Christian Siam

 

 

 

 

Christian Siam - เว็บสำหรับคนอยากรู้จักพระเจ้า

 
 :: สำหรับผู้สนใจพระเจ้า ::
Christian Siam คำถาม - คำตอบ
Christian Siam พระเยซูคือใคร
Christian Siam พระเยซูเกิดจริงหรือ?
Christian Siam เราเกิดมาทำไม
Christian Siam เราตายแล้วไปไหน
Christian Siam ทฤษฎีวิวัฒนาการ...จริง?
Christian Siam เป็นคริสเตียนได้อย่างไร
Christian Siam คำพยานชีวิต

Christian Siam
H O M E
:: สำหรับคริสเตียนใหม่ ::
:: สื่อคริสเตียนออนไลน์ ::
Christian Siam มานาประจำวัน
Christian Siam เพลงจาก Youtube
 

                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN

         CHRISTIAN SIAM.COM
         CHRISTIAN SIAM.COM
         CHRISTIAN SIAM.COM

                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN



ความน่าเชื่อถือของผู้เขียนพระคัมภีร์

                ในพระคัมภีร์มีหนังสิอ  4  เล่ม  ที่บันทึกชีวิประวัติของพระเยซู  ได้แก่ 
1. พระธรรมมัทธิว  ซึ่งผู้เขียนก็คือมัทธิวคนเก็บภาษี  ซึ่งเขาเป็นหนึ่งในสาวกของพระเยซู
2.  พระธรรมมาระโก  ผู้เขียนคือมาระโก  ผู้ช่วยของเปโตรซึ่งเป็นศิษย์เอกของพระเยซู
3.  พระธรรมลูกา  เขียนโดยคุณหมอลูกา
4.  พระธรรมยอห์น  เขียนโดยยอห์น  สาวกที่พระเยซูทรงรักที่สุด


ในคดีอาชญากรรมนั้น  สิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งในการคลี่คลายคดีก็คือ  พยานผู้เห็นเหตุการณ์  ดังนั้นเราจึงต้องมาพิสูจน์ความน่าเชื่อถือของผู้เขียนชีวประวัติของพระเยซูก่อนว่าน่าเชื่อถือแค่ไหน   เรารู้ดีว่าผู้เขียนเหล่านี้มีชีวิตอยู่ในสมัยเดียวกับพระเยซู  เขาเป็นเหมือนกับพยานผู้เห็นเหตุการณ์  ถ้าคนเหล่านี้เป็นผู้เขียนจริง  หนังสือที่เขาเขียนก็จะมีความน่าเชื่อถือ 

และจากการศึกษาพบว่าไม่มีข้อมูลหรือหลักฐานใดๆที่จะมาโต้แย้งว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่ผู้ที่เขียนพระธรรมเหล่านี้  ถ้าจะถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีคนอื่นเขียนแล้วใช้ชื่อคนเหล่านี้แอบอ้างว่าเป็นผู้เขียน  คำตอบก็คือเป็นไปไม่ได้  เพราะว่ามาระโกและลูกาไม่ได้เป็นสาวกของพระเยซู  และไม่ได้เป็นคนที่มีชื่อเสียงอะไร  คงไม่มีประโยชน์ที่จะใช้ชื่อสองคนนี้ในการแอบอ้าง  สำหรับมัทธิวเองแม้ว่าเขาจะเป็นสาวกของพระเยซู  แต่เขาก็เป็นคนเก็บภาษี  ซึ่งอาชีพนี้เป็นที่รังเกียจของสังคมยิว  เพราะคนเก็บภาษีส่วนใหญ่จะฉ้อโกง  เก็บภาษีเกินอัตราเพื่อให้ตนเองร่ำรวย  การแอบอ้างชื่อมัทธิวที่ไม่มีชื่อเสียงรวมทั้งเคยทำอาชีพที่สังคมรังเกียจจึงไม่น่าจะมีเหตุผลเท่าไร  สำหรับคนสุดท้ายคือยอห์น  แม้ว่าอาจจะมีการโต้แย้งว่ายอห์นเป็นผู้เขียนจริงหรือไม่  แต่จากหลักฐานต่างๆก็บ่งชี้ว่ายอห์นเป็นผู้เขียนเอง  ยกเว้นในช่วงหลังของพระธรรมยอห์นอาจจะเขียนโดยผู้ใกล้ชิดของเขาที่ช่วยเขียนสรุปตอนท้ายให้  แต่ก็ยังถือได้ว่ายอห์นเป็นผู้เขียนพระธรรมเล่มนี้จริงๆ  ดังนั้นในประเด็นของผู้เขียนจึงเชื่อได้ว่าคนเหล่านี้เป็นคนเขียนจริงๆไม่มีการแอบอ้างใช้ชื่อแต่อย่างใด

สำหรับหลักฐานอื่นๆที่ยืนยันว่าคนเหล่านี้เป็นคนเขียนพระธรรมเหล่านี้จริงๆก็คงเป็นบันทึกต่างๆของคนในสมัยนั้น  เช่น  ปาปิอัส  ในราว ค.ศ. 125  ได้ยืนยันว่ามาระโกเป็นผู้บันทึกสิ่งที่เปโตรเห็น  และเขาบันทึกได้อย่างไม่บิดเบือนเลย  รวมทั้งเขายังยืนยันอีกว่ามัทธิวเองก็เป็นผู้เขียนพระธรรมมัทธิวด้วยเช่นกัน  นอกจากนี้ยังมีข้อเขียนของอิเรเนียส  ในราว ค.ศ. 180  ที่ได้ยืนยันว่าคนทั้ง  4  นี้เป็นผู้เขียนพระกิติคุณทั้ง  4  เล่มด้วยตนเอง

ถ้าหากเราดูหนังสือชีวิประวัติในปัจจุบัน  จะเห็นได้ว่าเนื้อหาในหนังสือนั้นจะเป็นเรื่องราวชีวิตของคนๆนั้นตั้งแต่เกิด  เติบโต  ได้กระทำสิ่งใดๆบ้างและสุดท้ายคือการสิ้นชีวิตของคนๆนั้น  แต่เมื่อเรามาดูหนังสือชีวประวัติของพระเยซูซึ่งมาระโกเป็นคนเขียนจะพบว่าไม่มีรายละเอียดใดๆเลยเกี่ยวกับการกำเนิดของพระเยซู  นอกจากนี้เนื้อหาส่วนใหญ่จะบันทึกในช่วงเวลาสามปีที่พระเยซูได้ประกาศเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าและทำการอัศจรรย์ต่างๆ  และเกือบครึ่งหนึ่งของพระธรรมมาระโกยังเขียนเน้นไปในช่วงสัปดาห์สุดท้ายที่พระเยซูมีชีวิตอยู่บนโลกนี้  แล้วการเขียนแบบนี้จะเรียกว่าเป็นการเขียนชีวประวิติได้อย่างไร?

คำตอบสำหรับประเด็นนี้ก็คือรูปแบบการเขียนชีวิประวัติในอดีตกับในปัจจุบันนั้นแตกต่างกัน  ในสัมยโบราณนั้นการเขียนเรื่องราวของบุคคลใดบุคลหนึ่งไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญเท่าๆกันในแต่ละช่วงเวลาของชีวิต  รวมทั้งไม่จำเป็นต้องเล่าเรื่องราวตามลำดับของเหตุการณ์ต่างๆอย่างถูกต้อง  หรือการอ้างคำพูดของคนๆนั้นก็ไม่จำเป็นต้องตรงทุกตัวอักษรตราบใดที่ความหมายไม่เปลี่ยนแปลง  จุดประสงค์ของการบันทึกเรื่องราวก็คือเพราะเห็นว่ามีบทเรียนที่น่าเรียนรู้จากบุคคลที่ถูกกล่าวถึง  มีส่วนที่น่าเอาแบบอย่าง  ช่วยผู้คนได้  และมีความหมายทางประวัติศาสตร์  และสาเหตุที่มาระโกให้ความสำคัญกับเนื้อหาในช่วงสัปดาห์สุดท้ายที่พระเยซูทรงดำเนินชีวิตอยู่บนโลกก็คือ  หมายสำคัญและการอัศจรรย์ต่างๆที่พระเยซูทรงกระทำนั้นจะไร้ความหมายถ้าหากไม่มีช่วงสัปดาห์สุดท้ายของชีวิต  เพราะนี่คือวัตถุประสงค์ที่พระองค์เสด็จมาบนโลกนี้ก็เพื่อสิ้นพระชนม์  เพื่อไถ่บาปเราและในวันที่สามได้คืนพระชนม์และยังคงมีชีวิตอยู่จนถึงปัจจุบัน  ดังนั้นมาระโกซึ่งเป็นผู้เขียนหนังสือพระกิติคุณเป็นเล่มแรกจึงได้เน้นเรื่องราวของพระเยซูในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของชีวิต  โดยให้ความสำคัญยิ่งต่อเรื่องราวการตรึงบนไม้กางเขนของพระองค์

เป็นที่เชื่อต่อๆกันมาว่ามัทธิวและลูกาได้เขียนชีวิประวัติของพระเยซูโดยใช้หนังสือของมาระโกเป็นพื้นฐานในการเขียน  จึงมีคำถามว่าทำไมมัทธิวซึ่งอ้างว่าเป็นผู้เห็นเหตุการณ์กลับไม่เขียนโดยอาศัยประสบการณ์ของตนเอง  ทำไมจึงเขียนขึ้นโดยอาศัยพื้นฐานจากหนังสือของมาระโก  ทั้งๆที่มัทธิวซึ่งเป็นสาวกของพระเยซูน่าจะใกล้ชิดกับพระองค์มากกว่ามาระโก  คำตอบก็คือมาระโกบันทึกโดยอาศัยการราบรวมเรื่องราวจากเปโตรซึ่งเป็นสาวกวงในที่ใกล้ชิดพระเยซู  ซึ่งเปโตรอาจเห็นและได้ยินในสิ่งที่สาวกคนอื่นๆอาจไม่ได้เห็นหรือได้ยิน  จึงเป็นไปได้ที่มัทธิวจะอาศัยความคิดของเปโตรในการเขียนซึ่งได้ถ่ายทอดผ่านทางมาระโก  ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกเลย  เพราะการต้องการความถูกต้องในการเขียนจึงต้องอาศัยข้อเท็จจริงจากเปโตรที่เป็นสาวกวงในเป็นแหล่งอ้างอิง

ดังนั้นชีวประวัติของพระเยซูในพระธรรมมัทธิว  มาระโก  และลูกา  จึงคล้ายคลึงกัน  มีโครงสร้างและความสัมพันธ์คล้ายๆกัน  แต่พระธรรมยอห์นนั้นมีความแตกต่าง  เพราะพระธรรมยอห์นเป็นพระธรรมที่เขียนขึ้นหลังสุด  มีเพียงเรื่องสำคัญไม่กี่เรื่องที่ปรากฏในพระธรรมทั้ง 3  เล่มและปรากกฏในยอห์นอีก  ทั้งนี้เพราะยอห์นรู้ในสิ่งที่มัทธิว มาระโก  และลูกาเขียนเป็นอย่างดีแล้วจึงไม่มีความจำเป็นต้องเขียนอีก  สิ่งที่แตกต่างที่มีในพระธรรมยอห์นก็คือการเน้นว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าอย่างตรงไปตรงมา  นั่นก็คือการประกาศว่าพระเยซูทรงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระบิดา เป็นพระเจ้า  เป็นทางนั้น เป็นความจริง  และเป็นชีวิต  และมีทางพระเยซูทางเดียวเท่านั้นที่จะช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากบาปได้  แต่พระธรรมยอห์นก็ไม่ได้แตกต่างไปจากเล่มอื่นๆ  เพราะพระธรรม  3 เล่มแรกก็ได้บันทึกถึงการเป็นพระเจ้าของพระเยซูไว้เช่นกัน  อย่างเรื่องที่พระเยซูทรงเดินบนน้ำใน  มัทธิว 4:22-33  และมาระโก  6:45-52  พระองค์ทรงตรัสว่า  “อย่ากลัวเลย  เป็นเราเอง”   ซึ่งคำว่าเป็นเราเองนั้นมีความหมายเดียวกับในพระธรรมยอห์น  8:58  และเป็นคำเดียวกับคำว่า  “เราเป็น” เมื่อพระเจ้าปรากฏแก่โมเสสในพุ่มไม้ใน อพยบ  3:14  แม้ว่าในพระธรรมทั้ง  3  เล่มก่อนหน้าไม่ได้พูดถึงความเป็นพระเจ้าอย่างตรงไปตรงมา  แต่สิ่งที่บันทึกไว้ก็ได้ชี้ชัดว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า  อย่างเช่นการที่พระเยซูทรงยกบาป  เพราะมีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ยกบาปได้  หรือการที่พระเยซูตรัสว่า  ผู้ที่รับเรา  เราก็จะรับผู้นั้นต่อพระบิดาในสวรรค์  นี่เป็นเรื่องราวของการพิพากษาในวันสุดท้าย  ซึ่งมีพระเยซูผู้เป็นพระเจ้าเท่านั้นที่จะช่วยเราให้รอดพ้นจากการพิพากษา z จากบึงไฟนรกได้  ดังนั้นจึงไม่มีความแตกต่างหรือขัดแย้งใดๆในพระธรรมยอห์นกับอีก  3 เล่ม  เพียงแต่พระธรรมยอห์นได้ชี้ชัดและเน้นหนักความเป็นพระเจ้าของพระเยซูอย่างตรงไปตรงมามากกว่าสามเล่มแรก

เรียบเรียงโดย พายุแห่งความเปรมปรีดิ์


Back
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8
| 9 Next

 © Copyright 2009. Christian Siam.com