Christian Siam

 

 

 

 

Christian Siam - เว็บสำหรับคนอยากรู้จักพระเจ้า

 
 :: สำหรับผู้สนใจพระเจ้า ::
Christian Siam คำถาม - คำตอบ
Christian Siam พระเยซูคือใคร
Christian Siam พระเยซูเกิดจริงหรือ?
Christian Siam เราเกิดมาทำไม
Christian Siam เราตายแล้วไปไหน
Christian Siam ทฤษฎีวิวัฒนาการ...จริง?
Christian Siam เป็นคริสเตียนได้อย่างไร
Christian Siam คำพยานชีวิต

Christian Siam
H O M E
:: สำหรับคริสเตียนใหม่ ::
:: สื่อคริสเตียนออนไลน์ ::
Christian Siam มานาประจำวัน
Christian Siam เพลงจาก Youtube
 

                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN

         CHRISTIAN SIAM.COM
         CHRISTIAN SIAM.COM
         CHRISTIAN SIAM.COM

                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN



2.4 ความรัก

"เจ้าจงอยู่กินด้วยความชื่นชมยินดีกับภรรยาซึ่ง เจ้ารักตลอดชีวิตอนิจจังของเจ้า ซึ่งพระองค์ได้ประทานให้แก่เจ้าภายใต้ดวงอาทิตย์ ตลอดปีเดือนอนิจจังของเจ้า ด้วยว่านั่นเป็นส่วนในชีวิตและในการงานของเจ้า ซึ่งเจ้าได้ออกแรงกระทำภายใต้ดวงอาทิตย์" (ปัญญาจารย์ 9:9)

คริสเตียนสยาม - เว็บสำหรับคนอยากรู้จักพระเจ้า  พระเยซู  อยากเป็นคริสเตียนหรืออยากไปโบสถ์
แม้ว่าซาโลมอนจะทรงส่งเสริมให้มีการแต่งงาน  แต่พระองค์ทรงตระหนักดีว่า  ความหมายและเป้าหมายของชีวิตไม่ได้อยู่ที่ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์

คำว่า "อนิจจัง" ในข้อ 9 ที่พระองค์ทรงใช้นั้น  ก็เพื่อจะเน้นว่า คำแนะนำของพระองค์เกี่ยวกับการแสวงหาความสุขจากสามีหรือภรรยาของตัวเองเป็นคำแนะนำที่อาจจะช่วยให้ชีวิตทนทานได้มากขึ้นบ้าง  แม้ว่ามันจะไม่ได้อธิบายความหมายของชีวิตเลยก็ตาม

จากประสบการณ์  พระองค์ทรงพบว่า  ความสัมพันธ์ที่เกิดจากการแต่งงานนั้น  ไม่ใช่คำตอบสำหรับความต้องการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจิตใจของมนุษย์  ซาโลมอนทรงวิวาห์มาแล้วเจ็ดร้อยครั้ง  และมีนางห้ามอีกสามร้อยคน  แต่พระองค์ทรงทราบดีว่า  พระราชวังพร้อมด้วยมเหสีมากมาย ไม่สามารถทดแทนความต้องการพระเจ้าของพระองค์ได้

ซาโลมอนยังทรงมองเห็นถึงคุณค่าของมิตรภาพด้วย

"8 คือ คนหนึ่งอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีบุตรหรือพี่น้อง แต่เขาทำการงานไม่หยุดหย่อน ตาของเขาไม่เคยอิ่มความมั่งคั่ง เขาไม่เคยคิดว่า “ข้าตรากตรำทำงานและตัวข้าอดๆอยากๆเพื่อผู้ใด” นี่ก็อนิจจังด้วยและเป็นเรื่องสามานย์
9 สองคนดีกว่าคนเดียว เพราะว่าเขาทั้งสองได้รับผลของงานดี
10 ด้วยว่าถ้าคนหนึ่งล้มลง อีกคนหนึ่งจะได้พยุงเพื่อนของตนให้ลุกขึ้น แต่วิบัติแก่คนนั้นที่อยู่คนเดียวเมื่อเขาล้มลง และไม่มีผู้อื่นพยุงยกเขาให้ลุกขึ้น
11 อนึ่ง ถ้าสองคนนอนอยู่ด้วยกัน เขาก็อบอุ่น แต่ถ้านอนคนเดียวจะอุ่นอย่างไรได้เล่า 12แม้คนหนึ่งสู้คนเดียวได้ สองคนคงสู้เขาได้แน่ เชือกสามเกลียวจะขาดง่ายก็หามิได้" (ปัญญาจารย์ 4:8-12)


ซาโลมอนทรงชี้ให้เราเห็นว่า  บุคคลที่มีเพื่อนร่วมด้วยในการดำเนินชีวิต ก็ดีกว่าคนที่อยู่เพียงลำพัง และต้องช่วยเหลือตัวเอง  เพราะเพื่อนสามารถช่วยให้การงานเกิดผล  ช่วยในยามที่มีปัญหา  ทำให้ทนต่อภาวะยากลำบากได้ และ ช่วยเสริมกำลังในเวลาที่ข้าศึกโจมตี

มิตรภาพมีคุณค่าพอที่เราจะมีชีวิตอยู่เพื่อมันหรือไม่ ?

หากว่าเราเกิดเรือแตก และต้องติดอยู่บนเกาะร้าง  การมีใครสักคนอยู่ด้วยน่าจะช่วยให้อุ่นใจกว่า  แต่มิตรภาพก็ไม่ได้ช่วยให้คุณออกจากเกาะได้

แม้ว่าซาโลมอนจะยกย่องคุณงามความดีของความรักและการช่วยเหลือผู้อื่น


"จงปันส่วนหนึ่งให้แก่คนเจ็ดคน เออ ถึงแปดคนก็ให้เถอะ
เพราะเจ้าไม่ทราบว่า สิ่งสามานย์อย่างใดจะบังเกิดขึ้นบนพื้นแผ่นดิน" (ปัญญาจารย์ 11:2)


 แต่พระองค์ทรงตระหนักดีว่า การแสดงความรักต่อผู้อื่น ไม่ได้ให้เป้าหมายกับชีวิตที่ปราศจากเป้าหมาย  และนั่นก็คือเหตุผลที่พระองค์ทรงย้ำอยู่ตลอดเวลาถึงความจำเป็นที่เราต้องให้พระเจ้าเข้าไปมีส่วนในชีวิตนี้และในชีวิตภายหน้า (ปัญญาจารย์ 2:24-25; 3:13,14,17; 5:1-7; 7:13-18; 8:12-17; 11:7-10; 12:1-14)

อย่างไรก็ดี  ผู้คนมากมายไม่ยอมให้พระเจ้าเข้าไปมีบทบาทในชีวิต  คนเหล่านั้นพูดเหมือนไม่กลัวการพิพากษาที่จะมาถึง  ไม่สนใจที่จะแสดงความรักต่อพระเจ้า  พวกเขาเชื่อว่าเป้าหมายในการมีชีวิตอยู่ก็เพื่อที่จะรักผู้อื่น และทำให้โลกนี้เป็นที่ที่น่าอยู่มากขึ้น  โดยเหตุผลว่า  ถ้าหากเราทุกคนติดอยู่บนโลกใบนี้ด้วยกัน  เราก็น่าจะพยายามปรับตัวเข้าหากัน และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

ยกตัวอย่างเช่น  นักเรียนคนหนึ่งได้อธิบายถึงเหตุผลที่จะมีชีวิตอยู่  โดยกล่าวว่า "ฉันพยายามที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อสร้างสรรค์สิ่งที่ดี  ฉันพยายามที่จะเป็นคนดี  ฉันไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า  แต่ฉันพยายามมีชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่น"

มีอะไรที่สำคัญกว่าการรักผู้อื่นอีก ?

การพยายามทำเป็นคนใจบุญ เป็นสิ่งที่ประเสริฐและน่ายกย่อง  คุณสามารถพบข้อพระคัมภีร์หลายข้อที่สอนให้มนุษย์รักซึ่งกันและกัน
พระเยซูคริสต์ทรงตรัสว่า


"... จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง" (มัทธิว 22:39)

และพระองค์ได้เน้นถึงความจำเป็นที่เราต้องรักผู้อื่นเมื่อทรงเล่าถึงเรื่องของชาวสะมาเรียใจดี (ลูกา 10:25-37)


"โลกของเรานั้นเต็มไปด้วยผู้คนที่เห็นแก่ตัว  ตื่นกลัว และตื้น ๆ"
ชาร์ลส์ โคลสัน


แต่เราต้องไม่ลืมว่า พระเยซูคริสต์ทรงสอนให้เรารักเพื่อนบ้าน  เพราะนั่นเป็นการแสดงออกถึงความรักที่เรามีต่อพระเจ้า

"เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น" (ยอห์น 13:34)
"9 พระบิดาทรงรักเราฉันใด เราก็รักท่านทั้งหลายฉันนั้น จงยึดมั่นอยู่ในความรักของเรา
10 ถ้าท่านทั้งหลายประพฤติตามบัญญัติของเรา ท่านก็จะยึดมั่นอยู่ในความรักของเรา เหมือนดังที่เราประพฤติตามพระบัญญัติของพระบิดา และยึดมั่นอยู่ในความรักของพระองค์
11 นี่คือสิ่งที่เราได้บอกแก่ท่านทั้งหลายแล้ว เพื่อให้ความยินดีของเราดำรงอยู่ในท่าน และให้ความยินดีของท่านเต็มเปี่ยม
12 พระบัญญัติของเรา คือให้ท่านทั้งหลายรักกัน เหมือนดังที่เราได้รักท่าน" (ยอห์น 15:9-12)


พระเยซูคริสต์ได้ทรงตรัสถึงคำสั่งที่ให้เรารักพระเจ้าว่า เป็นธรรมบัญญัติข้อใหญ่สุด

"37 จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดใจสุดจิตของเจ้า และด้วยสิ้นสุดความคิดของเจ้า
38 นั่นแหละเป็นพระบัญญัติข้อใหญ่ และข้อต้น" (มัทธิว 22:37-38)


ความรักที่เรามีต่อเพื่อนบ้านของเรานั้นเป็นสิ่งที่น่ายกย่อง  แต่ยังไม่เพียงพอ  และเป็นสิ่งที่กินลมกินแล้ง หากว่าคุณไม่ได้รักพระเจ้าก่อน

เมื่อใดความรักของเราจึงจะมีคุณค่าถาวรได้ ?

ในหนังสือปัญญาจารย์  ซาโลมอนทรงตรัสถึงความโง่และการทำลายล้างซึ่งเกิดจากการไม่รักผู้อื่น (4:8; 7:9; 9:18)  แม้ว่าพระองค์จะทรงเชิญชวนให้ผู้อ่านแสวงหาความเพลิดเพลินในความสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์  แต่พระองค์ทรงชี้ให้เราเห็นถึงความจำเป็นที่เราต้องให้ความสำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้าเป็นอันดับแรก

"จบเรื่องแล้ว ได้ฟังกันทั้งสิ้นแล้ว จงยำเกรงพระเจ้า และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ เพราะนี่แหละเป็นหน้าที่ของมนุษย์ทั้งปวง" (ปัญญาจารย์ 12:13)


และเพื่อให้ประเด็นที่พระองค์ทรงกล่าวนั้นสมบูรณ์จริง ๆ  พระองค์ยังทรงตรัสถึงความสิ้นหวังของการมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง


"หนังสือปัญญาจารย์นั้น เริ่มต้นโดยกล่าวว่าไม่มีสิ่งใดที่มีความหมาย
แต่จบลงโดยกล่าวว่าทุกสิ่งมีความหมาย"


ถ้าไม่มีความรู้ของพระเจ้า  เราอาจสรุปได้ว่าชีวิตของมนุษย์ก็ไม่ต่างอะไรจากสัตว์

"18 ข้าพเจ้ารำพึงในใจของข้าพเจ้าเกี่ยวกับบรรดาบุตร ของมนุษย์ว่า พระเจ้าทรงทดสอบเขาเพื่อจะสำแดงว่าเขาเป็นเพียงสัตว์
19 เพราะว่าเคราะห์ของบรรดามนุษยชาติกับเคราะห์ของ สัตว์เดียรัจฉานนั้นเหมือนกัน ฝ่ายหนึ่งตาย อีกฝ่ายหนึ่งก็ตายเหมือนกัน ทั้งสองมีลมหายใจอย่างเดียวกัน และมนุษย์ไม่มีอะไรดีกว่าสัตว์เดียรัจฉาน เพราะสารพัดก็อนิจจัง
20 ทุกอย่างไปยังที่เดียวกัน ทุกอย่างเป็นมาจากผงคลีดิน และทุกอย่างกลับเป็นผงคลีดินอีก
21 ใครรู้ว่าจิตวิญญาณของมนุษย์ไปสู่เบื้องบนหรือเปล่า และวิญญาณของสัตว์เดียรัจฉานลงไปสู่พิภพโลกหรือเปล่า" (ปัญญาจารย์ 18-21)


เราคงไม่อาจรู้ว่าจิตวิญญาณของมนุษย์ยังคงอยู่เพื่อรอการพิพากษาจากพระเจ้าในเวลาที่กำลังจะมาถึง  การพยายามทำเป็นคนใจบุญนั้นไม่ได้ให้คุณค่านิรันดร์

พระธรรม 1โครินธ์ 13 ซึ่งเป็นบทที่บรรยายถึงความรักได้อย่างยอดเยี่ยมนั้น  ได้ประกาศถึงความยิ่งใหญ่แห่งความรัก  แต่ความรักที่พูดถึงนั้นจะเป็นจริงได้เฉพาะกับ
คนที่รู้จักความหมายของการได้รับความรักจากพระเจ้า และการที่จะรักพระเจ้าเท่านั้น

การรักผู้อื่น  แม้ว่าจะดีสักเพียงใดก็ตาม  ก็ยังไม่พอที่จะเป็นรากฐานในชีวิตของเรา  เราจำเป็นต้องมีเหตุผลที่จะรักนอกเหนือไปจากชีวิตที่เรามีอยู่ในโลกใบนี้  ซึ่งเป็นความรักที่มีรากฐานอยู่ในความรักของพระเจ้า (ยอห์น 4:7 - 5:3)

คิดทบทวน

  • คุณใช้เวลามากน้อยเพียงไรในการสร้างมิตรภาพ หรือกับชีวิตสมรส  และคุณได้อุทิศเวลามากแค่ไหนในการสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้า ?
  • ความรักที่คุณมีต่อผู้อื่นอย่างถูกต้องนั้น  จะสามารถสะท้อนให้เขาเห็นถึงความรักที่คุณมีต่อพระเจ้าโดยตรงได้อย่างไร ?

"20 ถ้าผู้ใดว่า 'ข้าพเจ้ารักพระเจ้า' และใจยังเกลียดชังพี่น้องของตน ผู้นั้นก็เป็นคนพูดมุสา เพราะว่าผู้ที่ไม่รักพี่น้องของตนที่แลเห็นแล้ว จะรักพระเจ้าที่ไม่เคยเห็นไม่ได้
21 พระบัญญัตินี้เราทั้งหลายก็ได้มาจากพระองค์ คือว่าให้คนที่รักพระเจ้านั้นรักพี่น้องของตนด้วย" (1ยอห์น 4:20-21)

  • ลองใคร่ครวญดูสิว่า  คุณปรารถนาที่จะรู้จักและทำให้พระคริสต์พอพระทัยมากแค่ไหน ?  ทำอย่างไรที่จะเพิ่มพูนความปรารถนาอยากรู้จักกับพระเจ้าให้มากขึ้นในชีวิตของคุณ ?

"7 แต่ว่าสิ่งใดที่เคยเป็นคุณประโยชน์แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าถือว่าสิ่งนั้นไร้ประโยชน์แล้ว เพื่อเห็นแก่พระคริสต์
8 ที่จริงข้าพเจ้าถือว่าสิ่งสารพัดไร้ประโยชน์ เพราะเห็นแก่ความประเสริฐแห่งความรู้ถึงพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า เพราะเหตุพระองค์ ข้าพเจ้าจึงได้ยอมสละสิ่งสารพัด และถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนหยากเยื่อเพื่อข้าพเจ้าจะได้พระคริสต์
9 และจะได้ปรากฏอยู่ในพระองค์ ไม่มีความชอบธรรมของข้าพเจ้าเอง ซึ่งได้มาโดยธรรมบัญญัติ แต่มีมาโดยความเชื่อในพระคริสต์ เป็นความชอบธรรมซึ่งมาจากพระเจ้าซึ่งขึ้นอยู่กับความเชื่อ
10 ข้าพเจ้าต้องการจะรู้จักพระองค์ และได้รับประสบการณ์ในฤทธิ์เดช เนื่องในการที่พระองค์ทรงคืนพระชนม์นั้น และร่วมทุกข์กับพระองค์ คือยอมตั้งอารมณ์ตายเหมือนพระองค์
11 ถ้าเป็นไปได้ข้าพเจ้าก็จะได้เป็นขึ้นมาจากความตายด้วย" (ฟิลิปปี 3:7-11)

เขียนโดย เคิร์ท เดอ ฮาน
แปลโดย ปาริชาติ แสงอัมพร
เรียบเรียงโดย ชนิดา จิตตรุทธะ
จากหนังสือ ฉันมาอยู่ในโลกนี้ทำไม ?

Back 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 Next

 © Copyright 2009. Christian Siam.com