้กระถินเทศทำโต๊ะตัวหนึ่ง ยาวสองศอก กว้างหนึ่งศอก และสูงศอกคืบ
11 เขาหุ้มโต๊ะนั้นด้วยทองคำบริสุทธิ์ และทำกระจังทองคำรอบโต๊ะนั้นด้วย
12 เขาทำประกับขอบโต๊ะนั้นกว้างหนึ่งฝ่ามือโดยรอบ แล้วทำกระจังทองคำประกอบรอบประกับนั้น
13 เขาหล่อห่วงทองคำสี่อันติดไว้ที่มุมโต๊ะทั้งสี่ตรงขาโต๊ะ
14 ห่วงนั้นติดชิดกับกระจังสำหรับสอดคานหาม
15 เขาทำคานหามด้วยไม้กระถินเทศหุ้มด้วยทองคำ สำหรับหามโต๊ะนั้น
16 และเขาทำเครื่องใช้สำหรับโต๊ะนั้นมี จาน ชาม ช้อน กับอ่างน้ำและคนโทที่ใช้รินเครื่องดื่มบูชา ซึ่งทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ทั้งสิ้น
17 เขาทำคันประทีปอันหนึ่งด้วยทองคำบริสุทธิ์ ฐานและลำตัวของคันประทีปนั้นใช้ค้อนทำดอก คือฐานดอกและกลีบทำเป็นเนื้อเดียวกันกับคันประทีป
18 มีกิ่งหกกิ่งแยกออกจากลำคันประทีปนั้นข้างละสามกิ่ง
19 แต่ละกิ่งมีดอกเหมือนดอกอัลมันด์สามดอก ทุกๆดอกมีฐานดอก และกลีบ เป็นดังนี้ทั้งหกกิ่ง ซึ่งยื่นออกจากลำคันประทีป
20 สำหรับลำคันประทีปนั้น มีดอกสี่ดอกเหมือนดอกอัลมันด์ทั้งฐานดอกและกลีบ
21 ใต้กิ่งทุกๆคู่ทั้งหกกิ่งที่ลำคันประทีปนั้น ให้มีกระเปาะเป็นเนื้อเดียวกันกับคันประทีป
22 กระเปาะและกิ่งเป็นเนื้อเดียวกันกับคันประทีป ทำทุกส่วนเป็นเนื้อเดียวกันด้วยทองคำบริสุทธิ์ และใช้ค้อนทำ
23 เขาทำตะเกียงเจ็ดดวงสำหรับคันประทีปนั้น ตะไกรตัดไส้ตะเกียงและถาดรอง ด้วยทองคำบริสุทธิ์
24 คันประทีปและเครื่องใช้ทั้งหมดสำหรับคันประทีปนั้น เขาทำด้วยทองคำบริสุทธิ์หนักหนึ่งตะลันต์
25 เขาสร้างแท่นบูชา สำหรับเผาเครื่องหอมด้วยไม้กระถินเทศ ยาวศอกหนึ่ง กว้างศอกหนึ่ง เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส และสูงสองศอก เชิงงอนที่มุมแท่นนั้นก็เป็นไม้ท่อนเดียวกันกับแท่น
26 เขาหุ้มแท่นนั้นด้วยทองคำบริสุทธิ์ ทั้งด้านบนและด้านข้างทั้งสี่ด้าน และเชิงงอนด้วย และเขาทำกระจังทองคำรอบแท่นนั้น
27 เขาทำห่วงทองคำสองห่วงติดไว้ใต้กระจังทั้งสองด้าน ตรงข้ามกัน เป็นที่สำหรับสอดใส่ไม้คานหาม
28 เขาทำไม้คานหามนั้นด้วยไม้กระถินเทศหุ้มด้วยทองคำ
29 เขาปรุงน้ำมันเจิมอันศักดิ์สิทธิ์และปรุงเครื่องหอมบริสุทธิ์ ด้วยเครื่องเทศตามศิลปของช่างปรุง

อพยพ 38
1 เขาทำแท่นเครื่องเผาบูชาด้วยไม้กระถินเทศยาวห้าศอก กว้างห้าศอก เป็นแท่นสี่เหลี่ยมจัตุรัส สูงสามศอก
2 เขาทำเชิงงอนติดไว้ทั้งสี่มุมของแท่นนั้น เชิงงอนนั้นเป็นไม้ชิ้นเดียวกันกับแท่นบูชา เขาหุ้มแท่นด้วยทองสัมฤทธิ์
3 เขาทำเครื่องใช้บนแท่นนั้นทุกอย่าง คือหม้อ ทัพพี ชาม ขอเกี่ยวเนื้อ และถาดรองไฟ เครื่องใช้สำหรับแท่นทั้งหมดนั้น เขาทำด้วยทองสัมฤทธิ์
4 และเขาเอาทองสัมฤทธิ์ทำเป็น ตาข่ายประดับแท่นนั้นให้อยู่ใต้กระจังของแท่น และห้อยอยู่ตั้งแต่กลางแท่นลงมา
5 เขาหล่อห่วงสี่ห่วงติดที่มุม ทั้งสี่ของตาข่ายสำหรับสอดไม้คานหาม
6 เขาทำไม้คานหามด้วยไม้กระถินเทศ และหุ้มด้วยทองสัมฤทธิ์
7 เขาสอดไม้คานนั้นไว้ในห่วงที่ข้างแท่นสำหรับหาม เขาทำแท่นนั้นด้วยไม้กระดานให้ข้างในกลวง
8 เขาทำขันทองสัมฤทธิ์และพานรองขันทองสัมฤทธิ์ จากกระจกเงาของบรรดาผู้หญิงที่ปรนนิบัติณประตูเต็นท์นัดพบ
9 และเขาทำลานไว้ด้วย ให้รั้วด้านใต้มีผ้าบัง ทำด้วยผ้าป่านเนื้อดียาวร้อยศอก
10 มีเสายี่สิบต้นกับฐานทองสัมฤทธิ์รองรับเสายี่สิบฐาน ขอติดเสาและราวยึดเสานั้นทำด้วยเงิน
11 ด้านเหนือยาวร้อยศอก กับเสายี่สิบต้นและฐานทองสัมฤทธิ์ยี่สิบฐาน ขอและราวยึดเสานั้นทำด้วยเงิน
12 ส่วนด้านตะวันตกมีผ้าบังยาวห้าสิบศอก กับเสาสิบต้น และฐานรองรับเสาสิบฐาน ขอและราวยึดเสาทำด้วยเงิน
13 ด้านตะวันออกใช้ผ้ายาวห้าสิบศอก
14 ผ้าบังด้านริมประตูข้างหนึ่งยาวห้าสิบศอก มีเสาสามต้นและฐานรองรับเสาสามฐาน
15 และอีกข้างหนึ่งก็เหมือนกัน ริมประตูข้างนี้และข้างโน้น มีผ้าบังยาวสิบห้าศอก มีเสาสามต้นและฐานรองรับเสา สามฐาน
16 ผ้าบังลานโดยรอบนั้นทำด้วยผ้าป่านเนื้อดี
17 ฐานรองรับเสานั้นทำด้วยทองสัมฤทธิ์ ขอติดเสาและราวยึดเสาเป็นเงิน และบัวคว่ำของเสานั้นหุ้มด้วยเงิน และเสาทุกต้นของลานมีราวยึดเสาทำด้วยเงิน
18 ม่านบังตาที่ประตูลานนั้นปักด้วยฝีมือ ของช่างปักเป็นสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้มและผ้าป่านเนื้อดี ยาวยี่สิบศอก สูงห้าศอก เสมอกับผ้าบังลาน
19 มีเสาสี่ต้นกับฐานรองรับเสาสี่ฐาน เป็นทองสัมฤทธิ์ ขอติดเสาทำด้วยเงิน และส่วนที่หุ้มบัวคว่ำ กับราวยึดเสาเป็นเงิน
20 หลักหมุดทุกหลักของพลับพลา และของลานรอบพลับพลานั้น ทำด้วยทองสัมฤทธิ์
21 นี่แหละเป็นบัญชีสิ่งของที่ใช้ใน พลับพลา คือพลับพลาพระโอวาท ซึ่งเขาทั้งหลายนับตามคำสั่งของโมเสส มีคนเลวีจัดทำตามบัญชาของอิธามาร์บุตรอาโรนปุโรหิต
22 ส่วนเบซาเลล บุตรอุรีผู้เป็นบุตรของเฮอร์แห่งเผ่ายูดาห์ ทำสิ่งสารพัดซึ่งพระเจ้าได้ทรงบัญชาโมเสสแล้ว
23 ผู้ร่วมงานกับเขาคือ โอโฮลีอับ บุตรอาหิสะมัค แห่งเผ่าดาน เป็นช่างฝีมือช่างออกแบบและช่างด้ายสี ใช้ด้ายสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และผ้าป่านเนื้อดี
24 ทองคำทั้งหมดซึ่งเขาใช้ในการสร้างวิสุทธิสถานนั้น คือทองคำที่เขานำมาถวาย มีน้ำหนักยี่สิบเก้าตะลันต์ เจ็ดร้อยสามสิบเชเขล ตามเชเขลแห่งสถานนมัสการ
25 เงินตามจำนวนชุมนุมชนได้นับไว้ รวมเป็นหนึ่งร้อยตะลันต์กับหนึ่งพันเจ็ดร้อยเจ็ดสิบห้าเชเขล ตามเชเขลแห่งสถานนมัสการ
26 คนละเบคา (คือครึ่งเชเขล ตามเชเขลของสถานนมัสการ) อันเก็บมาจากทุกคนที่ไปจดทะเบียนสำมะโนครัว คือนับตั้งแต่อายุยี่สิบปีขึ้นไป รวมหกแสนสามพันห้าร้อยห้าสิบคน
27 เงินหนึ่งร้อยตะลันต์นั้น เขาใช้หล่อทำฐานรองรับเสา ของสถานนมัสการและฐานของม่าน ฐานร้อยฐานเป็นเงินหนึ่งร้อยตะลันต์ คือฐานละหนึ่งตะลันต์
28 แต่เงินหนึ่งพันเจ็ดร้อยเจ็ดสิบห้าเชเขลนั้น เขาใช้ทำขอสำหรับเสาและหุ้มบัวคว่ำของเสานั้น และทำราวยึดเสาด้วย
29 ทองสัมฤทธิ์ที่เขานำมาถวายหนักเจ็ดสิบตะลันต์ กับสองพันสี่ร้อยเชเขล
30 ทองสัมฤทธิ์นั้นเขาใช้ทำฐานประตูเต็นท์นัดพบ และทำแท่นทองสัมฤทธิ์ และตาข่ายประดับแท่นและทำเครื่องใช้ทั้งหมดของแท่นนั้น
31 ทำฐานล้อมรอบลานและฐานที่ประตูลานหลักหมุด ทั้งหมดของพลับพลา และหลักหมุดรอบลานนั้น

อพยพ 39
1 ด้ายสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้มนั้น เขาใช้ทำเสื้อผ้าสำหรับใส่เวลาปรนนิบัติในวิสุทธิสถาน และได้ทำเครื่องยศบริสุทธิ์สำหรับอาโรน ตามที่พระเจ้าทรงบัญชาแก่โมเสส
2 เขาทำเอโฟดด้วยทองคำ ด้วยด้ายสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และเส้นป่านอย่างดี
3 เขาตีทองใบแผ่ออกเป็นแผ่นบางๆ แล้วตัดเป็นเส้นๆ เพื่อจะทอเข้ากับด้ายสีฟ้า เข้ากับด้ายสีม่วง เข้ากับด้ายสีแดงเข้ม และเข้ากับเส้นป่านอย่างดีด้วยฝีมือช่างชำนาญ
4 เขาทำแถบติดไว้ที่บ่าเพื่อโยงเอโฟด ให้ติดกับริมตอนบนทั้งสองชิ้น
5 รัดประคด ทออย่างประณีตสำหรับคาดทับเอโฟดนั้น เขาทำด้วยวัตถุอย่างเดียวกันและฝีมืออย่างเดียวกับเอโฟด คือทำด้วยทองคำ ด้ายสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และผ้าป่านเนื้อดี ตามที่พระเจ้าทรงบัญชาแก่โมเสส
6 เขาเอาแก้วโกเมนฝังไว้ในกระเปาะ ทองคำซึ่งมีลวดลายละเอียด และแกะอย่างแกะตรา เป็นชื่อบุตรชายอิสราเอล
7 แล้วเขาติดไว้กับเอโฟดบนแถบบ่านั้น เพื่อให้ระลึกถึงบรรดาบุตรแห่งอิสราเอล ตามที่พระเจ้าทรงบัญชาแก่โมเสส
8 เขาทำทับทรวงด้วยฝีมือช่างออกแบบให้ฝีมือ เหมือนกับทำเอโฟด คือทำด้วยทองคำ ด้ายสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และผ้าป่านเนื้อดี
9 เขาทำทับทรวงเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส พับทบกลางยาวคืบหนึ่ง กว้างคืบหนึ่ง เป็นสองทบด้วยกัน
10 เขาฝังแก้วสี่แถวบนทับทรวงนั้น แถวที่หนึ่งฝังทับทิม บุษราคัมน้ำอ่อนและมรกต
11 แถวที่สองฝังพลอยขี้นกการเวก ไพฑูรย์และเพชร
12 แถวที่สามฝังนิล โมราและเพทายม่วง
13 แถวที่สี่ฝังเพทาย โกเมน และมณีโชติ แก้วทั้งหมดนี้เขาได้ฝังในกระเปาะลวดลาย ละเอียด ทำด้วยทองคำ
14 แก้วเหล่านั้นมีชื่อเหล่าบุตรอิสราเอล สิบสองชื่อจารึกไว้เหมือนแกะตรา มีชื่อเผ่าทุกเผ่าตามลำดับสิบสองเผ่า
15 เขาทำสร้อยถักเกลียวด้วยทองคำบริสุทธิ์สำหรับทับทรวง
16 และเขาทั้งหลายทำลวดลายละเอียดด้วยทองคำสองอัน และห่วงทองคำสองห่วง ติดไว้ที่ปลายทั้งสองของทับทรวง
17 เขาทั้งหลายสอดสร้อยที่ทำด้วยทองคำนั้น ในห่วงที่ปลายทับทรวง
18 และปลายสร้อยอีกสองข้างนั้น เขาทั้งหลายทำติดกับกระเปาะลวดลายละเอียดทั้งสองให้ ติดไว้ข้างหน้าที่แถบยึดเอโฟดทั้งสองข้างบนบ่า
19 เขาทั้งหลายทำห่วงทองคำสองอันติดไว้ที่ขอบด้านล่าง ทั้งสองของทับทรวงข้างในติดเอโฟด
20 และเขาทั้งหลายทำห่วงสองอันด้วยทองคำ ใส่ไว้ริมเอโฟดด้านหน้า ใต้แถบที่ตะเข็บเหนือรัดประคดที่ทอด้วยฝีมือประณีต
21 และเขาทั้งหลายผูกทับทรวงนั้นติดกับเอโฟดด้วย ใช้ด้ายถักสีฟ้าร้อยผูกที่ห่วง ให้ทับทรวงทับรัดประคดซึ่งทอด้วยฝีมือประณีตของเอโฟด เพื่อมิให้ทับทรวงหลุดไปจากเอโฟดตามที่พระเจ้าทรง บัญชาแก่โมเสส
22 เขาทำเสื้อคลุมเข้าชุด กับเอโฟดด้วยด้ายสีฟ้าล้วนเป็นฝีมือทอ
23 และช่องกลางผืนเสื้อนั้น เขาทำเป็นคอเสื้อเช่นเดียว กับคอเสื้อทหารและมีขลิบรอบคอเพื่อมิให้ขาด
24 ที่ชายเสื้อคลุม เขาทั้งหลายปักเป็นรูปลูกทับทิม ใช้ด้ายสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และผ้าป่านเนื้อดี
25 เขาทั้งหลายทำลูกพรวนด้วยทองคำบริสุทธิ์ แล้วติดลูกพรวนระหว่างผลทับทิมรอบชายเสื้อคลุมนั้น
26 คือลูกพรวนลูกหนึ่ง ผลทับทิมผลหนึ่งและลูกพรวนอีกลูกหนึ่ง ผลทับทิมอีกผลหนึ่ง สลับกันดังนี้ รอบชายเสื้อคลุมนั้น สำหรับสวมเวลาปรนนิบัติพระเจ้า ตามที่พระเจ้าทรง บัญชาแก่โมเสส
27 เขาทั้งหลายทำเสื้อด้วย ผ้าป่านเนื้อดีของช่างทอผ้าสำหรับอาโรน และสำหรับบุตรชายของท่าน
28 และทำหมวกด้วยผ้าป่านเนื้อดี และผ้าโพกศีรษะงามด้วยผ้าป่านเนื้อดี และทำกางเกงด้วยผ้าป่านเนื้อดี
29 และทำรัดประคดด้วยผ้าป่านปั่นเนื้อดี และปักด้วยด้ายสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม ด้วยฝีมือช่างปัก ตามที่พระเจ้าทรงบัญชาแก่โมเสส
30 เขาทั้งหลายทำแผ่นมงกุฎศักดิ์สิทธิ์ด้วยทองคำ บริสุทธิ์จารึกคำว่า "บริสุทธิ์แด่พระเจ้า" ไว้เหมือนอย่างแกะตรา
31 แล้วเขาเอาด้ายถักสีฟ้าผูกแผ่นทองคำนั้นไว้บนมาลา ตามที่พระเจ้าทรงบัญชาแก่โมเสส
32 ดังนี้แหละเขาทำงานสำหรับพลับพลาแห่งเต็นท์นัดพบ ให้สำเร็จทุกประการ พระเจ้าทรงบัญชาแก่โมเสสไว้อย่างไร คนอิสราเอลก็กระทำอย่างนั้นทุกประการ
33 เขาจึงได้นำพลับพลามามอบไว้กับโมเสส ทั้งเต็นท์และเครื่องใช้ทั้งปวงคือ ขอ ไม้ กรอบ กลอน เสา และฐานรองรับเสา
34 เครื่องดาดพลับพลาข้างบนทำด้วยหนังแกะตัวผู้ย้อมสีแดง และหนังทาคัชและม่านสำหรับบังตา
35 หีบพระโอวาทกับไม้คานหามของหีบนั้น และพระที่นั่งกรุณา
36 โต๊ะกับเครื่องใช้ทั้งหมดบนโต๊ะนั้น และขนมปังหน้าพระพักตร์
37 คันประทีปบริสุทธิ์กับตะเกียง คือตะเกียงที่เข้าที่ และเครื่องใช้ทั้งหมดของคันประทีปนั้น และน้ำมันสำหรับ ตามตะเกียง
38 แท่นทองคำ น้ำมันเจิม เครื่องหอมสำหรับเผาบูชา และผ้าบังตาสำหรับประตูเต็นท์
39 แท่นบูชาทองสัมฤทธิ์ กับตาข่ายทองสัมฤทธิ์สำหรับแท่นนั้น ไม้คานหามและเครื่องใช้ทั้งหมดของแท่น ขันกับพานรองขัน
40 ม่านบังลานเสากับฐานรองรับ ผ้าบังตาประตูลานเชือก และหลักหมุดสำหรับลานและเครื่องใช้ทั้งหมดของพิธีการที่ พลับพลา สำหรับเต็นท์นัดพบ
41 เสื้อผ้าทำอย่างประณีต สำหรับสวมในเวลาปรนนิบัติในวิสุทธิสถาน เครื่องยศบริสุทธิ์สำหรับอาโรน เครื่องยศสำหรับบุตรอาโรน สำหรับใช้สวมในเวลาปฏิบัติในตำแหน่งปุโรหิต
42 สิ่งสารพัดที่พระเจ้าทรงบัญชาแก่ โมเสสแล้วชนชาติอิสราเอลกระทำให้สำเร็จทุกประการ
43 โมเสสจึงตรวจดูงานทั้งปวง เห็นว่าพระเจ้าทรงบัญชาไว้อย่างไร เขาก็ทำเสร็จสิ้นทุกอย่าง โมเสสจึงอวยพรแก่เขา

อพยพ 40
1 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
2 "ในวันที่หนึ่งของเดือนแรก จงตั้งพลับพลาแห่งเต็นท์นัดพบขึ้น
3 จงตั้งหีบพระโอวาทไว้ในพลับพลาและกั้นม่านบังหีบนั้นไว้
4 จงยกโต๊ะเข้ามาตั้งไว้ และจัดเครื่องบนโต๊ะไว้ตามที่ของมัน แล้วจงนำคันประทีปนั้นเข้ามาและจัดตะเกียงให้เข้าที่
5 จงตั้งแท่นบูชาทองคำสำหรับเผา เครื่องหอมตรงหน้าหีบพระโอวาท แล้วติดม่านบังตาของประตูพลับพลา
6 จงตั้งแท่นสำหรับเครื่องเผาบูชาไว้ตรงหน้าประตู พลับพลาแห่งเต็นท์นัดพบ
7 จงตั้งขันไว้ระหว่างเต็นท์นัดพบกับแท่นบูชา แล้วจงตักน้ำใส่ไว้ในขันนั้น
8 จงตั้งข้างฝาลานไว้รอบพลับพลา และติดม่านบังตาไว้ที่ประตูลานนั้น
9 จงเอาน้ำมันเจิม เจิมพลับพลากับสิ่งสารพัดซึ่งอยู่ในพลับพลานั้น และชำระเครื่องใช้ทั้งหมดให้บริสุทธิ์ แล้วพลับพลานั้นจะบริสุทธิ์
10 จงเจิมแท่นสำหรับเครื่องเผาบูชาด้วย และเครื่องใช้ทั้งหมดบนแท่นนั้น และชำระแท่นนั้นให้บริสุทธิ์ แท่นนั้นจะบริสุทธิ์ที่สุด
11 จงเจิมขันทั้งพานรองขันด้วย และชำระให้บริสุทธิ์
12 แล้วจงนำอาโรน และบุตรของท่านมาที่ประตูเต็นท์นัดพบ ใช้น้ำล้างชำระตัวเขาเสีย
13 จงนำเสื้อยศบริสุทธิ์สวมให้อาโรน แล้วเจิมและชำระเขาให้บริสุทธิ์ เพื่อเขาจะเป็นปุโรหิตปรนนิบัติเรา
14 แล้วจงนำบุตรอาโรนมาด้วย และสวมเสื้อยศให้
15 จงเจิมเขาเช่นเจิมบิดาของเขา เพื่อเขาจะเป็นปุโรหิตปรนนิบัติเรา การเจิมนั้นจะเป็นการเจิมแต่งตั้ง เขาไว้เป็นปุโรหิตเนืองนิตย์ตลอดชั่วชาติพันธุ์ของเขา"
16 พระเจ้าทรงบัญชาแก่โมเสสให้กระทำสิ่งใด ท่านก็กระทำสิ่งนั้นทุกประการ
17 ในวันที่หนึ่งเดือนแรกของปีที่สอง ท่านติดตั้งพลับพลา
18 โมเสสติดตั้งพลับพลาขึ้น คือวางฐานและตั้งไม้กรอบขึ้นไว้ สอดไม้กลอนและตั้งเสาขึ้น
19 ท่านกางผ้าเต็นท์ทับบนพลับพลา แล้วเอาเครื่องดาดคลุมบนเต็นท์ตามที่ พระเจ้าทรงบัญชาแก่โมเสส
20 ท่านเก็บพระโอวาทไว้ในหีบนั้น และสอดไม้คานหามไว้ในหีบนั้น และตั้งพระที่นั่งกรุณาไว้บนหีบ
21 แล้วท่านนำหีบเข้าไปไว้ในพลับพลา และกั้นม่านบังตาบังหีบพระโอวาทนั้นไว้ ตามที่พระเจ้าทรงบัญชาแก่โมเสส
22 ท่านตั้งโต๊ะไว้ในเต็นท์นัดพบทางทิศเหนือของพลับพลา นอกม่านนั้น
23 แล้วจัดขนมปังไว้บนโต๊ะเป็นระเบียบต่อพระพักตร์พระเจ้า ตามที่พระเจ้าทรงบัญชาโมเสสไว้
24 และท่านตั้งคันประทีปไว้ในเต็นท์นัดพบทางทิศใต้ของ พลับพลาตรงหน้าโต๊ะนั้น
25 แล้วก็จัดตะเกียงให้เข้าที่ต่อพระพักตร์พระเจ้า ตามที่พระเจ้าทรงบัญชาแก่โมเสส
26 ท่านตั้งแท่นทองคำไว้ในเต็นท์นัดพบตรงหน้าม่าน
27 และเผาเครื่องหอมบนแท่นนั้น ตามที่พระเจ้าทรง บัญชาแก่โมเสส
28 ท่านกั้นม่านบังตาที่ประตูพลับพลา
29 ท่านตั้งแท่นสำหรับเครื่องเผาบูชาไว้ตรงประตู พลับพลาแห่งเต็นท์นัดพบ แล้วถวายเครื่องเผาบูชาและเครื่องธัญญบูชาบนแท่นนั้น ตามที่พระเจ้าทรงบัญชาแก่โมเสส
30 ท่านตั้งขันไว้ระหว่างเต็นท์นัดพบกับแท่นบูชา แล้วใส่น้ำไว้ในขันสำหรับชำระล้าง
31 โมเสสกับอาโรน และบุตรชายของท่าน ล้างมือ และเท้าที่ขันนั้น
32 เวลาเขาทั้งหลายจะเข้าไปในเต็นท์นัดพบ หรือเข้าไปใกล้แท่นนั้นเมื่อไร เขาก็จะชำระล้างเสียก่อน ตามที่พระเจ้าทรงบัญชาแก่โมเสส
33 ท่านกั้นบริเวณลานรอบพลับพลา และแท่นนั้น แล้วกั้นม่านบังตาที่ตรงประตูลาน โมเสสก็จัดการนั้นให้เสร็จสิ้นไปทุกประการ
34 ในขณะนั้นมีเมฆมาปกคลุมเต็นท์นัดพบไว้ และพระสิริของพระเจ้า ก็ปรากฏอยู่เต็มพลับพลานั้น
35 โมเสสเข้าไปในเต็นท์นัดพบไม่ได้ เพราะเมฆปกคลุมอยู่ และพระสิริของพระเจ้าก็อยู่เต็มพลับพลานั้น
36 ตลอดการเดินทางของเขา เมฆนั้นถูกยกขึ้นจากพลับพลาเมื่อใด ชนชาติอิสราเอลก็ยกเดินต่อไปทุกครั้ง
37 แต่หากว่าเมฆนั้นมิได้ถูกยกขึ้นไป เขาก็ไม่ออกเดินทางเลย จนกว่าจะถึงวันที่เมฆนั้นจะถูกยกขึ้นไป
38 เพราะตลอดทางที่เขายกเดินไปนั้น ในกลางวันเมฆของพระเจ้าทรงสถิตอยู่เหนือพลับพลา และในตอนกลางคืนมีไฟในเมฆนั้นประจักษ์แก่ตา ของวงศ์วานอิสราเอลทั้งปวง


 © Copyright 2009. Christian Siam.com