Christian Siam

 

 

 

 

Christian Siam - เว็บสำหรับคนอยากรู้จักพระเจ้า

 
 :: สำหรับผู้สนใจพระเจ้า ::
Christian Siam คำถาม - คำตอบ
Christian Siam พระเยซูคือใคร
Christian Siam พระเยซูเกิดจริงหรือ?
Christian Siam เราเกิดมาทำไม
Christian Siam เราตายแล้วไปไหน
Christian Siam ทฤษฎีวิวัฒนาการ...จริง?
Christian Siam เป็นคริสเตียนได้อย่างไร
Christian Siam คำพยานชีวิต

Christian Siam
H O M E
:: สำหรับคริสเตียนใหม่ ::
:: สื่อคริสเตียนออนไลน์ ::
Christian Siam มานาประจำวัน
Christian Siam เพลงจาก Youtube
 

                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN

         CHRISTIAN SIAM.COM
         CHRISTIAN SIAM.COM
         CHRISTIAN SIAM.COM

                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN



เยเรมีย์

1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |

16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |

31 | 32 | 33 | 34 | 35 | 36 | 37 | 38 | 39 | 40 | 41 | 42 | 43 | 44 | 45 |

46 | 47 | 48 | 49 | 50 | 51 | 52

เยเรมีย์ 1
1 ถ้อยคำของเยเรมีย์ บุตรของฮิลคียาห์ผู้หนึ่งในหมู่ปุโรหิต ผู้อยู่ตำบลอานาโธท ในแผ่นดินของเผ่าเบนยามิน
2 พระวจนะของพระเจ้ามาถึงเยเรมีย์ในรัชกาลโยสิยาห์ โอรสของอาโมน พระราชาแห่งยูดาห์ในปีที่สิบสามของรัชกาลนี้
3 และมีมาในรัชกาลของเยโฮยาคิม โอรสของโยสิยาห์พระราชาแห่งยูดาห์ จนถึงปลายปีที่สิบเอ็ดแห่งรัชกาล เศเดคียาห์ โอรสของโยสิยาห์พระราชาแห่งยูดาห์ จนถึงการกวาดเยรูซาเล็มไปเป็นเชลยในเดือนที่ห้า
4 พระวจนะของพระเจ้ามาถึงข้าพเจ้าว่า
5 "เราได้รู้จักเจ้า ก่อนที่เราได้ก่อร่างตัวเจ้าที่ในครรภ์ และก่อนที่เจ้าคลอดจากครรภ์ เราก็ได้กำหนดตัวเจ้าไว้ เราได้แต่งตั้งเจ้าเป็นผู้เผยพระวจนะให้แก่ บรรดาประชาชาติ"
6 แล้วข้าพเจ้าก็กราบทูลว่า "ข้าแต่พระเจ้า ดูเถิด ข้าพระองค์พูดไม่เป็นเพราะว่าข้าพระองค์เป็นเด็ก"
7 แต่พระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า "อย่าว่าเจ้าเป็นแต่เด็ก เพราะเจ้าต้องไปหาทุกคนที่เราใช้ให้เจ้าไป และเราบัญชาเจ้าอย่างไรบ้างเจ้าต้องพูด
8 อย่ากลัวหน้าเขาเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า จะช่วยกู้เจ้าไว้ พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ"
9 แล้วพระเจ้าทรงเหยียดพระหัตถ์ของพระองค์ถูกต้องปากข้าพเจ้า และพระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า "ดูเถิด เราเอาถ้อยคำของเราใส่ในปากของเจ้า
10 ดูซิ ในวันนี้เราได้ตั้งเจ้าไว้เหนือบรรดาประชาชาติ และเหนือราชอาณาจักรทั้งหลาย ให้ถอนออกและให้พังลง ให้ทำลายและให้คว่ำเสีย ให้สร้างและให้ปลูก"
11 และพระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้าว่า "เยเรมีย์เอ๋ย เจ้าเห็นอะไร" ข้าพเจ้ากราบทูลว่า "ข้าพระองค์เห็นไม้ตะพดอัลมันด์อันหนึ่ง"
12 แล้วพระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า "เจ้าเห็นถูกต้องดีแล้ว เพราะเราเฝ้าดูถ้อยคำของเรา เพื่อให้กระทำสำเร็จ"
13 พระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้าครั้งที่สองว่า "เจ้าเห็นอะไร" ข้าพเจ้ากราบทูลว่า "ข้าพระองค์เห็นหม้อกำลังเดือดอยู่หม้อหนึ่ง หันหน้าไปจากทิศเหนือ"
14 แล้วพระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า "เหตุร้ายจะระเบิดจากทิศเหนือมาเหนือชาวแผ่นดินนี้ทั้งสิ้น
15 เพราะนี่แน่ะ เรากำลังร้องเรียกเผ่า ทั้งปวงแห่งบรรดาราชอาณาจักรทิศเหนือ พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ เขาทั้งหลายจะมา และต่างก็จะวางบัลลังก์ของตนไว้ ที่ตรงทางเข้าประตูกรุงเยรูซาเล็ม ตั้งสู้ล้อมรอบกำแพง และตั้งสู้หัวเมืองทั้งสิ้นของยูดาห์
16 และเราจะกล่าวคำพิพากษาของเราต่อหัวเมืองเหล่านั้น เพราะความชั่วร้ายของเขาในการที่ได้ทอดทิ้งเรา และได้เผาเครื่องหอมบูชาพระอื่น และนมัสการสิ่งที่มือของตนได้กระทำไว้
17 ส่วนเจ้าจงคาดเอวของเจ้าไว้ จงลุกขึ้นและบอกทุกอย่างที่เราบัญชาเจ้าไว้นั้นให้เขาฟัง อย่าหงอเพราะเขาเลย เกรงว่าเราจะทำให้เจ้าหงอต่อหน้าเขาทั้งหลาย
18 ฝ่ายเรา ดูเถิด ในวันนี้เรากระทำให้เจ้าเป็น เมืองมีป้อมเป็นเสาเหล็ก และเป็นกำแพงทองสัมฤทธิ์ สู้กับแผ่นดินทั้งหมด สู้กับบรรดาพระราชาแห่งยูดาห์ กับเจ้านาย กับปุโรหิตและกับราษฎรนี้
19 เขาทั้งหลายต่อสู้กับเจ้า แต่จะไม่ชนะเจ้า เพราะเราอยู่กับเจ้า เพื่อจะช่วยกู้เจ้าไว้ พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ"

เยเรมีย์ 2
1 พระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้าว่า
2 "จงไปประกาศกรอกหูของกรุงเยรูซาเล็มว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เรายังจำการจงรักภักดีในวัยสาวของเจ้าได้ ความรักของเจ้าครั้งเจ้าเป็นสาว เจ้าตามเรามาในถิ่นทุรกันดาร ในดินแดนที่ไม่ได้หว่านพืชอะไร
3 อิสราเอลนั้นเป็นส่วนบริสุทธิ์ของพระเจ้า คือเป็นผลิตผลรุ่นแรกของพระองค์ คนทั้งปวงที่ได้กินผลนั้นก็ผิด เหตุร้ายจึงมาถึงเขา พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ"
4 เชื้อสายของยาโคบ และบรรดาตระกูลเชื้อสายของอิสราเอลเอ๋ย จงฟังพระวจนะของพระเจ้า
5 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า "บรรพบุรุษของเจ้าจับความอะไรได้ในเราเล่า เขาจึงไปห่างเสียจากเรา และไปติดตามสิ่งไร้ค่า และได้กลายเป็นสิ่งไร้ค่า
6 เขาทั้งหลายมิได้กล่าวว่า 'พระเจ้าประทับที่ไหน ผู้ได้พาเราขึ้นมาจากแผ่นดินอียิปต์ ผู้ได้นำเราอยู่ในป่าถิ่นทุรกันดาร ในแดนทะเลทรายมีหลุม ในแดนที่กันดารน้ำและมีความมืดทึบ ในแผ่นดินที่ไม่มีผู้ใดผ่านไปได้ และไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่ที่นั่น'
7 และเราได้พาเจ้าทั้งหลายเข้ามาในแผ่นดินเรือกสวนไร่นา เพื่อลิ้มรสผลไม้และของดีๆ แต่เมื่อเจ้าเข้ามา เจ้าได้กระทำให้แผ่นดินของเราเป็นมลทิน และกระทำให้มรดกของเราเป็นสิ่งที่น่าเกลียดน่าชัง
8 ปุโรหิตทั้งหลายมิได้กล่าวว่า 'พระเจ้าประทับที่ไหน' คนเหล่านั้นที่แถลงธรรมไม่รู้จักเรา บรรดาผู้ปกครองก็ทรยศต่อเรา พวกผู้เผยพระวจนะ ได้เผยพระวจนะโดยพระบาอัล และดำเนินติดตามสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์
9 พระเจ้าตรัสว่า "เพราะฉะนั้นเราก็ยังโต้แย้งกับเจ้า เราจะโต้แย้งกับลูกหลานของเจ้า
10 เหตุว่า จงข้ามไปยังฝั่งเกาะไซปรัสแล้วก็ดู หรือใช้คนไปถึงเมืองเคดาร์ และพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ดูทีว่าเคยมีสิ่งอย่างนี้บ้างไหม
11 มีประชาชาติใดเคยได้เปลี่ยนพระของตน ถึงแม้ว่าพระเหล่านั้นไม่เป็นพระ แต่ประชากรของเราได้เอาศักดิ์ศรีของเขา แลกกับสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์อย่างใด"
12 พระเจ้าตรัสว่า "สวรรค์ทั้งหลายเอ๋ย จงตกตะลึงด้วยสิ่งเหล่านี้ จงสยดสยองและจงเริศร้างเสียเลย
13 เพราะว่าประชากรของเราได้กระทำ ความชั่วถึงสองประการ เขาได้ทอดทิ้งเราเสีย ซึ่งเป็นแหล่งน้ำเป็น แล้วสกัดหินขังน้ำไว้สำหรับตนเอง เป็นแอ่งแตกที่ขังน้ำตาย ซึ่งขังน้ำไม่ได้
14 อิสราเอลเป็นทาสเขาหรือ หรือเป็นทาสที่เกิดมาในบ้าน เหตุใดเขาจึงตกไปเป็นเหยื่อ
15 สิงห์หนุ่มคำรามเข้าใส่เขา มันคำรามเสียงดังมาก และมันทั้งหลายได้กระทำให้เมืองของเขาทิ้งร้างว่างเปล่า หัวเมืองทั้งหลายของเขาก็ปรักหักพัง ไม่มีคนอาศัยอยู่
16 ยิ่งกว่านั้นอีก ประชาชนเมืองเมมฟิสและเมืองทาปานเหส ได้ทุบกระหม่อมของเจ้าแล้ว
17 เจ้าหาเรื่องเหล่านี้ให้มาใส่ตัวเจ้าเอง โดยการทอดทิ้งพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของเจ้า เมื่อพระองค์ทรงนำเจ้าไปตามทางมิใช่หรือ
18 บัดนี้เจ้าได้อะไรด้วยการลงไปยังอียิปต์ เพื่อดื่มน้ำในแม่น้ำไนล์ หรือเจ้าได้อะไรด้วยการที่ลงไปยังอัสซีเรีย เพื่อดื่มน้ำในแม่น้ำยูเฟรติส
19 ความโหดร้ายของเจ้าจะตีสอนเจ้าเอง และการที่เจ้ากลับสัตย์นั้นเองจะตำหนิเจ้า เจ้าจงรู้และเห็นเถิดว่ามันเป็นความชั่วและความขมขื่น ซึ่งจะทอดทิ้งพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของเจ้า ซึ่งความยำเกรงเรา มิได้อยู่ในตัวเจ้าเลย พระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้แหละ
20 "เพราะว่านานมาแล้วเจ้าหักแอกของเจ้า และระเบิดพันธนะของเจ้าเสีย และเจ้าได้กล่าวว่า 'ข้าจะไม่ปรนนิบัติ' เออ เจ้าได้โน้มตัวลงเล่นชู้ บนเนินเขาสูงทุกแห่ง และใต้ต้นไม้เขียวสดทุกต้น
21 แต่เราได้ปลูกเจ้าไว้เป็นเถาองุ่นอย่างดี เป็นพันธุ์แท้ทั้งนั้น แล้วทำไมเจ้าเสื่อมทรามลง จนกลายเป็นเถาเปรี้ยวไปได้
22 พระเจ้าตรัสว่า ถึงแม้ว่าเจ้าชำระตัวด้วยน้ำด่าง และใช้สบู่มาก แต่รอยเปื้อนความผิดบาปของเจ้าก็ยังปรากฏอยู่ต่อเรา
23 เจ้าจะพูดได้อย่างไรว่า 'ข้าไม่เป็นมลทิน ข้ามิได้ติดตามบรรดาพระบาอัลไป' จงมองดูท่าทางของเจ้าที่ในหุบเขาซิ จงสำนึกซิว่าเจ้าได้กระทำอะไร เหมือนอูฐสาวคะนองอยู่ไม่สุข
24 เหมือนลาป่าที่คุ้นเคยกับถิ่นทุรกันดาร ได้สูดลมด้วยความอยากอันรุนแรงของมัน ใครจะระงับความใคร่ของมันได้ บรรดาที่แสวงหามันจะไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย เมื่อถึงเดือนที่กำหนดของมันจะพบมันเอง
25 ระวังอย่าให้เท้าของเจ้าขาดรองเท้า และระวังลำคอของเจ้าให้พ้นจากความกระหาย แต่เจ้ากล่าวว่า 'หมดหวังเสียแล้ว เพราะข้าได้รักพระอื่น และข้าจะติดตามไป'
26 "เมื่อโจรถูกจับมีความละอายฉันใด เชื้อสายของอิสราเอลก็จะละอายฉันนั้น ทั้งตัวเขา พระราชา เจ้านาย ปุโรหิต และผู้เผยพระวจนะของเขา
27 ผู้กล่าวแก่ต้นไม้ว่า 'ท่านเป็นบิดาของข้าพเจ้า' และกล่าวแก่ศิลาว่า 'ท่านคลอดข้าพเจ้ามา' เพราะเขาทั้งหลายได้หันหลังให้แก่เรา มิใช่หันหน้ามาให้ แต่เมื่อถึงเวลาลำบากเขากล่าวว่า 'ขอทรงลุกขึ้นช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้พ้น'
28 แต่บรรดาพระของเจ้าอยู่ที่ไหนเล่า ซึ่งเป็นพระที่เจ้าสร้างไว้สำหรับตัวเอง ถ้ามันช่วยเจ้าให้พ้นได้ ก็ให้มันลุกขึ้นช่วย เมื่อถึงเวลาลำบากของเจ้า ยูดาห์เอ๋ย เจ้ามีหัวเมืองมากเท่าใด เจ้าก็มีพระมากเท่านั้น
29 พระเจ้าตรัสว่า "เจ้าทั้งหลายจะมาร้องทุกข์เรื่องเราทำไม เจ้าได้กบฏต่อเราหมดทุกคนแล้ว
30 เราได้โบยตีลูกหลานของเจ้าเสียเปล่า เขาทั้งหลายก็ไม่ดีขึ้น ดาบของเจ้าเองได้กลืนผู้เผยพระวจนะของเจ้า เหมือนอย่างสิงห์ที่ทำลาย
31 คนรุ่นนี้เอ๋ย เจ้าทั้งหลายจงฟังพระวจนะของพระเจ้า เราเป็นเหมือนถิ่นทุรกันดารแก่อิสราเอลหรือ หรือเหมือนแผ่นดินที่มืดทึบหรือ ทำไมประชากรของเราจึงกล่าวว่า 'ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นอิสระ ข้าพระองค์จะไม่มาหาพระองค์อีก'
32 สาวพรหมจารีจะลืมอาภรณ์ของเธอได้หรือ เจ้าสาวจะลืมเครื่องพันกายของตนได้หรือ แต่ประชากรของเราได้ลืมเรา เป็นเวลากี่วันก็นับไม่ไหวแล้ว
33 "เจ้านำวิถีของเจ้าไปหารักได้อย่างแนบเนียน ซ้ำเจ้ายังสอนทางของเจ้าให้หญิงชั่ว
34 ที่ชายเสื้อของเจ้าจะเห็น โลหิตของคนจนที่ไร้ความผิดด้วย เจ้ามิได้เห็นเขาพังเข้ามา แม้ว่าจะมีเรื่องต่างๆเหล่านี้
35 เจ้าก็ยังกล่าวว่า 'ข้าพเจ้าไม่มีความผิดเลย พระพิโรธของพระองค์ได้หันกลับจากข้าพเจ้าแล้ว' ดูเถิด เราจะนำเจ้าไปสู่การพิพากษา เพราะเจ้าได้กล่าวว่า 'ข้าพเจ้ามิได้กระทำบาป'
36 เจ้าท่องเที่ยวไปๆมาๆอย่างเบาความเช่นนั้น โดยเปลี่ยนเส้นทางของเจ้าอยู่เสมอนะ อียิปต์จะกระทำให้เจ้าได้อาย เหมือนอัสซีเรียได้กระทำให้เจ้าได้อายมาแล้วนั้น
37 เจ้าจะออกมาจากที่นั่นด้วย โดยเอามือกุมศีรษะของเจ้าไว้ เพราะพระเจ้าทรงทอดทิ้งเขาเหล่านั้น ที่เจ้าไว้วางใจเสีย เจ้าจะเจริญขึ้นมาเพราะเขาก็ไม่ได้

เยเรมีย์ 3
1 ถ้าชายคนใดหย่าภรรยาของตน และเธอก็ไปจากเขาเสีย และไปเป็นภรรยาของชายอีกคนหนึ่ง เขาจะกลับไปหาเธอหรือ แผ่นดินนั้นจะไม่โสโครกมากมายหรือ เจ้าได้เล่นชู้กับคนรักมากมายแล้ว และเจ้าจะกลับมาหาเราหรือ พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
2 จงแหงนหน้าขึ้นสู่บรรดาที่สูงอันโล้นนั้น และดูซี ที่ไหนบ้างที่ไม่มีคนมานอนด้วย เจ้าได้นั่งคอยคนรักของเจ้าอยู่ที่ริมทาง อย่างคนอาหรับในถิ่นทุรกันดาร เจ้าได้กระทำให้แผ่นดินโสโครก ด้วยการแพศยาอย่างชั่วร้ายของเจ้า
3 เพราะฉะนั้นฝนจึงได้ระงับเสีย และฝนชุกปลายฤดูจึงขาดไป แต่เจ้ามีหน้าผากของหญิงแพศยา เจ้าปฏิเสธไม่ยอมอาย
4 เมื่อตะกี้เจ้าร้องเรียกเรามิใช่หรือว่า 'พระบิดาของข้าพระองค์ พระองค์ทรงเป็นสหายตั้งแต่ข้าพระองค์ยังสาวๆ
5 พระองค์ จะทรงพระพิโรธอยู่เป็นนิตย์หรือ พระองค์ จะทรงกริ้วอยู่จนถึงที่สุดปลายหรือ' ดูเถิด เจ้าลั่นวาจาแล้ว แต่เจ้าก็ยังกระทำความชั่วช้าทุกอย่างซึ่งเจ้ากระทำได้"
6 พระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าในรัชกาลของพระราชาโยสิยาห์ ว่า "เขาทำอะไรเจ้าเห็นหรือ คืออิสราเอลผู้กลับสัตย์ เขาขึ้นไปบนภูเขาสูงทุกลูก และใต้ต้นไม้เขียวสดทุกต้น แล้วก็ไปเล่นชู้อยู่ที่นั่น
7 และเราคิดว่า 'เมื่อเขาทำอย่างนี้จนหมดแล้ว เขาจะกลับมาหาเรา' แต่เขาก็ไม่กลับมา และยูดาห์น้องสาวที่ทรยศนั้นก็เห็น
8 เธอเห็นว่าเพราะการล่วงประเวณีทั้งสิ้น ของอิสราเอลผู้กลับสัตย์ เราได้ไล่เธอไปพร้อมกับให้หนังสือหย่า แต่ยูดาห์น้องสาวที่ทรยศนั้นก็ไม่กลัว เธอก็กลับไปเล่นชู้ด้วย
9 เพราะการแพศยาเป็นการเบาแก่เขามาก เขาก็กระทำให้แผ่นดินโสโครกไป โดยไปล่วงประเวณีกับศิลากับต้นไม้
10 แม้ว่าเขากระทำไปสิ้นอย่างนี้แล้ว ยูดาห์น้องสาวที่ทรยศของเขาก็มิได้ หันกลับมาหาเราด้วยสิ้นสุดใจ แต่แสร้งทำเป็นกลับมา พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ"
11 แล้วพระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า "อิสราเอลผู้กลับสัตย์ยังสำแดงตัวว่า มีผิดน้อยกว่ายูดาห์ที่ทรยศ
12 จงไปประกาศถ้อยคำเหล่านี้ไปทางเหนือกล่าวว่า 'พระเจ้าตรัสว่า อิสราเอลผู้กลับสัตย์เอ๋ย กลับมาเถิด เราจะไม่มองดูเจ้าด้วยความกริ้ว เพราะเราประกอบด้วยพระกรุณาคุณ พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ เราจะไม่กริ้วเป็นนิตย์
13 เพียงแต่ยอมรับความผิดของเจ้า ว่าเจ้าได้กบฏต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า และเที่ยวเอาใจพระอื่นที่ใต้ต้นไม้เขียวสดทุกต้น และเจ้ามิได้ฟังเสียงของเราพระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
14 พระเจ้าตรัสว่า ลูกหลานที่กลับสัตย์เอ๋ย กลับมาเถิด เพราะเราเป็นนายของเจ้า เราจะรับเจ้าจากเมืองและจากตระกูลละคนสองคน และเราจะนำเจ้ามาถึงศิโยน
15 "และเราจะให้ผู้เลี้ยงแกะคนที่พอใจเราแก่เจ้า ผู้ซึ่งจะเลี้ยงเจ้าด้วยความรู้และความเข้าใจ
16 และเมื่อเจ้าทวีและเพิ่มขึ้นในแผ่นดินนั้น ในครั้งนั้น (พระเจ้าตรัส) เขาทั้งหลายจะไม่กล่าวอีกว่า "หีบพันธสัญญาแห่งพระเจ้า" เรื่องนี้จะไม่มีขึ้นในใจ ไม่มีใครกล่าวถึง ไม่มีใครนึกถึง จะไม่ทำกันขึ้นอีกเลย
17 ในครั้งนั้นจะเรียกกรุงเยรูซาเล็มว่าเป็น พระที่นั่งของพระเจ้า และบรรดาประชาชาติจะรวบรวมกันเข้ามาหายัง พระพักตร์ของพระเจ้าในกรุงเยรูซาเล็ม และเขาจะไม่ติดตามใจอันชั่วของเขาอย่าง ดื้อกระด้างอีกต่อไป
18 ในสมัยนั้นเชื้อสายของยูดาห์จะเดินมา กับเชื้อสายของอิสราเอล เขาทั้งสองจะรวมกันมาจากแผ่นดินฝ่ายเหนือมายัง แผ่นดินซึ่งเรามอบให้แก่บรรพบุรุษของเจ้าให้เป็นมรดก
19 "'เราคิดว่า เราจะตั้งเจ้าไว้ท่ามกลางบุตรทั้งหลาย ของเราอย่างไรดีหนอ และให้แผ่นดินที่น่าปรารถนาแก่เจ้า เป็นมรดกที่สวยงามที่สุดในบรรดาประชาชาติ และเราคิดว่าเจ้าจะเรียกเราว่าพระบิดาของข้าพระองค์ และจะไม่หันกลับจากการติดตามเรา
20 พระเจ้าตรัสว่า เชื้อสายอิสราเอลเอ๋ย แน่นอนทีเดียวที่ภรรยาทรยศละทิ้งสามีของนางฉันใด เจ้าก็ได้ทรยศต่อเราฉันนั้น'"
21 เขาได้ยินเสียงมาจากที่สูงโล้น เป็นเสียงร้องไห้และเสียงวิงวอนของบุตร ทั้งหลายของอิสราเอล เพราะเขาได้แปรวิถีของเขาเสียแล้ว เขาได้ลืมพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเขา
22 "บรรดาบุตรที่กลับสัตย์เอ๋ย จงกลับมาเถิด เราจะรักษาความสัตย์ของเจ้าให้หาย" "ดูเถิด ข้าพระองค์ทั้งหลายมาหาพระองค์แล้ว เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเยโฮวาห์พระเจ้า ของข้าพระองค์"
23 แท้จริง เนินเขาก็เป็นแต่สิ่งหลอกลวง และการสับสนอลหม่านบนภูเขาก็เป็นด้วย แท้จริงความรอดของอิสราเอลนั้น อยู่ในพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา
24 "แต่ว่าสิ่งที่น่าอายนั้นได้กัด กินสิ่งทั้งปวงที่บรรพบุรุษของเราได้ลงแรงทำไว้ ตั้งแต่เรายังเป็นเด็กอนุชนอยู่ คือฝูงแกะ ฝูงโค บุตรชาย และบุตรหญิงทั้งหลายของเขา
25 ให้เรานอนลงจมในความอายของเรา และให้ความอัปยศคลุมเราไว้ เพราะเราได้กระทำบาปต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา ทั้งตัวเราและบรรพบุรุษของเรา ตั้งแต่เราเป็นอนุชนอยู่จนทุกวันนี้ และเราหาได้ฟังพระสุรเสียงแห่ง พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราไม่"

เยเรมีย์ 4
1 "พระเจ้าตรัสว่า อิสราเอลเอ๋ย ถ้าเจ้าจะกลับมา เจ้าก็ควรจะกลับมาหาเราแล้ว ถ้าเจ้ายอมเอาสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนไปให้พ้นหน้าเราเสีย ไม่โลเล
2 และถ้าเจ้าสาบานอย่างสัจจริงอย่างยุติธรรม และอย่างเที่ยงตรงว่า 'ตราบใดที่พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่' แล้วบรรดาประชาชาติจะให้พรกัน ในพระนามพระองค์ และเขาทั้งหลายจะอวดพระองค์"
3 เพราะว่า พระเจ้าตรัสกับคนยูดาห์และแก่ชาวเยรูซาเล็มว่า "จงทุบดินที่ไถไว้แล้วนั้น และอย่าหว่านลงกลางหนาม
4 ดูก่อน คนยูดาห์และชาวกรุงเยรูซาเล็มเอ๋ย จงเอาตัวรับพิธีเข้าสุหนัตถวายแด่พระเจ้า จงตัดหนังปลายหัวใจของเจ้าเสีย เกรงว่าความกริ้วของเราจะพลุ่งออกไปอย่างไฟ และเผาไหม้ไม่มีใครจะดับได้ เหตุด้วยความชั่วแห่งการกระทำทั้งหลายของเจ้า"
5 "จงประกาศในยูดาห์และโฆษณา ในกรุงเยรูซาเล็ม ว่า 'จงเป่าเขาสัตว์ไปทั่วแผ่นดิน จงร้องประกาศดังๆว่า มารวมกันเถิด ให้เราเข้าไป ในบรรดาเมืองที่มีป้อม'
6 จงยกธงขึ้นสู่ศิโยน จงรีบหนีไปให้ปลอดภัย อย่ารออยู่ เพราะเรานำความร้ายมาจากทิศเหนือ และนำการทำลายใหญ่ยิ่งมา
7 สิงห์ตัวหนึ่งได้ออกไปจากซุ้มของมันแล้ว และผู้ทำลายเหล่าประชาชาติได้ยกมาแล้ว เขาได้ออกไปจากสถานที่ของเขา เพื่อกระทำให้แผ่นดินของเจ้าว่างเปล่า หัวเมืองของเจ้าจะถูกทิ้งร้าง ปราศจากคนอาศัย
8 ด้วยเหตุนี้ เจ้าจงสวมผ้ากระสอบ จงคร่ำครวญและร้องไห้ เพราะพระพิโรธอันร้อนแรงของพระเจ้า มิได้หันกลับไปจากเรา"
9 "พระเจ้าตรัสว่า ในวันนั้นทั้งพระราชาและพวกเจ้านายจะหมดกำลังใจ บรรดาปุโรหิตจะตกตะลึงและผู้เผยพระวจนะก็จะ อัศจรรย์ใจ"
10 แล้วข้าพเจ้าจึงทูลว่า "ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงล่อลวงชนชาตินี้ และกรุงเยรูซาเล็มแน่นอนทีเดียว ว่า 'เจ้าทั้งหลายจะอยู่เย็นเป็นสุข' แต่ที่จริงดาบได้มาถึงชีวิตของเขาทั้งหลาย"
11 ในครั้งนั้น เขาจะกล่าวแก่ชนชาตินี้ และแก่กรุงเยรูซาเล็มว่า ลมร้อนจากที่สูงโล้นในถิ่น ทุรกันดารพัดมาสู่บุตรีประชากรของเรา ไม่ใช่จะมาฝัดหรือมาชำระ
12 กระแสลมที่แรงเกินแก่การนี้ได้มาถึงตามคำของเรา ผู้ที่กล่าวคำตัดสินเขานี้คือ เราเอง"
13 ดูเถิด เขาขึ้นมาเหมือนเมฆ รถรบของเขาเหมือนลมบ้าหมู ม้าทั้งหลายของเขาเร็วยิ่งกว่านกอินทรี วิบัติแก่เราทั้งหลาย เพราะว่าเราจะต้องพินาศ
14 กรุงเยรูซาเล็มเอ๋ย จงล้างจิตใจของเจ้าให้พ้นจากความชั่วร้าย เพื่อเจ้าจะรอดได้ ความคิดชั่วร้ายของเจ้านั้นจะสิง อยู่ในใจของเจ้านานสักเท่าใด
15 เพราะว่ามีเสียงประกาศมาจากเมืองดาน และโฆษณาความชั่วร้ายจากภูเขาเอฟราอิม
16 จงเตือนบรรดาประชาชาติว่า เขากำลังมาแล้ว จงกล่าวแก่กรุงเยรูซาเล็มว่า บรรดาผู้ล้อมมาจากแผ่นดินไกล เขาทั้งหลายโห่ร้องเข้าใส่หัวเมืองยูดาห์
17 เขาทั้งหลายล้อมยูดาห์ไว้รอบเหมือนผู้ดูแลเฝ้านา เพราะว่ายูดาห์ได้กบฏต่อเรา พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
18 วิถีและการกระทำทั้งหลายของเจ้า ได้นำเรื่องนี้มาเหนือเจ้า นี่แหละเป็นเคราะห์กรรมของเจ้าและมันขมขื่น มันมาถึงจิตใจของเจ้าทีเดียว"
19 แสนระทม แสนระทม ข้าก็บิดตัวด้วยความเจ็บปวด โอ ผนังดวงใจของข้าเอ๋ย จิตใจของข้าก็ว้าวุ่น ข้าจะนิ่งอยู่ไม่ได้ เพราะข้าได้ยินเสียงเขาสัตว์ เสียงปลุกของสงคราม
20 ความหายนะไล่ติดตามความหายนะ แผ่นดินทั้งสิ้นก็ถูกทิ้งร้าง บรรดาเต็นท์ของข้าก็ถูกทำลายในฉับพลัน ม่านทั้งหลายของข้าก็สิ้นไปในบัดเดี๋ยวเดียว
21 ข้าจะต้องมองดูธง และฟังเสียงเขาสัตว์นานสักเท่าใด
22 "เพราะประชากรของเราโง่เขลา เขาทั้งหลายไม่รู้จักเรา เขาทั้งหลายเป็นลูกหลานที่โง่ทึบ เขาทั้งหลายไม่มีความเข้าใจ เขาทั้งหลายทำความชั่วเก่ง แต่เขาไม่เข้าใจที่จะทำดี"
23 ข้าพเจ้ามองดูพื้นที่โลก และนี่แน่ะเป็นที่ร้างและว่างเปล่า และมองดูฟ้าสวรรค์ ในนั้นก็ไม่มีความสว่าง
24 ข้าพเจ้ามองดูภูเขา นี่แน่ะ มันกำลังสั่นอยู่ เนินเขาก็แกว่งไปแกว่งมา
25 ข้าพเจ้ามองดู และนี่แน่ะ ไม่มีมนุษย์เลย นกทั้งปวงแห่งท้องอากาศได้หนีไปแล้ว
26 ข้าพเจ้ามองดู และนี่แน่ะ เรือกสวนไร่นาก็เป็นถิ่นทุรกันดาร และหัวเมืองทั้งสิ้นก็ปรักหักพังไป ต่อพระพักตร์พระเจ้า ต่อพระพิโรธอันร้อนแรงของพระองค์
27 เพราะพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า "แผ่นดินทั้งหมดจะเป็นที่เริศร้าง ถึงกระนั้นเราก็ยังมิได้กระทำให้ถึงอวสานทีเดียว
28 เพราะเรื่องนี้โลกจะไว้ทุกข์ และฟ้าสวรรค์เบื้องบนจะดำมืด เพราะเราได้ลั่นวาจาแล้ว เราได้หมายใจไว้แล้ว เราจะไม่เปลี่ยนใจหรือหันกลับ"
29 เมื่อได้ยินเสียงพลม้าและนักธนู ชาวเมืองทุกแห่งก็หนีไป เขาเข้าไปอยู่ในสุมทุมพุ่มไม้ และปีนป่ายไปท่ามกลางศิลา หัวเมืองทุกแห่งก็ถูกทอดทิ้ง และไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่ในเมืองเหล่านั้นเลย
30 เจ้าผู้ที่ถูกทิ้งร้างเอ๋ย ที่เจ้าแต่งตัวสีแดงนั้น เจ้าทำอะไรกัน และที่เจ้าประดับตัวด้วยอาภรณ์ทองคำ ที่เจ้าขยายดวงตาให้กว้างด้วยแต้มสี เออ เจ้าแต่งตัวให้งามเสียเปล่า คนรักของเจ้าดูหมิ่นเจ้า เขาทั้งหลายแสวงชีวิตของเจ้า
31 เพราะเราได้ยินเสียงเหมือนเสียงหญิงคลอดบุตรร้อง แสนเจ็บปวดอย่างกับจะคลอดบุตรหัวปี เสียงร้องแห่งบุตรีศิโยนนั้นแทบจะขาดใจ เหยียดแขนของเธอออกร้องว่า "วิบัติแก่ข้า ข้าอ่อนเปลี้ยอยู่ต่อหน้าผู้ฆ่าคน"

เยเรมีย์ 5
1 จงวิ่งไปวิ่งมาอยู่ในถนนกรุงเยรูซาเล็ม จงมองและสังเกต จงค้นตามลานเมืองดูทีว่า จะหามนุษย์สักคนหนึ่งได้หรือไม่ คือคนที่กระทำการยุติธรรม และแสวงหาความจริง เพื่อเราจะได้อภัยโทษให้แก่เมืองนั้น
2 แม้เขาทั้งหลายกล่าวว่า "ตราบใดที่พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่" เขาก็ยังสาบานอย่างเท็จ
3 ข้าแต่พระเจ้า พระเนตรของพระองค์ทรงหาความสัตย์จริงมิใช่หรือ พระองค์ทรงเฆี่ยนตีเขาทั้งหลาย แต่เขาก็ไม่รู้สึกสำนึก พระองค์ทรงล้างผลาญเขา แต่เขาทั้งหลายปฏิเสธไม่ยอมดีขึ้น เขาได้กระทำให้หน้าของเขากระด้างยิ่งกว่าหิน เขาปฏิเสธไม่ยอมกลับใจ
4 แล้วข้าพเจ้าทูลว่า "คนเหล่านี้เป็นแต่ผู้น้อย เขาไม่มีความคิด เพราะเขาไม่รู้จักพระมรรคาของพระเจ้า ไม่รู้จักพระธรรมของพระเจ้าของเขา
5 ข้าพระองค์จะไปหาพวกผู้ใหญ่ และจะพูดกับเขาทั้งหลาย เพราะเขารู้จักพระมรรคาของพระเจ้า และรู้จักพระธรรมของพระเจ้าของเขา" แต่เขาทั้งหลายทุกคนก็ได้หักแอกเสีย เขาทั้งหลายได้ระเบิดพันธนะเสีย
6 เพราะฉะนั้น สิงห์จากป่าจะมาสังหารเขา สุนัขป่าจากป่าดอนจะทำลายเขา เสือดาวกำลังเฝ้าหัวเมืองทั้งหลายของเขา ทุกคนที่ไปจากเมืองเหล่านั้นจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆ เพราะว่าความทรยศของเขามากมาย การกลับสัตย์ของเขาก็ใหญ่ยิ่ง
7 "เราจะให้อภัยเจ้าได้อย่างไร ลูกหลานของเจ้าได้ละทิ้งเราแล้ว และได้อ้างผู้ที่ไม่ใช่พระเจ้าในการทำสัตย์สาบาน เมื่อเราเลี้ยงเขาให้อิ่ม เขาก็ทำการล่วงประเวณี แล้วก็ยกขบวนกันไปที่เรือนของหญิงแพศยา
8 เขาทั้งหลายเหมือนม้าผู้พันธุ์ที่กลัดมัน ทุกคนก็ร้องหาภรรยาของเพื่อนบ้าน
9 พระเจ้าตรัสว่า เพราะสิ่งอย่างนี้เราจะไม่ทำโทษเขาหรือ และเราไม่ควรที่จะแก้แค้นประชาชาติ ที่เป็นอย่างนี้หรือ
10 "ไปเถอะ ไปตามแถวต้นองุ่นของมันและทำลายเสีย แต่อย่าไปถึงอวสานทีเดียว ตัดกิ่งก้านของมันออก เพราะนั่นไม่ใช่เป็นของพระเจ้า
11 เพราะพงศ์พันธุ์ของอิสราเอล และพงศ์พันธุ์ของยูดาห์ ได้ทรยศต่อเราอย่างสิ้นเชิงแล้ว พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
12 เขาทั้งหลายพูดมุสาในเรื่องพระเจ้า และได้กล่าวว่า 'พระองค์มิได้ทรงกระทำประการใด ไม่มีการร้ายอันใดจะเกิดขึ้นแก่เรา เราก็จะไม่เห็นดาบหรือการกันดารอาหาร
13 ผู้เผยพระวจนะก็จะเป็นแต่ลมๆ พระวจนะไม่มีในคนเหล่านั้น ขอให้เป็นอย่างนั้นแก่เขาเถิด'"
14 เพราะฉะนั้น พระเยโฮวาห์พระเจ้าจอมโยธาจึงตรัสดังนี้ว่า "เพราะเขาทั้งหลายกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ ดูเถิด เราจะทำถ้อยคำของเราที่อยู่ในปากของเจ้าให้เป็นไฟ และชนชาตินี้เป็นฟืน และไฟนั้นจะเผาผลาญเขาเสีย
15 ดูเถิด ประชาอิสราเอลเอ๋ย เราจะนำประชาชาติจากแดนไกลมาสู้ เจ้าทั้งหลาย พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ เป็นประชาชาติที่ทนทาน เป็นประชาชาติดึกดำบรรพ์ เป็นประชาชาติที่เจ้าไม่รู้ภาษาของเขา เขาจะพูดอะไรเจ้าก็ไม่เข้าใจ
16 แล่งธนูของเขาเหมือนอุโมงค์เปิด เขาเป็นทแกล้วทหารทุกคน
17 เขาจะกินซึ่งเจ้าเกี่ยวได้ และกินอาหารของเจ้าเสีย เขาจะกินบุตรชายและบุตรหญิงของเจ้าเสีย เขาจะกินฝูงแกะฝูงโคของเจ้าเสีย เขาจะกินเถาองุ่นและต้นมะเดื่อของเจ้าเสีย เขาจะทำลายตัวเมืองที่มีป้อมของเจ้า ซึ่งเจ้าวางใจนั้นเสียด้วยดาบ"
18 พระเจ้าตรัสว่า "ถึงแม้ว่าในวันเหล่านั้น เราก็ยังไม่กระทำแก่เจ้าให้ถึงอวสาน
19 และเมื่อเจ้าทั้งหลายกล่าวว่า 'ทำไมพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา ทั้งหลายจึงกระทำบรรดาสิ่งเหล่านี้แก่เรา' เจ้าจงกล่าวแก่เขาว่า 'เพราะเจ้าได้ละทิ้งเราไปปรนนิบัติพระต่างด้าว ในแผ่นดินของเจ้า เพราะฉะนั้นเจ้าจะต้องไปปรนนิบัติคนต่างชาติใน แผ่นดินซึ่งไม่ใช่ของเจ้า'"
20 จงประกาศข้อความต่อไปนี้ในประชายาโคบ จงโฆษณาเรื่องนี้ในยูดาห์
21 "ชนชาติที่โง่เขลาและไร้ความคิดเอ๋ย ผู้มีตา แต่มองไม่เห็น ผู้มีหู แต่ฟังไม่ได้ยิน จงฟังข้อความนี้
22 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เจ้าไม่ยำเกรงเราหรือ เจ้าไม่ตัวสั่นอยู่ต่อหน้าเราหรือ คือเราผู้วางกองทรายไว้เป็นเขตล้อมทะเล เป็นเครื่องกีดขวางเป็นนิตย์มิให้ผ่านไปได้ แม้ว่าคลื่นจะซัด ก็เอาชนะไม่ได้ แม้ว่าคลื่นจะคะนอง ก็ข้ามไปไม่ได้
23 แต่ชนชาตินี้มีใจดื้อดึงและกบฏ เขาได้หันเหและจากไปเสีย
24 ข้อความนี้เขาไม่มุ่งอยู่ในใจของ เขาทั้งหลายว่า 'ให้เรายำเกรง พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา ผู้ทรงประทานฝนตามฤดูของมัน คือฝนต้นฤดูและฝนชุกปลายฤดู และทรงรักษา สัปดาห์ที่กำหนดการเกี่ยวข้าวไว้ให้แก่เรา'
25 บาปชั่วของเจ้าได้กระทำให้สิ่งเหล่านี้หันไปเสีย และบาปของเจ้าทั้งหลายก็กันความดีไว้เสียจากเจ้า
26 เพราะท่ามกลางประชากรของเราจะพบคนอธรรม เขาซุ่มคอยเหมือนคนดักนกซุ่มอยู่ เขาวางกับไว้ เขาดักคน
27 เรือนของเขาเต็มด้วยการทรยศ เหมือนกระจาดที่มีนกเต็ม เพราะฉะนั้นเขาจึงใหญ่โตและมั่งมี
28 เขาจึงอ้วนพีจนตัวเกลี้ยงเกลา ในเรื่องการกระทำความอธรรมเขาล้ำหน้า เขามิได้ตัดสินด้วยความยุติธรรม ในคดีของลูกกำพร้า เพื่อให้คดีนั้นถึงที่สุด เขามิได้ป้องกันสิทธิของคนขัดสน
29 พระเจ้าตรัสว่า เพราะสิ่งอย่างนี้เราจะไม่ทำโทษเขาหรือ และไม่ควรที่เราจะแก้แค้นประชาชาติ ที่เป็นอย่างนี้หรือ"
30 สิ่งที่น่าตกตะลึงและน่าหวาดเสียว ได้เกิดขึ้นในแผ่นดินนี้
31 คือผู้เผยพระวจนะได้เผยพระวจนะเท็จ และบรรดาปุโรหิตก็ปกครองตามการชี้นิ้วของเขา และประชากรของเราชอบที่มีการอย่างนี้ แต่เจ้าทั้งหลายจะกระทำอะไรเมื่อกาลสุดปลายมาถึง

เยเรมีย์ 6
1 ประชาชนเบนยามินเอ๋ย จงหนีไปเพื่อความปลอดภัย จากกลางกรุงเยรูซาเล็ม จงเป่าเขาสัตว์ในเมืองเทโคอา และยกสัญญาณขึ้นไว้บนเบธฮักเคเรม เพราะเหตุร้ายโผล่ออกมาจากทิศเหนือ คือการทำลายอย่างใหญ่หลวง
2 เราจะทำลายสาวสวยและแบบบาง คือบุตรีของศิโยนเสีย
3 ผู้เลี้ยงแกะพร้อมกับฝูงแกะจะมาสู้เธอ เขาจะตั้งเต็นท์ไว้รอบเธอ ต่างก็จะหากินอยู่ในที่ของมัน
4 "จงเตรียมทำสงครามกับเธอ ลุกขึ้น ให้เราโจมตีเวลาเที่ยงวัน" "วิบัติแก่พวกเรา เพราะว่ากลางวันคล้อยเสียแล้ว เงาของเวลาเย็นก็ยาวออกไป"
5 "ลุกขึ้น ให้เราเข้าตีเวลากลางคืน และทำลายบรรดาวังของเธอเสีย"
6 เพราะพระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้ว่า "จงโค่นต้นไม้ของเธอลง จงก่อเชิงเทินไว้สู้กรุงเยรูซาเล็ม นี่แหละนครที่ต้องถูกทำโทษ ภายในเธอไม่มีอะไรนอกจากการบีบบังคับ
7 บ่อน้ำยังน้ำเย็นให้มีอยู่เสมอฉันใด เธอก็ยังความอธรรมให้เกิดขึ้นเรื่อยๆฉันนั้น ได้ยินถึงความทารุณและการทำลายมีภายในเธอ ความเจ็บปวดและความบาดเจ็บก็ปรากฏต่อเราเสมอ
8 กรุงเยรูซาเล็มเอ๋ย จงรับคำตักเตือนเถิด เกรงว่าเราจะพรากรักจากเจ้าไปเสีย เกรงว่าเราจะกระทำเจ้าให้เป็นที่เริศร้าง เป็นแผ่นดินปราศจากคนอาศัย"
9 พระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้ว่า "เขาทั้งหลายจะกวาดชนอิสราเอล ชนที่เหลืออยู่นั้นเสียให้เกลี้ยงอย่างเล็มเถาองุ่น เหมือนคนเก็บผลองุ่นเอามือเก็บผล ตามกิ่งของมันอีกคำรบหนึ่ง"
10 ข้าพเจ้าควรจะพูดและให้คำตักเตือนแก่ผู้ใดดีนะ เพื่อเขาจะได้เชื่อฟัง ดูเถิด หูของเขาตันเสียแล้ว เขาฟังไม่ได้ ดูเถิด พระวจนะของพระเจ้าเป็นสิ่งที่เขาดูแคลน เขาไม่พอใจฟัง
11 เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงมีพระพิโรธของพระเจ้าเต็มไปหมด ข้าพเจ้าจะเก็บไว้อีกไม่ไหวแล้ว "จงเทออกรดเด็กๆที่ตามถนน และรดพวกหนุ่มๆที่ชุมนุมกันอยู่ด้วย ทั้งสามีและภรรยาก็จะต้องเอาไป ทั้งคนแก่และคนชราด้วย
12 บ้านเรือนของเขาจะต้องยกให้เป็นของคนอื่น ทั้งไร่นาและภรรยาของเขาด้วย เพราะเราจะเหยียดมือของเราออกต่อสู้ชาวแผ่นดิน" พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
13 "เพราะว่า ตั้งแต่คนที่ต่ำต้อยที่สุดจนถึงคนใหญ่โตที่สุด ทุกคนโลภอยากได้กำไร และทุกคนก็กระทำการด้วยความเท็จ ตั้งแต่ผู้เผยพระวจนะตลอดถึงปุโรหิต
14 เขาทั้งหลายได้รักษาแผลแห่งประชากรของเราแต่เล็กน้อย กล่าวว่า 'สวัสดิภาพ สวัสดิภาพ' เมื่อไม่มีสวัสดิภาพเลย
15 เมื่อเขากระทำการน่าเกลียดน่าชังเขาละอายหรือ เปล่าเลย เขาไม่ละอายเสียเลยทีเดียว เขาไม่รู้จักว่าอย่างไรจึงจะขายหน้า เพราะฉะนั้นเขาจะล้มลงท่ามกลางพวกที่ล้มแล้ว เมื่อเราลงโทษเขาทั้งหลาย เขาจะคว่ำ" พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
16 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า "จงยืนที่ถนนและมองให้ดี และถามหาทางโบราณนั้น ว่าทางดีอยู่ที่ไหน แล้วจงเดินในทางนั้น และให้จิตใจของท่านได้ความสงบ แต่เขาทั้งหลายกล่าวว่า 'เราจะไม่เดินในนั้น'
17 เราวางยามไว้เหนือเจ้า สั่งว่า 'จงฟังเสียงเขาสัตว์' แต่เขาทั้งหลายกล่าวว่า 'เราทั้งหลายจะไม่ยอมฟัง'
18 เพราะฉะนั้น บรรดาประชาชาติเอ๋ย จงฟัง ที่ประชุมเอ๋ย จงทราบเถิดว่าอะไรจะบังเกิดขึ้นแก่เขา
19 พิภพเอ๋ย จงฟังเถิด ดูเถิด เรากำลังนำความร้ายมาเหนือชนชาตินี้ คือผลแห่งกโลบายของเขา เพราะเขามิได้เชื่อฟังถ้อยคำของเรา ส่วนพระธรรมของเรานั้นเขาปฏิเสธเสีย
20 มีกำยานมาถึงเราจากเมืองเชบา มีตะไคร้ส่งมาจากเมืองไกลเพื่ออะไรเล่า เครื่องเผาบูชาของเจ้าก็ยังไม่เป็นที่รับได้ หรือเครื่องสักการบูชาของเจ้า ก็ไม่เป็นที่พอใจเรา
21 เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงตรัสดังนี้ว่า 'ดูเถิด ต่อหน้าชนชาตินี้ เราจะวางเครื่องสะดุดไว้ให้เขาสะดุด ทั้งบิดาและบุตรด้วยกัน ทั้งเพื่อนบ้านและมิตรสหายจะพินาศ'"
22 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า "ดูเถิด ชนชาติหนึ่งกำลังมาจากแดนเหนือ ประชาชาติใหญ่ชาติหนึ่งถูกเร้าให้มาจาก ส่วนที่ไกลที่สุดของพิภพ
23 เขาทั้งหลายจับคันธนูและหอก เขาทั้งหลายดุร้ายและไม่มีความสงสาร เสียงของเขาก็เหมือนเสียงทะเลกำเริบ เขาทั้งหลายขี่ม้า และจัดเตรียมกระบวนเหมือนชายที่จะเข้าสงคราม บุตรีศิโยนเอ๋ย เขาทั้งหลายมาต่อสู้เจ้า"
24 พวกเราได้ยินข่าวพวกนั้น มือของเราก็อ่อนลงอย่างช่วยไม่ได้ ความแสนระทมได้จับเราไว้ เป็นความเจ็บเหมือนสตรีกำลังคลอดบุตร
25 อย่าเดินออกไปในทุ่งนา หรือเดินบนถนน เพราะศัตรูมีดาบ มีความสยดสยองอยู่ทุกด้าน
26 บุตรีแห่งประชากรของเราเอ๋ย จงเอาผ้ากระสอบคาดเอวไว้ และกลิ้งเกลือกอยู่ในกองเถ้า จงไว้ทุกข์เหมือนเพื่อบุตรชายคนเดียว เป็นการคร่ำครวญอย่างแสนขมขื่นที่สุด เพราะว่าผู้ทำลาย มาสู้เราในทันทีทันใด
27 "เราได้กระทำให้เจ้าเป็นผู้ลองและ ผู้ทดสอบท่ามกลางประชากรของเรา เพื่อเจ้าจะทราบและลองพฤติการณ์ทั้งหลายของเขา
28 เขาทั้งหลายมักกบฏอย่างดื้อด้านทั้งสิ้น เที่ยวนินทาเขาไป เขาทั้งหลายเป็นทองสัมฤทธิ์ และเป็นเหล็ก เขาทุกคนประพฤติเลวทรามทั้งนั้น
29 เครื่องสูบลมของเขาสูบอย่างดุเดือด ตะกั่วก็ถูกไฟเผาผลาญเสีย ถลุงกันเรื่อยไปก็เปล่าประโยชน์ เพราะว่าคนชั่วก็ยังไม่หายไปได้
30 จะเรียกเขาทั้งหลายได้ว่า เป็นขี้ เงิน เพราะพระเจ้า ทรงปฏิเสธเขาเสียแล้ว"

เยเรมีย์ 7

1 พระวจนะซึ่งมาจากพระเจ้าถึงเยเรมีย์ว่า
2 "เจ้าจงยืนอยู่ในประตูกำแพงพระนิเวศของพระเจ้า และโฆษณาถ้อยคำเหล่านี้ที่นั่นว่า บรรดาคนยูดาห์ทั้งปวงผู้เข้ามา ในประตูกำแพงนี้เพื่อจะนมัสการพระเจ้า จงฟังพระวจนะพระเจ้า
3 พระเจ้าจอมโยธาพระเจ้าของอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า จงซ่อมพฤติการณ์และการกระทำของเจ้าเสีย และเราจะให้เจ้าอาศัยอยู่ในสถานที่นี้
4 อย่าไว้วางใจในคำหลอกลวงเหล่านี้ที่ว่า 'นี่เป็นพระวิหารของพระเจ้า พระวิหารของพระเจ้า พระวิหารของพระเจ้า'
5 เพราะว่า ถ้าเจ้าซ่อมวิถีและการกระทำของเจ้าจริงๆ ถ้าเจ้าให้ความยุติธรรมต่อกันและกันจริงๆ
6 ถ้าเจ้าไม่ข่มเหงคนต่างด้าว ลูกกำพร้าพ่อหรือแม่ม่าย และไม่หลั่งโลหิตที่ไร้ความผิดให้ถึงตายในที่นี้ และเจ้าทั้งหลายไม่ติดตามพระอื่นไปให้เจ็บตัวเอง
7 แล้วเราจะให้เจ้าอาศัยอยู่ในสถานที่นี้ ในแผ่นดินซึ่งแต่ดึกดำบรรพ์เราได้ยกให้แก่ บรรพบุรุษของเจ้าเป็นนิตย์
8 "ดูเถิด เจ้าวางใจในคำหลอกลวงอย่างไม่ได้ ประโยชน์อะไรเลย
9 เจ้าจะลักทรัพย์ ฆ่าคน ล่วงประเวณี สาบานเท็จ เผาเครื่องบูชาถวายพระบาอัลและติดตามพระอื่น ซึ่งเจ้าทั้งหลายมิได้รู้จักไปหรือ
10 แล้วจึงมายืนหน้าเราในนิเวศนี้ ซึ่งเรียกตามชื่อของเรา และกล่าวว่า 'เราทั้งหลายได้รับการช่วยกู้แล้ว' เพื่อจะไปกระทำสิ่งน่าเกลียดน่าชังเหล่านั้นทั้งสิ้นอีก
11 นิเวศซึ่งเรียกตามชื่อของเรา ในสายตาของเจ้าได้กลายเป็นถ้ำของ พวกโจร ไปแล้วหรือ พระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด ตัวเราได้เห็นเอง
12 แต่จงไปยังสถานที่ของเราซึ่งเคยอยู่ในเมืองชิโลห์ ซึ่งทีแรกได้กระทำให้ชื่อของเราอยู่ที่นั่น จงดูว่าเพราะความชั่วร้ายของอิสราเอลประชากรของเรา เราได้กระทำอะไรต่อสถานที่นั้น
13 พระเจ้าตรัสว่า และบัดนี้ เพราะเจ้าทั้งหลายได้กระทำสิ่งเหล่านี้ทั้งสิ้น และเมื่อเราพูดกับเจ้าอย่างไม่หยุดยั้ง แต่เจ้าทั้งหลายหาได้ฟังไม่ และเมื่อเราได้เรียกพวกเจ้า แต่เจ้ามิได้ตอบ
14 เหตุฉะนี้เราจะกระทำต่อนิเวศนี้ซึ่งเราเรียกตามชื่อของเรา และซึ่งพวกเจ้าได้วางใจนั้น และกระทำแก่สถานที่ซึ่งเราได้ยกให้แก่เจ้าและ แก่บรรพบุรุษของเจ้าเหมือนเราได้กระทำแก่ชิโลห์
15 และเราจะเหวี่ยงเจ้าทิ้งจากสายตาของเรา เหมือนอย่างที่เราได้ทิ้งบรรดาพวกพี่น้องของเจ้า คือบรรดาเชื้อสายของเอฟราอิมทั้งหมดนั้น
16 "ฝ่ายเจ้า เจ้าอย่าอธิษฐานเพื่อชนชาตินี้ อย่าร้องขึ้นหรืออธิษฐานเพื่อเขา และอย่าวิงวอนขอต่อเรา เพราะเราจะไม่ฟังเจ้า
17 เจ้ามิได้เห็นดอกหรือว่า เขากระทำอะไรกันในหัวเมืองทั้งหลายแห่งยูดาห์ และตามถนนหนทางในเยรูซาเล็ม
18 พวกเด็กๆก็เก็บฟืน พวกพ่อๆก็ก่อไฟ พวกผู้หญิงก็นวดแป้ง เพื่อทำขนมถวายแด่เจ้าแม่แห่งฟ้าสวรรค์ และเขาเทเครื่องดื่มบูชาถวายแด่พระอื่นๆ เพื่อยั่วยุให้เราโกรธ
19 พระเจ้าตรัสว่า คือเราที่เขายั่วยุหรือ มิใช่ยั่วยุตัวเขาเองให้ไปสู่ความขายหน้าของเขาทั้งหลายดอกหรือ
20 ฉะนั้น พระเจ้าจึงตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด ความกริ้วและความโกรธของเราจะเทลงมาบนสถานที่นี้ บนมนุษย์และสัตว์ บนต้นไม้ในท้องทุ่ง และบนพืชผลของแผ่นดิน จะเผาผลาญเสียและจะดับไม่ได้"
21 พระเจ้าจอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า "จงเพิ่มเครื่องเผาบูชาเข้ากับเครื่องสักการบูชาของเจ้า และจงรับประทานเนื้อ
22 เพราะในวันที่เราได้พาเขาทั้งหลาย ออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ เรามิได้พูดกับบรรพบุรุษของเจ้าหรือสั่ง เขาเรื่องเครื่องเผาบูชาและเครื่องสักการบูชา
23 แต่เราบัญชาเขาทั้งหลายอย่างนี้ว่า 'จงเชื่อฟังเสียงของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของเจ้า และเจ้าจะเป็นประชากรของเรา และดำเนินในหนทางที่เราได้บัญชาเจ้าไว้ เพื่อเจ้าจะได้อยู่เย็นเป็นสุข'
24 แต่เขาทั้งหลายมิได้เชื่อฟังหรือเงี่ยหูฟัง แต่เขาทั้งหลายดำเนินตามแผนการของเขาเอง และในความดื้อกระด้างตามจิตใจชั่วของเขา ทั้งหลายและเดินถอยหลัง มิได้เดินขึ้นหน้า
25 ตั้งแต่วันที่บรรพบุรุษของเจ้าทั้งหลายออกจาก แผ่นดินอียิปต์จนทุกวันนี้ เราได้ส่งผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของเราไปยัง เขาอย่างไม่หยุดยั้ง วันแล้ววันเล่า
26 ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ฟังเรา หรือเงี่ยหูฟัง แต่ได้กระทำให้คอของตนแข็ง เขาได้กระทำชั่วร้ายยิ่งกว่าบรรพบุรุษทั้งหลายของเขาเสียอีก
27 "เจ้าจงกล่าวถ้อยคำเหล่านี้แก่เขา แต่เขาจะไม่ฟังเจ้า เจ้าจงร้องเรียกเขา แต่เขาจะไม่ยอมตอบเจ้า
28 เจ้าจงพูดแก่เขาว่า 'นี่เป็นประชาชาติที่ไม่เชื่อฟัง พระสุรเสียงของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเขา และไม่ยอมรับการตีสอน สัจจะพินาศเสียแล้ว ถูกตัดขาดเสียจากริมฝีปากของเขาแล้ว
29 จงตัดผมของเจ้าออกเหวี่ยงทิ้งไป จงคร่ำครวญบนที่สูงอันโล้น เพราะว่าพระเจ้าทรงปฏิเสธ และละทิ้งชาติพันธุ์แห่งพระพิโรธของพระองค์แล้ว'
30 "พระเจ้าตรัสว่า พงศ์พันธุ์ของยูดาห์ได้กระทำความชั่วในสายตาของเรา เขาได้วางสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนไว้ในนิเวศ ซึ่งเรียกตามชื่อของเรา กระทำให้มีมลทิน
31 และได้สร้างที่สูงของโทเฟท ซึ่งอยู่ในหุบเขาแห่งบุตรชายของ ฮินโนม เพื่อจะเผาบุตรชายและบุตรหญิงของเขา ทั้งหลายเสียด้วยไฟ ซึ่งเรามิได้บัญชา และไม่เคยมีขึ้นในใจของเรา
32 พระเจ้าตรัสว่า เพราะฉะนั้น ดูเถิด วันเวลาจะมาถึงเมื่อ เขาจะไม่เรียกที่นั้นอีกว่าโทเฟท หรือภูเขาแห่งบุตรชายฮินโนม แต่จะเรียกว่า หุบเขาแห่งการฆ่าฟันกัน เพราะเขาจะฝังกันไว้ในโทเฟท เพราะแห่งอื่นไม่มีที่ว่างแล้ว
33 และศพของชนชาตินี้จะเป็นอาหารของนกในอากาศ และแก่สัตว์แห่งแผ่นดินโลก และไม่มีใครจะขับไล่ให้มันไปเสียได้
34 เราจะกระทำให้เสียงบรรเทิงและ เสียงรื่นเริง เสียงของเจ้าบ่าว และเสียงของเจ้าสาว ขาดไปเสียจากหัวเมืองของยูดาห์ และจากถนนหนทางแห่งเยรูซาเล็ม เพราะว่าดินนั้นจะต้องเป็นที่ร้างเปล่า

เยเรมีย์ 8
1 "พระเจ้าตรัสว่า ในกาลครั้งนั้น กระดูกของบรรดากษัตริย์ยูดาห์ กระดูกเจ้านายของยูดาห์ กระดูกปุโรหิต กระดูกผู้เผยพระวจนะ และกระดูกของชาวเมืองเยรูซาเล็ม จะมีคนเอาออกมาจากอุโมงค์ของเขาทั้งหลายเหล่านั้น
2 และเขาจะกระจายกระดูกเหล่านั้นออกต่อหน้าดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และบริวารแห่งฟ้าสวรรค์ทั้งสิ้น ซึ่งเขาทั้งหลายรักและปรนนิบัติ ซึ่งเขาได้ติดสอยห้อยตาม ซึ่งเขาได้แสวงหาและนมัสการ จะไม่มีใครรวบรวมหรือฝังกระดูกเหล่านี้ แต่จะเป็นเหมือนมูลสัตว์ที่ผิวพื้นดิน
3 บรรดาคนที่เหลืออยู่จากครอบครัวร้ายนี้ ซึ่งตกค้างอยู่ในสถานที่ทั้งสิ้น ซึ่งเราได้ขับไล่เขาไป จะนิยมความตายยิ่งกว่าที่จะมีชีวิตอยู่ พระเจ้าตรัสดังนี้
4 "เจ้าจงพูดกับเขาทั้งหลายว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เมื่อมนุษย์ล้มลง เขาจะไม่ลุกขึ้นอีกหรือ ถ้าผู้หนึ่งผู้ใดหันไป เขาจะไม่หันกลับมาหรือ
5 ทำไมชนชาตินี้คือเยรูซาเล็มจึงได้หันไป เป็นการกลับสัตย์อยู่เป็นนิตย์ เขายึดการหลอกลวงไว้มั่น เขาทั้งหลายปฏิเสธไม่ยอมกลับ
6 เราได้ตั้งใจและคอยฟัง แต่เขาทั้งหลายก็พูดไม่ถูกต้อง ไม่มีคนใดกลับใจจากความอธรรมของตน กล่าวว่า 'ฉันได้ทำอะไรไปแล้วบ้าง' ทุกคนหันไปตามทางของเขาเอง เหมือนม้าวิ่งหัวทิ่มเข้าไปในสงคราม
7 แม้ว่านกกระสาดำบนฟ้า ยังรู้จักเวลากำหนดของมัน และนกเขา นกนางแอ่น และนกกรอด ได้รักษาเวลามาของมัน แต่ประชากรของเรา ไม่รู้จักกฎหมายของพระเจ้า
8 "เจ้าจะพูดได้อย่างไรว่า 'เรามีปัญญา และพระธรรมของพระเจ้าก็อยู่กับเรา' แต่ดูเถิด ปากกาโกงของพวกอาลักษณ์ ได้กระทำให้พระธรรมเป็นคำมุสา
9 คนมีปัญญาจะได้รับความอาย เขาจะคร้ามกลัวและถูกจับตัวไป นี่แน่ะ เขาได้ปฏิเสธพระวจนะของพระเจ้า และปัญญาอย่างใดมีในตัวเขาเล่า
10 เพราะฉะนั้น เราจะให้ภรรยาของเขาตกไปเป็นของคนอื่น ให้ไร่นาของเขาตกแก่ผู้ที่จะได้รับ เพราะว่าตั้งแต่คนที่ต่ำต้อยที่สุด ถึงคนที่ใหญ่โตที่สุด ทุกคนโลภอยากได้กำไร ตั้งแต่ผู้เผยพระวจนะถึงปุโรหิต ทุกคนก็ทำการฉ้อเขา
11 เขาได้รักษาแผลแห่งประชากรของเราแต่เล็กน้อย กล่าวว่า 'สวัสดิภาพ สวัสดิภาพ' เมื่อไม่มีสวัสดิภาพเสียเลย
12 เมื่อเขากระทำการน่าเกลียดน่าชังเขาละอายหรือ เปล่าเลย เขาไม่ละอายเสียเลยทีเดียว เขาไม่รู้จักว่าอย่างไรจึงจะขายหน้า เพราะฉะนั้นเขาจะล้มลงท่ามกลางพวกที่ล้มแล้ว เมื่อเราลงโทษเขาทั้งหลายเขาจะล้มคว่ำ พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
13 พระเจ้าตรัสว่า เมื่อเราจะรวบรวมเขา ก็เห็นว่าเถาองุ่นไม่มีผล หรือต้นมะเดื่อไม่มีผล ถึงแม้ว่าใบก็เหี่ยวแห้งไป และสิ่งใดที่เราให้เขาก็อันตรธานไปจากเขา"
14 ทำไมเราจึงนั่งนิ่งๆ จงพากันมา ให้เราเข้าไปในหัวเมืองที่มีป้อม และพินาศเสียที่นั่นเถิด เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราจะทรงให้เราพินาศ และทรงประทานน้ำดีหมีให้เราดื่ม เพราะเราได้กระทำบาปต่อพระเจ้า
15 เรามองหาสวัสดิภาพ แต่ไม่มีความดีอะไรมาเลย เรามองหาเวลารักษาให้หาย แต่ประสบความสยดสยอง
16 "เสียงคะนองแห่งม้าของเขาก็ได้ยินมาจากเมืองดาน แผ่นดินทั้งสิ้นก็หวั่นไหว ด้วยเสียงร้องของกองอาชาของเขา มันทั้งหลายมากินแผ่นดินและสิ่งทั้งปวงที่อยู่บนนั้นจนหมด ทั้งเมืองและผู้ที่อาศัยอยู่ในเมือง
17 เพราะดูเถิด เรากำลังส่งงูเข้ามาท่ามกลางเจ้า คืองูทับทาง ซึ่งจะผูกด้วยมนตร์ ไม่ได้ และมันจะกัดเจ้าทั้งหลาย" พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
18 ทุกข์ระทมของข้าพเจ้านี้เหลือที่จะรักษา จิตใจของข้าพเจ้าก็ป่วยอยู่ภายใน
19 ฟังซิ เสียงร้องแห่ง บุตรีประชากรของข้าพเจ้า จากแผ่นดินทั้งส่วนกว้างและส่วนยาว "พระเจ้ามิได้สถิตในศิโยนหรือ พระราชาของเมืองนั้นไม่อยู่ในนั้นหรือ" "ทำไมเขายั่วยุเราให้โกรธด้วยรูปเคารพของเขา
20 "ฤดูเกี่ยวก็ผ่านไป ฤดูแล้งก็สิ้นลงแล้ว และเราทั้งหลายก็ไม่รอด"
21 เพราะแผลแห่งบุตรีประชากรของข้าพเจ้า หัวใจข้าพเจ้าจึงเป็นแผล ข้าพเจ้าเศร้าหมอง และความสยดสยองก็ยึดข้าพเจ้าไว้มั่น
22 ไม่มีพิมเสนในกิเลอาดหรือ ไม่มีแพทย์ที่นั่นหรือ ทำไมอนามัยแห่งบุตรีประชากรของข้าพเจ้า จึงไม่กลับสู่สภาพเดิมได้

เยเรมีย์ 9
1 โธ่เอ๋ย ถ้าศีรษะของข้าพเจ้าเป็นน้ำ และดวงตาของข้าพเจ้าเป็นบ่อน้ำตาพุก็จะดี เพื่อข้าพเจ้าจะได้ร้องไห้ทั้งกลางวันและกลางคืน เพราะ บุตรีชนชาติของข้าพเจ้า ที่ถูกฆ่า
2 โธ่เอ๋ย ถ้าข้าพเจ้ามีที่พักสำหรับคนเดินทาง อยู่ที่ในถิ่นทุรกันดารก็จะดี เพื่อข้าพเจ้าจะได้พรากจากชนชาติของข้าพเจ้า และไปให้พ้นเขาเสีย เพราะเขาทั้งหลายเป็นคนล่วงประเวณีทั้งหมด และเป็นหมู่คนที่มักทรยศ
3 เขาทั้งหลายงอลิ้นของเขาเหมือนคันธนู ความเท็จและไม่ใช่สัจจะที่เจริญแข็งแรงขึ้นในแผ่นดิน เพราะเขาทั้งหลายจากความชั่วอย่างนี้ไปสู่ความชั่วอย่างนั้น และเขาทั้งหลายไม่รู้จักเรา พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
4 ขอให้ทุกคนระวังเพื่อนบ้านของตน และอย่าวางใจในพี่น้องคนใดเลย เพราะว่าพี่น้องทุกคนเป็นคนหลอกล่อ และเพื่อนบ้านทุกคนเที่ยวไปเป็นคนครหานินทา
5 ทุกคนล่อลวงเพื่อนบ้านของตัว ไม่มีใครพูดความจริงสักคนเดียว เขาได้สอนลิ้นของเขาให้พูดมุสา เขาได้กระทำบาปชั่วและกลับใจอีกไม่ได้แล้ว
6 เขาเอาการบีบบังคับกองทับการบีบบังคับ และเอาการล่อลวงกองทับการล่อลวง เขาปฏิเสธที่จะรู้จักเรา พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
7 เพราะฉะนั้น พระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้ว่า "ดูเถิด เราจะถลุงเขาและทดลองเขา เหตุประชากรของเรา เราจะทำอย่างอื่นได้อย่างไร
8 ลิ้นของเขาเป็นลูกศรมฤตยู มันพูดมารยา ทุกคนพูดอย่างศานติกับเพื่อนบ้านของเขาด้วยปาก แต่ในใจของเขา เขาวางแผนการคอยดักเขาอยู่
9 พระเจ้าตรัสว่า ไม่ควรที่เราจะลงโทษเขาเพราะสิ่งเหล่านี้หรือ ไม่ควรที่เราจะแก้แค้นประชาชาติที่เป็นอย่างนี้หรือ
10 "จงร้องไห้และครวญครางเหตุภูเขานั้น และคร่ำครวญเหตุลานหญ้าในถิ่นทุรกันดาร เพราะว่ามันถูกทิ้งร้าง ไม่มีผู้ใดผ่านไปมา ไม่ได้ยินเสียงสัตว์เลี้ยงร้อง ทั้งนกในอากาศและสัตว์ ได้หนีไปเสียแล้ว
11 เราจะกระทำให้เยรูซาเล็มเป็นกองสิ่งปรักหักพัง เป็นที่อยู่ของหมาป่า และเราจะกระทำให้หัวเมืองของยูดาห์เป็นที่เริศร้าง ไม่มีชาวเมือง"
12 ใครเป็นคนมีปัญญาที่จะเข้าใจความนี้ได้ และมีผู้ใดที่พระโอษฐ์ของพระเจ้าได้ตรัสแก่เขา เขาจึงประกาศความนั้นได้ เหตุไฉนแผ่นดินจึงพังทำลายและทิ้งไว้ว่างเปล่า เหมือนถิ่นทุรกันดาร จึงไม่มีใครผ่านไปมา
13 และพระเจ้าตรัสว่า "เพราะเขาทั้งหลายทอดทิ้งธรรมของเราซึ่งเรา ได้ตั้งไว้ต่อหน้าเขา และไม่ได้เชื่อฟังเสียงของเราหรือดำเนินตามนั้น
14 แต่ได้ดำเนินตามใจของตนเองอย่างดื้อดึง และติดสอยห้อยตามพวกพระบาอัลอย่างที่บรรพบุรุษ ได้สั่งสอนเขาไว้
15 เพราะฉะนั้น พระเจ้าจอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอลจึงตรัสว่า ดูเถิด เราจะเลี้ยงชนชาตินี้ด้วยบอระเพ็ด และให้น้ำดีหมีเขาดื่ม
16 เราจะกระจายเขาไปท่ามกลางประชาชาติที่ตัวเขาเอง และบรรพบุรุษของเขาไม่รู้จัก และเราจะส่งดาบให้ไล่ตามเขาทั้งหลาย จนเราจะผลาญเขาสิ้น"
17 พระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้ว่า "จงตรึกตรองดู และเรียกนางร้องไห้ให้มา จงให้คนไปตามหญิงที่ชำนาญมา
18 ให้เขารีบส่งเสียงคร่ำครวญเพื่อเราทั้งหลาย เพื่อน้ำตาจะอาบตาของเรา และหนังตาของเราจะมีน้ำตาพุออกมา
19 เพราะได้ยินเสียงคร่ำครวญจากศิโยน 'เราทั้งหลายย่อยยับเพียงใดแล้ว เราอับอายนักหนา เพราะเราได้ออกจากแผ่นดิน เพราะเขาได้ทำลายที่อาศัยของเราลง'"
20 หญิงเอ๋ย จงฟังพระวจนะของพระเจ้า และให้หูของเจ้ารับพระวจนะจากพระโอษฐ์ของพระองค์ จงสอนบทคร่ำครวญแก่บุตรีของเจ้า จงสอนบทเพลงศพแก่เพื่อนบ้านของเธอทุกคน
21 เพราะความตายได้ขึ้นมาเข้าหน้าต่างของเรา มันเข้ามาในวังทั้งหลายของเรา ตัดพวกเด็กๆออกเสีย จากถนนหนทาง และตัดคนหนุ่มๆออกเสียจากลานเมือง
22 จงพูดว่า "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า 'ศพมนุษย์จะล้มลง เหมือนมูลสัตว์ตกตามพื้นทุ่ง เหมือนฟ่อนข้าวล้มตามผู้เกี่ยว และไม่มีผู้ใดจะเก็บ'"
23 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า "อย่าให้ผู้มีปัญญาอวดในสติปัญญาของตน อย่าให้ชายฉกรรจ์อวดในความเข้มแข็งของตน อย่าให้คนมั่งมีอวดในความมั่งคั่งของตน
24 แต่ให้ผู้อวดอวดในสิ่งนี้ คือในการที่เขาเข้าใจและรู้จักเรา ว่าเราคือพระเจ้า ทรงสำแดงความรักมั่นคง ความยุติธรรม และความชอบธรรมในโลก เพราะว่าเราพอใจในสิ่งเหล่านี้ พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ"
25 "พระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด วันเวลากำลังมาถึงแล้ว เมื่อเราจะลงโทษบรรดาผู้ที่รับพิธีเข้าสุหนัต และเหมือนไม่ได้รับพิธีเข้าสุหนัต คือ
26 อียิปต์ ยูดาห์ เอโดม และคนอัมโมน โมอับและทุกคนที่อาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดาร บรรดาคนที่โกนผมจอนหู เพราะบรรดาประชาชาติเหล่านี้มิได้รับพิธีเข้าสุหนัต และบรรดาประชาอิสราเอลก็มิได้รับพิธีเข้าสุหนัตทางใจ"

เยเรมีย์ 10
1 ประชาอิสราเอลเอ๋ย จงฟังพระวจนะซึ่งพระเจ้าตรัสกับเจ้า
2 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า "อย่าเอาอย่างบรรดาประชาชาติ หรืออย่าคร้ามกลัวเพราะหมายสำคัญของท้องฟ้า ตามที่บรรดาประชาชาติคร้ามกลัวนั้น
3 เพราะธรรมเนียมของชนชาติทั้งหลายก็เท็จ เขาตัดต้นไม้มาจากป่าต้นหนึ่ง เป็นสิ่งที่มือช่างได้กระทำด้วยขวาน
4 เขาทั้งหลายก็เอาเงินและทองมาประดับ เขาตอกไว้แน่นด้วยค้อนและตะปู มันก็เคลื่อนไหวไปมาไม่ได้
5 รูปเคารพของเขาก็เหมือนหุ่นหลอกกาอยู่ในสวนแตงกวา มันพูดไม่ได้ คนต้องขนมันไป เพราะมันเดินไม่ได้ อย่ากลัวมันเลย เพราะมันทำร้ายไม่ได้ มันก็ทำดีไม่ได้ด้วย"
6 ข้าแต่พระเจ้า หามีผู้ใดเหมือนพระองค์ไม่ พระองค์ทรงเป็นใหญ่ และพระนามของพระองค์มีฤทธิ์มาก
7 ข้าแต่พระราชาแห่งบรรดาประชาชาติ ผู้ใดจะไม่ยำเกรงพระองค์ เพราะพระองค์สมควรแก่การอย่างนี้ เพราะในบรรดาปราชญ์ของบรรดาประชาชาติ และในบรรดาราชอาณาจักรทั้งสิ้นของเขา ไม่มีผู้ใดเหมือนพระองค์
8 เขาทั้งหลายทั้งบัดซบและโง่เขลา การตีสอนของรูปเคารพนั้นก็เป็นแต่ไม้
9 เครื่องเงินทุบนั้นเขาเอามาจากทารชิช และเอาทองคำมาจากเมืองอุฟาส เป็นผลงานของช่างฝีมือและเป็นผลน้ำมือของช่างทอง เสื้อผ้าของรูปเคารพนั้นสีครามและสีม่วง เป็นผลงานของคนชำนาญทั้งนั้น
10 แต่พระเยโฮวาห์เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ และเป็นพระมหากษัตริย์เนืองนิตย์ พอทรงพระพิโรธแผ่นดินก็หวั่นไหว และบรรดาประชาชาติจะทนต่อความกริ้วของพระองค์ไม่ได้
11 เจ้าจงพูดกับเขาทั้งปวงดังนี้ว่า "บรรดาพระเจ้าผู้ที่มิได้ทรงสร้างสวรรค์และโลกจะพินาศไปจากโลก และจากภายใต้สวรรค์"
12 ผู้ทรงสร้างโลกด้วยฤทธิ์เดชของพระองค์ ผู้ทรงสถาปนาพิภพไว้ด้วยสติปัญญาของพระองค์ และทรงคลี่ท้องฟ้าออกด้วย ความเข้าใจของพระองค์
13 เมื่อพระองค์ทรงเปล่งพระสุรเสียง ก็มีเสียงน้ำคะนองในท้องฟ้า และทรงกระทำให้หมอกลอยขึ้นจากปลายพิภพ ทรงกระทำฟ้าแลบเพื่อฝน และทรงนำลมมาจากพระคลังของพระองค์
14 มนุษย์ทุกคนบัดซบและไม่มีความรู้ ช่างทองทุกคนจะได้อายเพราะรูปเคารพของตน เพราะรูปเคารพหล่อของเขาเป็นของเท็จ และไม่มีลมหายใจในรูปเคารพนั้น
15 มันเป็นของไร้ค่า และเป็นผลงานที่น่าเยาะเย้ย มันจะต้องพินาศเมื่อถึงเวลาการลงโทษ
16 พระองค์ผู้ทรงเป็นส่วนของยาโคบไม่เหมือนสิ่งเหล่านี้ เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ที่ก่อร่างทุกสิ่งขึ้น และอิสราเอลเป็นเผ่าที่เป็นมรดกของพระองค์ พระเยโฮวาห์จอมโยธาเป็นพระนามของพระองค์
17 เจ้าทั้งหลายที่อาศัยอยู่ภายใต้การถูกล้อมเอ๋ย จงเก็บข้าวของจากพื้นดิน
18 เพราะพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า "ดูเถิด เราจะเหวี่ยงชาวแผ่นดินออกไปเสีย ณเวลานี้ และเราจะนำความทุกข์ใจมาถึงเขา เพื่อให้เขารู้สึก"
19 วิบัติแก่ข้าพเจ้า เพราะความเจ็บปวดของ ข้าพเจ้า บาดแผลของข้าพเจ้าก็ร้ายหนัก แต่ข้าพเจ้าเคยว่า "แท้จริงนี่เป็นความทุกข์ใจ และข้าพเจ้าจะต้องทนเอา"
20 เต็นท์ของข้าพเจ้าก็ถูกทำลาย และเชือกของข้าพเจ้าก็ขาดสิ้น ลูกๆของข้าพเจ้าจากข้าพเจ้าไปหมด และไม่มีเขาอีกแล้ว ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดที่จะกางเต็นท์ให้ข้าพเจ้าอีก และแขวนม่านของข้าพเจ้าให้
21 เพราะว่าผู้เลี้ยงแกะก็บัดซบและไม่ได้ทูลถามพระเจ้า เพราะฉะนั้นเขาจึงมิได้จำเริญขึ้น และฝูงแกะของเขาก็กระจัดกระจายไป
22 จงฟังซิ นั่นเป็นเสียงลือ ดูเถิด มาถึงแล้ว เสียงโกลาหลยิ่งใหญ่จากแดนเหนือ มากระทำให้หัวเมืองยูดาห์เป็นที่เริศร้าง ให้เป็นที่อยู่ของหมาป่า
23 ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ทราบแล้วว่าทางของมนุษย์ไม่อยู่ที่ตัวเขา คือไม่อยู่ที่มนุษย์ผู้ซึ่งดำเนินไป ที่จะนำฝีก้าวของตนเอง
24 ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงโปรดตีสอนข้าพระองค์เพียงตามขนาด มิใช่ด้วยความกริ้วของพระองค์ เกรงว่าพระองค์จะทรงนำข้าพระองค์มาถึงความสูญเปล่า
25 ขอพระองค์ทรงเทพระพิโรธ ของพระองค์เหนือเหล่าประชาชาติที่ไม่รู้จัก พระองค์ และเหนือบรรดาตระกูลผู้ไม่ออกพระนามของพระองค์ เพราะเขาทั้งหลายได้เผาผลาญยาโคบ เขาได้กินท่านเสียและเผาผลาญท่านเสีย และกระทำที่อาศัยของท่านให้ถูกทิ้งร้าง

เยเรมีย์ 11
1 พระวจนะซึ่งมาจากพระเจ้าถึงเยเรมีย์ว่า
2 "เจ้าจงฟังถ้อยคำในพันธสัญญานี้เถิด และจงกล่าวแก่คนยูดาห์และชาวกรุงเยรูซาเล็ม
3 เจ้าจงกล่าวแก่เขาว่า พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า คนหนึ่งคนใดที่ไม่เชื่อฟังถ้อยคำในพันธสัญญานี้ ให้ผู้นั้นเป็นที่แช่งเถิด
4 ซึ่งเป็นพันธสัญญาที่เราบัญชาแก่ บรรพบุรุษของเจ้าทั้งหลาย ผู้ซึ่งเราได้นำเขาออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ จากเตาไฟเหล็ก กล่าวว่าจงฟังเสียงของเรา และจงกระทำทุกอย่างที่เราบัญชา เจ้าไว้เจ้าจึงจะเป็นประชากรของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของเจ้า
5 เพื่อเราจะกระทำให้สำเร็จ ตามคำสาบานซึ่งเราได้ปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของเจ้าว่า จะประทานแผ่นดินซึ่งมีน้ำนม และน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์แก่เขาอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้" แล้วข้าพเจ้าจึงทูลตอบว่า "ข้าแต่พระเจ้า ขอให้เป็นดังนั้นเถิด"
6 และพระเจ้าตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า "จงป่าวร้องถ้อยคำเหล่านี้ทั้งสิ้นในหัวเมือง ของยูดาห์และในถนนหนทางเยรูซาเล็มว่า จงฟังถ้อยคำแห่งพันธสัญญานี้และประพฤติตาม
7 เพราะเราได้กล่าวตักเตือนอย่างแข็งแรงต่อ บรรพบุรุษของเจ้า เมื่อเรานำเขาขึ้นมาจากแผ่นดินอียิปต์ ตักเตือนเขาอย่างมิได้หยุดยั้ง แม้จนถึงทุกวันนี้กล่าวว่า จงฟังเสียงของเรา
8 ถึงกระนั้นเขาทั้งหลายก็ไม่เชื่อฟังหรือเงี่ยหูฟัง แต่ทุกคนดำเนินตามความดื้อกระด้างแห่งจิตใจอัน ชั่วร้ายของเขา เหตุฉะนี้เราจึงนำซึ่งตามถ้อยคำแห่งพันธสัญญา นี้ที่เราได้บัญชาให้เขากระทำ แต่เขามิได้กระทำตามนั้น ให้มาตกเหนือเขา
9 พระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าอีกว่า "มีการคิดกบฏท่ามกลางคนยูดาห์และชาวกรุงเยรูซาเล็ม
10 เขาได้หันกลับไปหาบาปชั่วแห่งบรรพบุรุษ ของเขาผู้ปฏิเสธไม่ยอมฟังถ้อยคำของเรา เขาติดสอยห้อยตามพระอื่นๆ และปรนนิบัติพระนั้น ประชาอิสราเอลและประชายูดาห์ได้ผิดพันธสัญญาของเรา ซึ่งเรากระทำต่อบรรพบุรุษของเขา
11 เพราะฉะนั้น พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะนำเหตุร้ายมาเหนือเขา ซึ่งเขาหนีไม่พ้น ถึงเขาจะร้องทุกข์ต่อเรา เราจะไม่ฟังเขาทั้งหลาย
12 แล้วหัวเมืองยูดาห์และชาวกรุงเยรูซาเล็ม จะไปร้องทุกข์ต่อพระ ซึ่งเขาทั้งหลายได้เผาเครื่องหอมถวายนั้น แต่พระเหล่านั้นช่วยเขาในเวลาลำบากไม่ได้
13 ยูดาห์เอ๋ย พระทั้งหลายของเจ้าก็มากเท่ากับหัวเมืองทั้งหลายของเจ้า และตามจำนวนหนทางในกรุงเยรูซาเล็ม เจ้าได้ตั้งแท่นบูชาถวายสิ่งที่อับอาย คือแท่นสำหรับเผาเครื่องหอมถวายแก่พระบาอัล
14 "เพราะฉะนั้น เจ้าอย่าอธิษฐานเพื่อชนชาตินี้ อย่าร้องขึ้นหรืออธิษฐานเพื่อเขาทั้งหลาย เพราะเราจะไม่ฟังเมื่อเขาร้องต่อเราในเวลาลำบาก
15 ผู้ที่รักของเรานั้นมีสิทธิอะไรในนิเวศของเราเล่า ในเมื่อนางนั้นได้กระทำการชั่วช้ามาก คำบนบานและเนื้อสัตว์ที่สักการบูชา จะหันเหโทษของเจ้าได้หรือ อย่างนี้แล้วเจ้าจะเริงโลดได้หรือ
16 พระเจ้าทรงเคยเรียกเจ้าว่า 'ต้นมะกอกเทศสดงดงามด้วยผลเป็นอย่างดี' แต่พระองค์ทรงก่อไฟเผามันเสียด้วยเสียงพายุใหญ่ และกิ่งทั้งหลายของมันจะถูกเผาผลาญหมด
17 พระเจ้าจอมโยธาผู้ได้ปลูกเจ้า ได้ทรงประกาศความร้ายให้ตกแก่เจ้า เพราะความชั่วช้าซึ่งประชาอิสราเอล และประชายูดาห์ได้กระทำ ได้ยั่วยุให้เราโกรธด้วยการเผาเครื่องหอมถวายแก่พระบาอัล"
18 พระเจ้าทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้าและข้าพเจ้าก็รู้ แล้วพระองค์ทรงสำแดงกรรมของเขาแก่ข้าพระองค์
19 แต่ข้าพระองค์เป็นเหมือนลูกแกะสุภาพตัวหนึ่ง ซึ่งถูกพามาถึงที่ฆ่า ข้าพระองค์ไม่ทราบเลยว่าข้าพระองค์เอง ได้ถูกเขาวางแผนการต่อสู้ โดยกล่าวว่า "ให้เราทำลายต้นไม้กับผลของมันเสียด้วย ให้เราตัดเขาออกเสียจากแดนคนเป็น เพื่อชื่อของเขาจะไม่เป็นที่ระลึกถึงอีกเลย"
20 แต่ว่า ข้าแต่พระเจ้าจอมโยธา ผู้ทรงพิพากษาอย่างชอบธรรม ผู้ทรงทดลองดูทั้งใจและจิต ขอให้ข้าพระองค์แลเห็นการแก้แค้นของพระองค์ตกแก่เขา เพราะข้าพระองค์ได้มอบเรื่องของ ข้าพระองค์ไว้กับพระองค์แล้ว
21 เพราะฉะนั้น พระเจ้าตรัสดังนี้ เกี่ยวกับคนตำบลอานาโธท ผู้แสวงหาชีวิตของเจ้า และกล่าวว่า "อย่าเผยพระวจนะในพระนามของพระเจ้า หรือมิฉะนั้นเจ้าจะต้องตายด้วยมือของเรา"
22 เพราะฉะนั้น พระเจ้าจอมโยธาตรัสว่า "ดูเถิด เราจะลงโทษเขาทั้งปวง พวกคนหนุ่มจะตายด้วยดาบ บรรดาบุตรชายและบุตรหญิงของเขา จะตายด้วยการกันดารอาหาร
23 จะไม่มีเหลือสักคนเดียว เพราะเราจะนำความร้ายมาสู่คนตำบลอานาโธท คือปีแห่งการลงโทษเขา

เยเรมีย์ 12

1 ข้าแต่พระเจ้า เมื่อข้าพระองค์สู้คดีกับพระองค์ พระองค์ก็ทรงเป็นฝ่ายถูก แม้กระนั้นข้าพระองค์ยังขอทูลเสนอมูลคดี ของข้าพระองค์ต่อพระองค์ ไฉนทางของคนอธรรมจึงจำเริญขึ้น ไฉนทุกคนที่ทรยศก็อยู่เย็นเป็นสุข
2 พระองค์ทรงปลูกเขาทั้งหลาย และเขาทั้งหลายก็หยั่งรากลง เขาทั้งหลายงอกงามขึ้นและบังเกิดผล พระองค์ทรงอยู่ใกล้ที่ปากของเขา แต่ไกลจากใจของเขา
3 ข้าแต่พระเจ้า แต่พระองค์ทรงรู้จักข้าพระองค์ พระองค์ทรงเห็นข้าพระองค์และทรง ทดลองความคิดของข้าพระองค์ที่มีต่อพระองค์ ขอทรงฉุดเขาออกมาเหมือนแกะ สำหรับการฆ่า และตั้งเขาทั้งหลายไว้ต่างหาก เพื่อวันฆ่า
4 แผ่นดินนี้จะไว้ทุกข์นานเท่าใด และผักหญ้าตามท้องนาทุกแห่งจะเหี่ยวแห้งไปนานเท่าใด เพราะความอธรรมของผู้ที่อาศัยอยู่ในนั้น สัตว์และนกก็ถูกกวาดเอาไปสิ้น เพราะเขาว่า "พระองค์จะไม่ทอดพระเนตรบั้นสุดปลายของเราทั้งหลาย"
5 "ถ้าเจ้าวิ่งแข่งกับมนุษย์ และเขาทำให้เจ้าเหน็ดเหนื่อย เจ้าจะแข่งกับม้าได้อย่างไร และถ้าเจ้ายังล้มลงในแผ่นดินที่ปลอดภัย เจ้าจะทำอย่างไรในดงลุ่มแม่น้ำจอร์แดน
6 เพราะว่าแม้พี่น้องของเจ้าและเชื้อสายของบิดาเจ้า แม้ว่าเขาก็ได้กระทำการทรยศต่อเจ้า เขายังร้องไล่ตามเจ้าไปอย่างเต็มเสียง ถึงแม้ว่าเขาพูดถ้อยคำอย่างดีแก่เจ้า อย่าเชื่อเขาเลย
7 "เราได้ละทิ้งนิเวศของเรา เราได้เหวี่ยงมรดกของเราทิ้ง เราได้มอบผู้ที่รักของจิตใจเรา ไว้ในมือศัตรูของเขา
8 มรดกของเรา ได้กลายเป็นเหมือนสิงห์ในป่าต่อเรา เขาตะเบ็งเสียงของเขาเข้าใส่เรา เพราะฉะนั้นเราจึงเกลียดเขา
9 มรดกของเราเป็นแก่เราเหมือนนกลายด่างที่กินเหยื่อหรือ นกที่กินเหยื่ออยู่รอบนกนั้นหรือ ไปเถอะ ไปชุมนุมสัตว์ป่าทุ่งทั้งสิ้น นำมันให้มากินเสีย
10 ผู้เลี้ยงแกะเป็นอันมากได้ทำลายสวนองุ่นของเราเสีย เขาทั้งหลายได้เหยียบย่ำส่วนของเราลง เขาทั้งหลายได้กระทำส่วนอันพึงใจของเรา กลายเป็นถิ่นทุรกันดารที่ร้างเปล่า
11 เขาทั้งหลายได้กระทำส่วนของเราให้ร้างเปล่า เมื่อร้างเปล่าส่วนนั้นก็ไว้ทุกข์ต่อเรา แผ่นดินทั้งสิ้นก็ถูกทิ้งให้ร้างเปล่า เพราะไม่มีผู้ใดเอาใจใส่เรื่องนั้น
12 ผู้ทำลายล้างได้มา บนบรรดาที่สูงทั้งปวงในถิ่นทุรกันดาร เพราะว่าแสงดาบของพระเจ้าทำลาย จากปลายแผ่นดินนี้ไปถึงปลายอีกข้างหนึ่ง มนุษย์ไม่มีศานติภาพ
13 เขาทั้งหลายได้หว่านข้าวสาลีแต่ได้เกี่ยวหนาม เขาได้กระทำให้ตัวเหน็ดเหนื่อยแต่ไม่ได้กำไรอะไร เจ้าทั้งหลายจงละอายด้วยผลการเกี่ยวของเจ้า ด้วยเหตุความโกรธเกรี้ยวกราดของพระเจ้า"
14 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า "ด้วยเรื่องเพื่อนบ้านที่ชั่วช้าของเรา ผู้ที่ได้แตะต้องมรดกซึ่งเราได้ให้ อิสราเอลประชากรของเราสืบมรดกนั้น ดูเถิด เราจะถอนเขาทั้งหลายขึ้นจากแผ่นดินของเขา และเราจะถอนเชื้อสายยูดาห์จากท่ามกลางเขาทั้งหลาย
15 และหลังจากที่เราได้ถอนเขาทั้งหลายขึ้นแล้ว เราจะกลับมีความเมตตาต่อเขาอีก และเราจะนำเขาทั้งหลายมาอีก ให้ต่างก็มายังมรดกของตนและยังแผ่นดินของตน
16 และจะเกิดกรณีขึ้นว่า ถ้าเขาทั้งหลายจะอุตส่าห์ศึกษาทางแห่งประชากรของเรา คือปฏิญาณในนามของเราว่า "ตราบใดที่พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่" อย่างที่เขาได้สอนประชากรของเราให้ปฏิญาณโดยพระบาอัล แล้วเขาจะได้รับการสร้างขึ้นไว้ท่ามกลางประชากรของเรา
17 แต่ถ้าเขาทั้งหลายไม่ฟัง แล้วเราจะถอนประชาชาตินั้นขึ้นและทำลายเขาจนสิ้น พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ"

เยเรมีย์ 13
1 พระเจ้าตรัสแก่ข้าพเจ้าดังนี้ว่า "จงไปซื้อผ้าป่านคาดเอวมาผืนหนึ่ง คาดเอวของเจ้าไว้และอย่าจุ่มน้ำ"
2 ข้าพเจ้าจึงซื้อผ้าคาดเอวผืนหนึ่งตามพระวจนะของพระเจ้า และคาดเอวของข้าพเจ้าไว้
3 และพระวจนะของพระเจ้ามาถึงข้าพเจ้าครั้งที่สองว่า
4 "จงเอาผ้าคาดเอวซึ่งเจ้าได้ซื้อมา ซึ่งอยู่ที่เอวของเจ้า และจงลุกขึ้นไปยังแม่น้ำยูเฟรติส แล้วซ่อนผ้านั้นไว้ในซอกหินแห่งหนึ่ง"
5 ข้าพเจ้าก็ไปและซ่อนผ้านั้นไว้ข้างแม่น้ำยูเฟรติส ดังที่พระเจ้าทรงบัญชาข้าพเจ้า
6 ต่อมาอีกหลายวันพระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า "จงลุกขึ้นไปยังแม่น้ำยูเฟรติส และเอาผ้าคาดเอวซึ่งเราได้สั่งเจ้า ให้ซ่อนไว้ที่นั่นนั้นมาเสียจากที่นั่น"
7 แล้วข้าพเจ้าก็ไปที่แม่น้ำยูเฟรติส และขุดเอาผ้าคาดเอวมาจากที่ซึ่งข้าพเจ้าได้ซ่อนไว้ ดูเถิด ผ้าคาดเอวนั้นเสียหมดจะใช้การสิ่งใดก็ไม่ได้
8 แล้วพระวจนะของพระเจ้าก็มายังข้าพเจ้าว่า
9 "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เราก็จะทำลายความทะนงใจของยูดาห์ และความทะนงใจใหญ่ยิ่งของเยรูซาเล็มเสียอย่างนั้นแหละ
10 คือชนชาติที่ชั่วร้ายนี้ ผู้ปฏิเสธไม่ฟังถ้อยคำของเรา ผู้ที่ดื้อกระทำตามใจของตนเอง และได้ติดสอยห้อยตามพระอื่น เพื่อจะปรนนิบัติและนมัสการพระเหล่านั้น จะเป็นเหมือนผ้าคาดเอวนี้ซึ่งจะใช้การสิ่งใดก็ไม่ได้
11 เพราะผ้าคาดเอวติดอยู่ที่เอวของมนุษย์ฉันใด เราก็ได้กระทำให้ประชาชนทั้งสิ้นของอิสราเอล และประชาชนทั้งสิ้นของยูดาห์ติดอยู่กับเราฉันนั้น พระเจ้าตรัสดังนี้ เพื่อเขาทั้งหลายจะเป็นประชากร ชื่อเสียงที่สรรเสริญ และที่ภูมิใจแก่เรา แต่เขาทั้งหลายก็ไม่ฟัง บทเรียนจากไหเหล้าที่เต็ม
12 "ฉะนั้น เจ้าจงกล่าวถ้อยคำนี้แก่เขาทั้งหลาย พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า 'เหล้าองุ่นจะเต็มไหทุกลูก' และเขาทั้งหลายจะพูดกับเจ้าว่า 'เราไม่รู้หรือว่าเหล้าองุ่นจะต้องเต็มไหทุกลูก'
13 แล้วเจ้าจงพูดกับเขาทั้งหลายว่า 'พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะให้ชาวแผ่นดินนี้ทั้งสิ้นเต็มไปด้วยความมึนเมา คือกษัตริย์ทั้งหลายของผู้ประทับบนบัลลังก์ของดาวิด พวกปุโรหิต พวกผู้เผยพระวจนะ และชาวกรุงเยรูซาเล็มทั้งสิ้น
14 และพระเจ้าตรัสว่า เราจะเหวี่ยงเขาทั้งหลายให้ชนกันและกัน พวกพ่อก็ชนพวกลูก เราจะไม่สงสารหรือไม่ไว้ชีวิต หรือมีความเมตตาที่เราจะไม่ทำลายเขา'"
15 จงฟังและเงี่ยหูฟัง อย่ายโสไปเลย เพราะพระเจ้าทรงลั่นพระวาจาแล้ว
16 จงถวายพระสิริแด่พระเยโฮวาห์ พระเจ้าของเจ้าทั้งหลาย ก่อนที่พระองค์จะทรงนำความมืดมา ก่อนที่เท้าของเจ้าจะสะดุด บนภูเขาที่มีแสงโพล้เพล้ และขณะเมื่อเจ้าทั้งหลายมองหาความสว่าง พระองค์ทรงกลับให้เป็นความมืดคลุ้ม และทรงกระทำให้เป็นความมืดทึบ
17 แต่ถ้าเจ้าทั้งหลายไม่ฟัง จิตใจของข้าพเจ้าก็จะร้องไห้ลับๆ เพราะความทะนงใจของเจ้า ตาของข้าพเจ้าจะร้องไห้มากนักและมีน้ำตาอาบหน้า เพราะฝูงแกะของข้าพเจ้าถูกต้อนเอาไปเป็นเชลย
18 จงกล่าวแก่พระราชาและพระราชินีว่า "ขอทรงประทับณที่ต่ำ เพราะว่ามงกุฎสวยงามของพระองค์ ได้หล่นมาจากพระเศียรของพระองค์แล้ว"
19 หัวเมืองแห่งเนเกบก็ถูกปิด ซึ่งไม่มีใครจะเปิดได้ ยูดาห์ทั้งสิ้นก็ถูกกวาดไปเป็นเชลยแล้ว ถูกกวาดไปเป็นเชลยหมดทีเดียว
20 "จงเงยหน้าของเจ้าขึ้นดู เขาเหล่านั้นที่มาจากทิศเหนือ ฝูงแกะที่ได้มอบไว้ให้แก่เจ้านั้นอยู่ที่ไหน คือฝูงแกะที่งดงามของเจ้านั่นน่ะ
21 เจ้าจะว่าอย่างไรเมื่อเขาตั้งคนเหล่านั้น ผู้ซึ่งตัวเจ้าเองได้สอนให้เป็นมิตรกับเจ้า ไว้เป็นประมุขของเจ้า ความเจ็บปวดจะไม่เข้ามาครอบงำเจ้า อย่างความเจ็บปวดของผู้หญิงที่กำลังคลอดบุตรหรือ
22 และถ้าเจ้าว่าในใจของเจ้าว่า 'ทำไมสิ่งเหล่านี้จึงเกิดกับข้า' ก็เพราะบาปชั่วที่มากมายใหญ่โตของเจ้า เสื้อของเจ้าจึงต้องถูกถลกขึ้น และเจ้าจึงถูกข่มขืน
23 คนเอธิโอเปียเปลี่ยนวรรณของตนเองได้หรือ หรือเสือดาวเปลี่ยนลายของมัน ถ้าได้แล้วเจ้าทั้งหลายผู้ที่เคยต่อการกระทำความชั่ว จะมากระทำความดีก็ได้
24 เราจะกระจายเขาทั้งหลายไปเหมือนแกลบ ที่ถูกลมจากถิ่นทุรกันดาร
25 นี่เป็นส่วนของเจ้า เป็นส่วนที่เราได้ตวงออกให้แก่เจ้า พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ เพราะเจ้าได้ลืมเราเสีย และไว้วางใจในการมุสา
26 ฉะนั้น เราเองจะถลกเสื้อคลุมของเจ้ามาปกหน้าเจ้า คือให้เห็นความอับอายขายหน้าของเจ้า
27 เราได้เห็นการที่น่าสะอิดสะเอียนของเจ้า การล่วงประเวณีของเจ้าและการครวญหาการ เล่นชู้อย่างแก่ราคะของเจ้า บนเนินเขาทั้งหลายที่ในทุ่งนา โอ เยรูซาเล็มเอ๋ย วิบัติแก่เจ้า อีกนานสักเท่าใด เจ้าจึงจะยอมกระทำให้เจ้าสะอาดได้"

เยเรมีย์ 14
1 พระวจนะของพระเจ้าซึ่งมาถึงเยเรมีย์ เกี่ยวด้วยความแห้งแล้งว่า
2 "ยูดาห์ไว้ทุกข์ และประตูเมืองทั้งปวงของเธอก็อ่อนกำลังลง ประชาชนของเธอก็แต่งดำหน้าก้มอยู่บนแผ่นดิน และเสียงร้องของเยรูซาเล็มก็ขึ้นไป
3 เจ้านายของเธอสั่งคนใช้ของเขาให้ไปตักน้ำ เขาทั้งหลายไปยังที่ขังน้ำ เห็นว่าไม่มีน้ำ เขาทั้งหลายก็กลับไปด้วยภาชนะเปล่า เขาทั้งหลายได้อายและขายหน้า เขาจึงคลุมศีรษะของเขาทั้งหลายเสีย
4 เพราะเรื่องแผ่นดินที่แห้งแล้ง เนื่องจากไม่มีฝนตกบนแผ่นดิน ชาวนาทั้งหลายก็อับอาย เขาทั้งหลายจึงคลุมศีรษะของเขาเสีย
5 แม้กวางตัวเมียที่อยู่ในท้องทุ่งก็ละทิ้งลูก ที่ตกใหม่ของมันเสีย เพราะว่าไม่มีหญ้า
6 ลาป่ายืนอยู่บนที่สูงโล้น มันหอบเหมือนกับหมาป่า ตาของมันก็มืดมัว เพราะว่าไม่มีผักหญ้า
7 "แม้ว่าบาปชั่วของข้าพระองค์ทั้งหลาย ก็เป็นพยานปรักปรำข้าพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า ขอพระองค์โปรดเถิด เพื่อเห็นแก่พระนามของพระองค์ บรรดาการกลับสัตย์ของข้าพระองค์ทั้งหลายก็มากยิ่ง ข้าพระองค์ทั้งหลายกระทำบาปต่อพระองค์
8 ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นความหวังแห่งอิสราเอล เป็นพระผู้ช่วยของเขาในยามลำบาก ไฉนพระองค์จะทรงเป็นเหมือนแขกเมืองในแผ่นดิน หรือเหมือนคนเดินทางแวะอาศัยค้างเพียงคืนเดียว
9 ไฉนพระองค์จะทรงเป็นเหมือนชายที่งันงง หรือเหมือนคนที่มีกำลังมากแต่ช่วยใครไม่ได้ ข้าแต่พระเจ้า แม้กระนั้นก็ดีพระองค์ทรงสถิตท่ามกลางข้าพระองค์ทั้งหลาย คนเขาเรียกพวกข้าพระองค์โดยพระนามของพระองค์ ขออย่าทรงละข้าพระองค์ทั้งหลายไว้เสีย"
10 พระเจ้าตรัสเกี่ยวกับชนชาตินี้ว่า เขาทั้งหลายรักที่จะพเนจรไปอย่างนี้ เขาทั้งหลายไม่ยับยั้งเท้าของเขาไว้ ฉะนั้นพระเจ้าจึงไม่ทรงโปรดเขา พระองค์จะทรงระลึกถึงบาปชั่วของเขา และลงโทษการผิดบาปของเขา"
11 พระเจ้าตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า "อย่าอธิษฐานเพื่อความอยู่เย็นเป็นสุขของชนชาตินี้เลย
12 แม้ว่าเขาอดอาหารเราก็จะไม่ฟังเสียงร้องของเขา แม้เขาถวายเครื่องเผาบูชาและเครื่องธัญญบูชาเราก็จะไม่รับมัน แต่เราจะผลาญเขาเสียด้วยดาบ ด้วยการกันดารอาหารและด้วยโรคระบาด"
13 แล้วข้าพเจ้าพูดว่า "ข้าแต่พระเจ้า ดูเถิด พวกผู้เผยพระวจนะกล่าวแก่เขาว่า 'ท่านทั้งหลายจะไม่เห็นดาบหรือจะมีการกันดารอาหาร แต่เราจะให้ศานติภาพที่แน่นอนแก่เจ้าในสถานที่นี้'"
14 และพระเจ้าตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า "พวกผู้เผยพระวจนะเหล่านั้นเผยพระวจนะเท็จในนามของเรา เรามิได้ใช้เขาทั้งหลาย และเรามิได้บัญชาเขาหรือพูดกับเขา เขาเผยนิมิตเท็จแก่เจ้าทั้งหลายเป็นการทำนายที่ไร้ค่า เป็นการล่อลวงของจิตใจเขาเอง
15 ฉะนั้น พระเจ้าจึงตรัสดังนี้เกี่ยวด้วยพวกผู้เผยพระวจนะ ผู้เผยพระวจนะในนามของเราแม้ว่าเราไม่ได้ใช้เขาทั้งหลาย และผู้กล่าวว่า 'ดาบและการกันดารอาหารจะไม่มาถึงแผ่นดินนี้' พวกผู้เผยพระวจนะเหล่านั้นจะถูกผลาญเสียด้วย ดาบและการกันดารอาหาร
16 และประชาชนผู้ซึ่งเขาเผยพระวจนะให้ฟังนั้น จะถูกทิ้งไว้ในถนนหนทางกรุงเยรูซาเล็ม เป็นเหยื่อของการกันดารอาหารและดาบซึ่ง ไม่มีผู้ใดจะฝังเขา คือทั้งตัวเขาทั้งหลาย ภรรยาของเขา บุตรชายและบุตรหญิงของเขา เพราะเราจะเทกรรมชั่วของเขาสนองเขา
17 "เจ้าจงกล่าวถ้อยคำนี้แก่เขาว่า 'ขอให้ตาของเรามีน้ำตาไหลทั้งกลางคืนและกลางวัน อย่าให้หยุดยั้ง เพราะ บุตรสาวพรหมจารีแห่งประชากรของ เรา ถูกเจ็บบาดแผลเหวอะหวะ ถูกตีอย่างหนักมาก
18 ถ้าเราออกไปในท้องนา ดูเถิด นั่นคนที่ถูกฆ่าเสียด้วยดาบ ถ้าเราเข้าไปในกรุง ดูเถิด นั่นโรคอันเนื่องจากการกันดาร เพราะว่าทั้งพวกผู้เผยพระวจนะและปุโรหิตไปค้ากันในแผ่นดิน และไม่มีความรู้'"
19 พระองค์ทรงปฏิเสธไม่รับยูดาห์เสียทีเดียวแล้วหรือ พระทัยของพระองค์เกลียดศิโยนเสียแล้วหรือ ไฉนพระองค์ทรงเฆี่ยนตีข้าพระองค์ทั้งหลาย จนไม่มีการรักษาข้าพระองค์ให้หาย ข้าพระองค์ทั้งหลายมองหาสวัสดิภาพ แต่ไม่มีความดีมาเลย เรามองหาเวลาเยียวยา แต่ประสบความสยดสยอง
20 ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ทั้งหลายขอสารภาพความอธรรมของพวก ข้าพระองค์ และบาปชั่วของบรรพบุรุษของข้าพระองค์ เพราะข้าพระองค์ทั้งหลายได้กระทำบาปต่อพระองค์
21 เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์ ขออย่าทรงเกลียดพวกข้าพระองค์ ขออย่าให้หลู่เกียรติแห่งพระที่นั่งอันรุ่งเรืองของพระองค์ ขอทรงระลึกและอย่าทรงหักพันธสัญญาของพระองค์ ซึ่งมีไว้กับข้าพระองค์
22 ในบรรดาพระเทียมเท็จแห่งประชาชาติ ทั้งหลายมีพระองค์ใดเล่าที่ทำให้เกิดฝนได้ หรือท้องฟ้าประทานห่าฝนได้หรือ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระเจ้าของพวกข้าพระองค์ พระองค์มิใช่พระเจ้าองค์นั้นดอกหรือ พวกข้าพระองค์คอยหวังในพระองค์ เพราะพระองค์ทรงกระทำสิ่งเหล่านี้ทั้งสิ้น

เยเรมีย์ 15
1 ฝ่ายพระเจ้าตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า "แม้ว่าโมเสส และซามูเอล จะมายืนอยู่ต่อหน้าเรา จิตใจของเราจะไม่หันไปหาชนชาตินี้ ไล่เขาทั้งหลายออกไปให้พ้นสายตาของเรา แล้วให้เขาไป
2 และเมื่อเขาถามเจ้าว่า 'เราจะไปที่ไหน' เจ้าจงพูดกับเขาว่าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า "คนเหล่านั้นที่กำหนดให้แก่โรคระบาดจะไปหาโรคระบาด คนเหล่านั้นที่กำหนดให้แก่ดาบจะไปหาดาบ คนเหล่านั้นที่กำหนดให้แก่การกันดาร อาหาร จะไปหาการกันดารอาหาร คนที่กำหนดให้แก่การเป็นเชลย จะไปหาการเป็นเชลย"
3 พระเจ้าตรัสว่า "เราจะกำหนดสี่อย่างไว้เหนือเขาคือ ดาบสังหาร สุนัขกัดฉีก นกในอากาศ และสัตว์บนแผ่นดินโลกที่จะกัดกินและทำลาย
4 และเราจะกระทำให้เขาเป็นที่ครั่นคร้าม แก่ราชอาณาจักรทั้งสิ้นแห่งแผ่นดินโลก เหตุด้วยการกระทำซึ่งมนัสเสห์บุตร เฮเซคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ได้กระทำ ในเยรูซาเล็ม
5 เยรูซาเล็มเอ๋ย ใครจะสงสารเจ้า หรือใครจะเสียใจกับเจ้า ใครจะแวะมาถามทุกข์สุขของเจ้า
6 พระเจ้าตรัสว่า เจ้าได้ปฏิเสธเรา เจ้าถอยหลังเรื่อยไป เราจึงได้เหยียดมือออกไปต่อสู้เจ้าและทำลายเจ้า เราเอือมต่อการผ่อนผันแล้ว
7 เราได้ซัดเขาด้วยส้อมซัดข้าว ในบรรดาประตูแห่งเมืองนั้น เราได้ทำให้ลูกของเขาทั้งหลายตาย เราได้ทำลายประชากรของเรา เขาทั้งหลายมิได้หันกลับจากพฤติการณ์ของเขา
8 เรากระทำให้หญิงม่ายของเขามีมาก ยิ่งกว่าทรายในทะเล ณเวลาเที่ยงวัน เราได้นำผู้ทำลาย มาสู่บรรดาแม่ของคนหนุ่มทั้งหลาย เราได้กระทำให้ความแสนระทมและความสยดสยอง ตกเหนือเธอโดยฉับพลัน
9 เธอที่มีบุตรเจ็ดคนก็อ่อนกำลัง เธอสลบไปแล้ว ดวงอาทิตย์ของเธอตกเมื่อยังวันอยู่ นางได้รับความละอายและถูกหยามน้ำหน้า เราจะมอบผู้ที่เหลืออยู่ให้แก่ดาบ ต่อหน้าศัตรูของเขา พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ"
10 แม่จ๋า วิบัติแก่ฉัน ที่แม่คลอดฉันมา เป็นคนที่ให้เกิดการแก่งแย่งและการชิงดีแก่แผ่นดินทั้งสิ้น ฉันก็มิได้ให้ยืม หรือฉันก็มิได้ยืมเขา แต่เขาทุกคนแช่งฉัน
11 ข้าแต่พระเจ้า ถ้าข้าพระองค์มิได้วิงวอนพระองค์เพื่อความดีของเขา ถ้าข้าพระองค์มิได้ทูลขอต่อพระองค์เพื่อศัตรูในเวลา ลำบากและในเวลาทุกข์ใจก็ปล่อยให้เป็นไปอย่างนั้นเถิด พระเจ้าข้า
12 มีผู้หนึ่งผู้ใดหักเหล็กได้หรือ คือเหล็กจากทิศเหนือและทองสัมฤทธิ์
13 หลักฐานบ้านช่องและทรัพย์สมบัติของเจ้าเรา จะมอบให้เป็นของริบไม่คิดค่าเพราะบาปทั้งสิ้นของเจ้า ตลอดทั่วดินแดนของเจ้า
14 เราจะกระทำให้เจ้าปรนนิบัติศัตรู ของเจ้าในแผ่นดินซึ่งเจ้าไม่รู้จักเพราะความโกรธของเรา เราก่อไฟขึ้น ซึ่งจะไหม้อยู่เป็นนิตย์
15 ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงทราบ ขอทรงระลึกถึงข้าพระองค์ และเยี่ยมเยียนข้าพระองค์ ขอทรงแก้แค้นผู้ข่มเหงข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์ เพราะการอดกลั้นพระทัยของพระองค์นั้น ขออย่าทรงนำข้าพระองค์ไปเสีย ขอทรงตระหนักว่าข้าพระองค์ ทนการติเตียนด้วยเห็นแก่พระองค์
16 เมื่อพบพระวจนะของพระองค์แล้ว ข้าพระองค์ก็กินเสีย พระวจนะของพระองค์เป็นความชื่นบานแก่ข้าพระองค์ และเป็นความปีติยินดีแห่งจิตใจของข้าพระองค์ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระเจ้าจอมโยธา เพราะว่าเขาเรียกข้าพระองค์ตามพระนามของพระองค์
17 ข้าพระองค์มิได้นั่งอยู่ในหมู่คนที่สนุกสนานกัน ทั้งข้าพระองค์ก็มิได้เปรมปรีดิ์ ข้าพระองค์นั่งอยู่คนเดียว เพราะว่าพระหัตถ์ของ พระองค์อยู่บนข้าพระองค์ เพราะพระองค์ทรงให้ข้าพระองค์เต็มด้วยความกริ้ว
18 ไฉนความเจ็บของข้าพระองค์มิได้หยุดยั้ง บาดแผลของข้าพระองค์ก็รักษาไม่หาย มันไม่ยอมหาย พระองค์ทรงเป็นเหมือนลำธารหลอกลวงแก่ข้าพระองค์หรือ หรืออย่างน้ำที่เหือดแห้ง
19 เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงตรัสว่า "ถ้าเจ้ากลับมา เราจะให้เจ้ากลับสู่สภาพดี และเจ้าจะยืนอยู่ต่อหน้าเรา ถ้าเจ้าออกปากพูดแต่สิ่งประเสริฐและไม่พูดสิ่งเลวทราม เจ้าจะเป็นเหมือนปากของเรา เขาทั้งหลายจะหันกลับมาหาเจ้า แต่เจ้าอย่าหันไปหาเขา
20 เราจะกระทำเจ้าให้เป็นกำแพงป้อม ทองสัมฤทธิ์แก่ชนชาตินี้ เขาทั้งหลายก็จะต่อสู้กับเจ้า แต่เขาจะไม่ชนะเจ้า เพราะเราอยู่กับเจ้า จะช่วยเจ้าให้รอดและช่วยกู้เจ้า พระเจ้าตรัสดังนี้
21 เราจะช่วยกู้เจ้าจากมือของคนอธรรม และไถ่เจ้าจากกำมือของคนอำมหิต"

เยเรมีย์ 16
1 พระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้าว่า
2 "เจ้าอย่ามีภรรยา เจ้าอย่ามีบุตรชายหรือบุตรหญิงในที่นี้
3 เพราะพระเจ้าตรัสดังนี้เรื่องบุตรชายและ บุตรหญิงที่เกิดในที่นี้ และทรงกล่าวถึงพวกมารดาที่คลอดบุตรเหล่านั้น และพวกบิดาที่ให้บังเกิดคนเหล่านั้นในแผ่นดินนี้ว่า
4 เขาทั้งหลายจะตายด้วยโรคร้าย จะไม่มีการโอดครวญอาลัยเขาทั้งหลาย หรือจะไม่มีใครจัดการฝังเขา เขาจะเป็นเหมือนมูลสัตว์ ที่อยู่บนพื้นแผ่นดิน เขาทั้งหลายจะพินาศด้วยดาบและการกันดารอาหาร และศพทั้งหลายของเขาจะเป็นอาหารของนกใน อากาศและของสัตว์แห่งแผ่นดิน
5 "เพราะพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า อย่าเข้าไปในเรือนที่ครวญคร่ำ หรือไปโอดครวญ หรือไปเสียใจด้วย พระเจ้าตรัสว่า เพราะเราได้เอาพรสวัสดิภาพของเราไปจากชนชาตินี้แล้ว ทั้งความรักมั่นคง และกรุณาคุณของเรา
6 ทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อยจะตายในแผ่นดินนี้ จะไม่มีใครจัดการฝังเขา ไม่มีใครมาโอดครวญอาลัยเขา หรือมากรีดตัว หรือมาโกนศีรษะเพื่อเขา
7 ไม่มีผู้ใดหักขนมปังให้แก่คนไว้ทุกข์ เพื่อจะปลอบโยนเขา เหตุคนที่ตายนั้น เพราะบิดามารดาของเขา จึงไม่มีใครมอบถ้วยแห่งความเล้าโลมใจให้เขาดื่ม
8 เจ้าอย่าเข้าไปนั่งกินและดื่มกับเขาในเรือนที่มีการเลี้ยง
9 เพราะพระเจ้าจอมโยธาพระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัส ดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะกระทำให้เสียงบันเทิงและเสียงรื่นเริง เสียงเจ้าบ่าวและเสียงเจ้าสาว ขาดจากสถานที่นี้ ต่อหน้าต่อตาของเจ้าทั้งหลายและในวันของเจ้า
10 "เมื่อเจ้าบอกถ้อยคำเหล่านี้แก่ชนชาตินี้ และเขาทั้งหลายพูดกับเจ้าว่า 'ทำไมพระเจ้าจึงทรงประกาศโทษใหญ่ยิ่งทั้งสิ้นนี้ให้ตกแก่เรา บาปชั่วของเราคืออะไรเล่า เราได้กระทำบาปอะไรต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราเล่า'
11 แล้วเจ้าพึงกล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า 'พระเจ้าตรัสว่า เพราะบรรพบุรุษของเจ้าได้ละทิ้งเรา และได้ติดสอยห้อยตามพระอื่น และได้ปรนนิบัติ และนมัสการพระนั้น และได้ละทิ้งเรา และมิได้รักษาพระธรรมของเรา
12 และเพราะเจ้าทั้งหลายได้ กระทำชั่วร้ายยิ่งเสียกว่าบรรพบุรุษของเจ้า เพราะดูเถิด เจ้าทุกๆคนได้ติดตามเจตนาชั่วร้ายดื้อดึงของตนเอง ปฏิเสธไม่ยอมฟังเรา
13 เพราะฉะนั้น เราจะเหวี่ยงเจ้าออกเสียจากแผ่นดินนี้เข้าไปในแผ่นดินซึ่งเจ้าหรือบรรพบุรุษของเจ้าไม่รู้จัก และที่นั่นเจ้าจะปรนนิบัติพระอื่นทั้งกลางวันและกลางคืน เพราะเราจะไม่สำแดงพระคุณแก่เจ้าเลย'
14 "พระเจ้าตรัสว่า เพราะฉะนั้น ดูเถิด วันเดือนจะมาถึง เมื่อไม่มีใครกล่าวต่อไปอีกว่า 'พระเจ้าผู้ทรงนำประชาชน อิสราเอลออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด'
15 แต่จะพูดว่า 'พระเจ้าผู้ทรงนำประชาชนอิสราเอล ออกมาจากแดนเหนือและออกมาจากบรรดาประเทศ ซึ่งพระองค์ได้ทรงขับไล่เขาให้ไปอยู่นั้น ทรงพระชนม์อยู่ฉันใด' เพราะเราจะนำเขาทั้งหลายกลับมาสู่แผ่นดินของเขาเอง ซึ่งเราได้ยกให้บรรพบุรุษของเขาแล้วนั้น
16 "พระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด เราจะส่งชาวประมงมาเป็นอันมาก และเขาจะจับเขาทั้งหลาย ภายหลังเราจะให้เขาพาพรานมาเป็นอันมาก พรานจะล่าเขาทั้งหลายตามภูเขาทุกแห่งและ ตามเนินเขาทุกลูกและตามซอกหิน
17 เพราะว่า เรามองดูพฤติการณ์ทั้งสิ้นของเขา จะปิดบังไว้จากเราไม่ได้ และบาปชั่วของเขาทั้งหลายจะซ่อนพ้นตาเราไม่ได้
18 และเราจะทบการตอบสนองความชั่วและบาป ของเขาเป็นสองเท่า เพราะเขาได้กระทำให้แผ่นดินเรามลทินไป ด้วยซากของสิ่งน่าสะอิดสะเอียน และกระทำให้มรดกของเราเต็มไปด้วยสิ่ง น่าเกลียดน่าชังของเขาทั้งหลาย"
19 ข้าแต่พระเจ้า พระกำลังและที่ กำบังเข้มแข็งของข้าพระองค์ เป็นที่ลี้ภัยของข้าพระองค์ในวันยากลำบาก บรรดาประชาชาติจะมาเฝ้าพระองค์ จากที่สุดปลายโลก และทูลว่า "บรรพบุรุษของเราไม่ได้รับมรดกอันใด นอกจากสิ่งมุสา คือสิ่งไร้ค่าซึ่งไม่มีประโยชน์อะไรในตัว
20 มนุษย์จะสร้างพระไว้สำหรับตนเองได้หรือ สิ่งอย่างนั้นไม่ใช่พระ"
21 "เพราะฉะนั้น ดูเถิด เราจะกระทำให้เขารู้จัก กาลครั้งนี้ เราจะกระทำให้เขารู้จักฤทธิ์เดชของเรา และฤทธานุภาพของเรา และเขาทั้งหลายจะรู้ว่านามของเราคือพระเยโฮวาห์"

เยเรมีย์ 17
1 "บาปของยูดาห์นั้นบันทึกไว้ด้วยปากกาเหล็ก ด้วยปลายเพชรจารึกไว้บนแผ่นแห่งจิตใจของเขา และบนเชิงงอนที่แท่นบูชาของเขาทั้งหลาย
2 ฝ่ายบุตรหลานของเขาก็ระลึกถึงแท่นบูชาและ เหล่าอาเชริม ของเขาข้างต้นไม้สดทุกต้นและบนเนินเขาสูง
3 บนภูเขาที่อยู่กลางทุ่ง เราจะให้หลักฐาน บ้านช่องและทรัพย์สมบัติของเจ้าเป็นของริบ เป็นค่าแห่งบาปของเจ้าตลอดทั่วแผ่นดินของเจ้า
4 เจ้าจะต้องปล่อยมือของเจ้าจากมรดกซึ่ง เราได้ยกให้แก่เจ้า และเราจะกระทำให้เจ้าปรนนิบัติศัตรูของเจ้า ในแผ่นดินซึ่งเจ้าไม่รู้จัก เพราะความโกรธของเรา เราก่อไฟขึ้นซึ่งจะไหม้อยู่เป็นนิตย์"
5 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า "คนที่วางใจในมนุษย์ และให้เนื้อหนังเป็นมือของเขา และใจของเขาหันออกจากพระเจ้า คนนั้นก็เป็นที่แช่งสาป
6 เขาเป็นเหมือนพุ่มไม้ที่อยู่ในทะเลทราย และไม่เห็นความดีอันใดมาถึงเลย เขาจะอาศัยอยู่ในแผ่นดินที่แตกระแหง ที่ในถิ่นทุรกันดาร ในแผ่นดินเค็มที่ไม่มีคนอาศัย
7 "คนที่วางใจในพระเจ้าย่อมได้รับพระพร คือผู้ที่ความวางใจของเขาอยู่ในพระเจ้า
8 เขาเป็นเหมือนต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมน้ำ ซึ่งหยั่งรากของมันออกไปข้างลำน้ำ เมื่อแดดส่องมาถึงก็ไม่กลัว เพราะใบของมันคงเขียวอยู่เสมอ และไม่กระวนกระวายในปีที่แห้งแล้ง เพราะมันไม่หยุดที่จะออกผล"
9 จิตใจก็เป็นตัวล่อลวงเหนือกว่าสิ่งใดทั้งหมด มันเสื่อมทรามอย่างร้ายทีเดียว ผู้ใดจะรู้จักใจนั้นเล่า
10 "เราคือพระเจ้าตรวจค้นดูจิต และทดลองดูใจ เพื่อให้แก่ทุกคนตามพฤติการณ์ของเขา ตามผลแห่งการกระทำของเขา"
11 เหมือนนกกระทาที่รวบรวมลูกซึ่งมันมิได้ฟักฉันใด คนที่ได้ความมั่งมีมาอย่างไม่เป็นธรรมก็ฉันนั้น พอถึงกลางวัย มันก็พรากจากคนนั้นเสีย และในตอนปลายของเขา เขาจะเป็นคนโฉดเขลา
12 ที่ตั้งแห่งสถานศักดิ์สิทธิ์ของเราทั้งหลาย เป็นพระที่นั่งรุ่งเรืองซึ่งตั้งอยู่สูงตั้งแต่เดิมนั้น
13 ข้าแต่พระเจ้า ความหวังแห่งอิสราเอล บรรดาคนเหล่านั้นที่ละทิ้งพระองค์ จะต้องรับความอับอาย บรรดาคนทั้งปวงที่หันไปจากพระองค์ จะต้องจารึกไว้ในแผ่นดินโลก เพราะเขาได้ละทิ้งพระเจ้าผู้เป็นแหล่งน้ำแห่งชีวิตเสีย
14 ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงรักษาข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะได้หาย ขอทรงช่วยข้าพระองค์ ข้าพระองค์จึงจะรอด เพราะพระองค์เป็นที่สรรเสริญของข้าพระองค์
15 ดูเถิด เขาทั้งหลายได้พูดกับข้าพระองค์ว่า "พระวจนะของพระเจ้าอยู่ที่ไหน ให้มาเถิด"
16 ข้าพระองค์มิได้คาดคั้นให้พระองค์ส่งเหตุร้าย ข้าพระองค์ก็ไม่ประสงค์วันแห่งความหายนะ พระองค์ทรงทราบแล้ว สิ่งซึ่งออกมาจากริมฝีปากของข้าพระองค์ ก็อยู่ต่อพระพักตร์ของพระองค์
17 ขออย่าทรงเป็นเหตุให้ข้าพระองค์ครั่นคร้าม พระองค์ทรงเป็นที่ลี้ภัยแห่งข้าพระองค์ในวันร้าย
18 ผู้ใดข่มเหงข้าพระองค์ขอให้เขาได้รับความละอาย แต่ขออย่าให้ข้าพระองค์ได้รับความละอาย ขอให้เขาครั่นคร้าม แต่อย่าให้ข้าพระองค์ครั่นคร้าม ขอทรงนำวันร้ายมาตกเหนือเขา ขอทรงทำลายเขาด้วยการทำลายซับซ้อน
19 พระเจ้าตรัสแก่ข้าพเจ้าดังนี้ว่า "จงไปยืนในประตูบุตรประชา ซึ่งบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์เสด็จเข้าและซึ่งพระองค์เสด็จออก และในประตูทั้งหลายของเยรูซาเล็ม
20 และกล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า 'ท่านทั้งหลายผู้เป็นกษัตริย์ของยูดาห์ และบรรดาคนยูดาห์และชาวเยรูซาเล็มทั้งสิ้น ผู้ซึ่งเข้าทางประตูเหล่านี้ จงฟังพระวจนะของพระเจ้า
21 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า จงระวังเพื่อเห็นแก่ชีวิตของเจ้าทั้งหลาย อย่าได้หาบหามอะไรในวันสะบาโต หรือนำของนั้นเข้าทางบรรดาประตู เยรูซาเล็ม
22 และอย่าหาบหามของของเจ้าออกจากบ้านในวันสะบาโต หรือกระทำงานใดๆ แต่จงรักษาวันสะบาโตไว้ให้บริสุทธิ์ ดังที่เราได้บัญชาบรรพบุรุษของเจ้า ไว้
23 ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ฟังหรือเงี่ยหูฟัง แต่กระทำคอของเขาทั้งหลายให้แข็ง เพื่อจะไม่ได้ยินและไม่รับคำตักเตือน
24 "พระเจ้าตรัสว่า ถ้าเจ้าเชื่อฟังเรา และไม่นำภาระใดๆเข้ามาทางประตูเมืองนี้ในวันสะบาโต แต่รักษาวันสะบาโตให้บริสุทธิ์ และไม่กระทำงานในวันนั้น
25 แล้วจะมีพระราชาและเจ้านาย ผู้ประทับบนบัลลังก์แห่งดาวิด เสด็จเข้าทางประตูทั้งหลายของเมืองนี้เสด็จมาในรถรบ และบนม้า ทั้งบรรดาพระราชาและเจ้านายของพระองค์ ทั้งคนยูดาห์และชาวเยรูซาเล็ม และเมืองนี้จะมีคนอาศัยอยู่เป็นนิตย์
26 และประชาชนจะมาจากหัวเมือง แห่งยูดาห์และจากที่ซึ่งอยู่รอบเยรูซาเล็ม จากแผ่นดินเบนยามิน จากเนินเชเฟลาห์ จากเมืองเทือกเขา และจากเนเกบ นำเอาเครื่องเผาบูชา และเครื่องสักการบูชา เครื่องธัญญบูชาและกำยาน และนำเครื่องบูชาโมทนาพระคุณมายังนิเวศของพระเจ้า
27 แต่ถ้าเจ้าทั้งหลายไม่ฟังเราที่จะรักษา วันสะบาโตให้บริสุทธิ์ และที่จะไม่แบกภาระเข้าทางประตูทั้งหลาย ของเยรูซาเล็มในวันสะบาโต แล้วเราจะก่อไฟไว้ในประตูเมืองเหล่านั้น และไฟนั้นจะเผาผลาญราชวังทั้งหลายของเยรูซาเล็ม และจะดับก็ไม่ได้"

เยเรมีย์ 18
1 พระวจนะซึ่งมาจากพระเจ้ายังเยเรมีย์ว่า
2 "จงลุกขึ้น ไปที่บ้านของช่างหม้อ เราจะให้เจ้าได้ยินถ้อยคำของเราที่นั่น"
3 ข้าพเจ้าจึงลงไปที่บ้านของช่างหม้อ และเขากำลังทำงานอยู่ที่แป้นเวียน
4 และภาชนะซึ่งทำด้วยดินก็เสียอยู่ในมือของช่างหม้อ เขาจึงปั้นใหม่ให้เป็นภาชนะอีกลูกหนึ่งตามที่ ช่างหม้อเห็นว่าควรทำ
5 แล้วพระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้าว่า
6 "ประชาอิสราเอลเอ๋ย เราจะกระทำแก่เจ้าอย่างที่ช่างหม้อนี้กระทำไม่ได้หรือ พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ ดูเถิด ประชาอิสราเอลเอ๋ย เจ้าอยู่ในมือของเรา อย่างดินเหนียวอยู่ในมือของช่างหม้อ
7 ถ้าเวลาใดก็ตามเราประกาศ เกี่ยวกับประชาชาติหนึ่งหรือราชอาณาจักรหนึ่งว่า เราจะถอนและพังและทำลายมันเสีย
8 และถ้าประชาชาตินั้น ซึ่งเราได้ลั่นวาจาไว้เกี่ยวข้องด้วย หันเสียจากความชั่วของตน เราก็จักกลับใจจากโทษ ซึ่งเราได้ตั้งใจจะกระทำแก่ชาตินั้นเสีย
9 และถ้าเวลาใดก็ตาม เราได้ประกาศเกี่ยวกับประชาชาติ หนึ่งหรือราชอาณาจักรหนึ่งว่า เราจะสร้างขึ้นและปลูกฝังไว้
10 และชาตินั้นได้กระทำชั่วในสายตาของเรา ไม่ฟังเสียงของเรา เราก็จะกลับใจจากความดีซึ่งเราตั้งใจ จะกระทำกับชาตินั้นเสีย
11 เพราะฉะนั้น คราวนี้จึงกล่าวกับคนยูดาห์และชาวเมืองเยรูซาเล็มว่า 'พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เรากำลังก่อสิ่งร้ายไว้สู้เจ้า และคิดแผนงานอย่างหนึ่งไว้สู้เจ้า ทุกๆคนจงกลับเสียจากทางชั่วของตน และจงซ่อมทางและการกระทำของเจ้าทั้งหลายเสีย'
12 "แต่เขาทั้งหลายกล่าวว่า 'เหลวใหล เราจะดำเนินตามแผนงานของเราเอง และต่างจะกระทำตามความดื้อดึงแห่งจิตใจชั่วของตนทุกคน'
13 "เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงตรัสดังนี้ว่า จงไปเที่ยวถามดูท่ามกลางประชาชาติว่า ผู้ใดเคยได้ยินเหมือนอย่างนี้บ้าง อิสราเอลพรหมจารีนั้น ได้กระทำสิ่งอันน่าหวาดเสียวนัก
14 หิมะแห่งภูเขาเลบานอนจะหายจาก หน้าผาของสีรีออนหรือ น้ำแห่งภูเขาจะแห้งไปหรือ คือลำธารที่ไหลเย็นนั่นนะ
15 แต่ประชากรของเราได้ลืมเราเสีย เขาทั้งหลายเผาเครื่องหอมบูชาพระเท็จ เขาได้สะดุดในหนทางของเขา ในถนนโบราณ และเข้าไปตามทางซอย ไม่ไปตามถนนหลวง
16 ได้กระทำให้แผ่นดินของเขาทั้งหลายเป็นที่หวาดเสียว เป็นสิ่งที่เขาเยาะเย้ยอยู่เป็นนิตย์ ทุกคนที่ผ่านไปก็หวาดเสียว และสั่นศีรษะของเขา
17 เราจะกระจายเขาออกไปอย่างลมตะวันออก ต่อหน้าศัตรู เราจะหันหลังให้เขาไม่ใช่หันหน้าให้ ในวันแห่งความลำบากยากเย็นของเขานั้น"
18 แล้วเขากล่าวว่า "มาเถิด ให้เราปองร้ายเยเรมีย์ เพราะว่าพระธรรมจะไม่พินาศไปจากบรรดาปุโรหิต หรือคำปรึกษาย่อมไม่ขาดจากนักปราชญ์ หรือถ้อยคำไม่ขาดจากผู้เผยพระวจนะ มาเถิด ให้เราโจมตีเขาด้วยลิ้น และอย่าให้เราฟังคำของเขาเลย"
19 ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงฟังข้าพระองค์ ขอทรงฟังเสียงปรปักษ์ของข้าพระองค์ซิ พระเจ้าข้า
20 ความชั่วเป็นของสำหรับตอบแทนความดีหรือ ถึงกระนั้น เขายังขุดหลุมไว้ปองชีวิตของข้าพระองค์ ขอทรงระลึกว่าข้าพระองค์ยืนเฝ้าพระองค์ ทูลขอความดีเพื่อเขา เพื่อจะหันพระพิโรธของพระองค์ไปเสียจากเขา
21 เพราะฉะนั้น ขอทรงมอบบุตรหลานของ เขาให้แก่การกันดารอาหาร มอบเขาทั้งหลายให้แก่อำนาจของดาบ ให้ภรรยาของเขาทั้งหลายขาดบุตรและเป็นหญิงม่าย ขอให้ผู้ชายของเขาประสบความตายด้วยโรคระบาด ให้อนุชนของเขาถูกดาบตายในสงคราม
22 ขอให้ได้ยินเสียงร้องมาจากเรือนของเขาทั้งหลาย เมื่อพระองค์ทรงพากองทหารมาปล้นเขาอย่างฉับพลัน เพราะเขาทั้งหลายได้ขุดหลุมไว้ดักข้าพระองค์ และวางบ่วงดักเท้าของข้าพระองค์
23 แม้กระนั้น ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงทราบ การปองร้ายทั้งสิ้นของเขาที่จะฆ่าข้าพระองค์เสีย ขออย่าทรงลบมลทินบาปของเขา หรือลบบาปของเขาเสียจากสายพระเนตรของพระองค์ ขอให้เขาถูกคว่ำลงต่อพระพักตร์พระองค์ ขอทรงจัดการเขาทั้งหลายในเวลาแห่ง ความกริ้วของพระองค์

เยเรมีย์ 19
1 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า "จงไปซื้อเหยือกดินของช่างหม้อมาลูกหนึ่ง แล้วพาผู้ใหญ่บางคนของประชาชนและปุโรหิตอาวุโสบางคน
2 ไปที่หุบเขาเบนฮินโนม ตรงทางเข้าประตูกองเศษหม้อ และป่าวร้องถ้อยคำที่เราบอกเจ้าไว้นั้น
3 เจ้าจงว่า 'ข้าแต่พระราชาแห่งยูดาห์ และชาวกรุงเยรูซาเล็ม ขอทรงฟังพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าจอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะนำเหตุร้ายมาถึงสถานที่นี้ อย่างที่หูของทุกคนที่ได้ยินจะอื้อไป
4 เพราะว่าประชาชนได้ละทิ้งเรา และได้กระทำให้ที่นี้เป็นมลทิน ด้วยการเผาเครื่องหอมในที่นี้ เพื่อบูชาแก่พระอื่น ผู้ซึ่งตัวเขาเอง หรือบรรพบุรุษของเขา หรือบรรดาพระราชาของยูดาห์ไม่รู้จัก และเพราะเขาได้กระทำให้โลหิตของผู้ไม่มีผิดเต็มในที่นี้
5 และได้สร้างที่สูงสำหรับพระบาอัล เพื่อจะเผาบุตรชายของเขาเสียในไฟ เป็นเครื่องเผาบูชาแด่ พระบาอัล ซึ่งเรามิได้บัญชาหรือให้ประกาศิต หรือได้นึกในใจของเรา
6 ฉะนั้น พระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด วันเวลาจะมาถึง เมื่อสถานที่นี้จะไม่มีใครเรียกชื่อว่าโทเฟท หรือหุบเขาเบนฮินโนมอีก แต่เรียกว่า หุบเขาของการฆ่า
7 และในสถานที่นี้ เราจะกระทำให้แผนงานของยูดาห์และเยรูซาเล็มสูญสิ้นไป และจะกระทำให้เขาทั้งสองล้มลงด้วยดาบ ต่อหน้าศัตรูของเขาทั้งหลาย และด้วยมือของบรรดาผู้ที่แสวงหาชีวิตของเขา เราจะให้ศพของเขาทั้งหลายเป็นอาหารของนกในอากาศ และสัตว์ที่แผ่นดินโลก
8 และเราจะกระทำให้เมืองนี้เป็นที่น่าหวาดเสียว เป็นสิ่งที่เขาเยาะเย้ย ทุกคนที่ผ่านไปจะหวาดเสียว และจะเยาะเย้ยเพราะความหายนะทั้งสิ้นของเขา
9 และเราจะกระทำให้เขาทั้งหลายกินเนื้อของบุตรชาย และบุตรหญิงของเขา และทุกคนจะกินเนื้อของเพื่อนของเขา ในการที่ถูกล้อมและทุกข์ใจ คือที่ซึ่งศัตรูของเขาและผู้ที่แสวงหาชีวิตของเขา ได้ข่มใจเขาทั้งหลาย'
10 "แล้วเจ้าจงทำเหยือกให้แตกต่อหน้าต่อตาคนที่ไปกับเจ้านั้น
11 และจงกล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า 'พระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้ว่า เราจะให้ชนชาตินี้และชาวเมืองนี้แตก เช่นเดียวกับที่คนทำให้ภาชนะของช่างหม้อแตก จนซ่อมแซมไม่ได้อีก เขาจะฝังคนไว้ในโทเฟท เพราะว่าจะไม่มีที่อื่นอีกให้ฝัง
12 พระเจ้าตรัสว่า เราจะกระทำดังนี้แก่ที่นี้ และแก่ชาวเมืองนี้ กระทำเมืองนี้ให้เหมือนโทเฟท
13 บรรดาเรือนแห่งเยรูซาเล็ม และราชวังทั้งหลายแห่งบรรดากษัตริย์ยูดาห์ คือบรรดาบ้านทั้งปวงที่บนหลังคานั้น เขาเผาเครื่องหอมให้แก่บรรดาบริวารแห่งฟ้าสวรรค์ และเทเครื่องดื่มถวายแก่พระอื่นจะเป็นมลทินเหมือน สถานโทเฟท'
14 แล้วเยเรมีย์ก็มาจากโทเฟท ที่ซึ่งพระเจ้าทรงรับสั่งให้ท่านเผยพระวจนะนั้น และท่านก็ยืนอยู่ในลานพระนิเวศของพระเจ้า และกล่าวแก่ประชาชนทั้งปวงว่า
15 "พระเจ้าจอมโยธาพระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสว่า ดูเถิด เราจะนำสิ่งร้ายทั้งสิ้นซึ่งเราได้บอกกล่าวไว้ ให้ตกอยู่บนเมืองนี้และบรรดาหัวเมืองขึ้นทั้งสิ้น เพราะเขาทั้งหลายได้แข็งคอของเขาปฏิเสธไม่ ฟังถ้อยคำของเรา"

เยเรมีย์ 20
1 ฝ่ายปาชเฮอร์ปุโรหิตบุตรของอิมเมอร์ผู้เป็น นายใหญ่ในพระนิเวศของพระเจ้า ได้ยินเยเรมีย์เผยพระวจนะถึงสิ่งเหล่านี้
2 ปาชเฮอร์ก็ตีเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะและจับท่านใส่คา ซึ่งตั้งอยู่ทางประตูเบนยามินด้านบนแห่งพระนิเวศของพระเจ้า
3 พอรุ่งขึ้นเมื่อปาชเฮอร์ปลดเยเรมีย์ออกจากคา เยเรมีย์พูดกับท่านว่า "พระเจ้ามิได้ทรงเรียกชื่อของท่านว่าปาชเฮอร์ แต่ทรงเรียกว่า น่าหวาดเสียวอยู่ทุกด้าน
4 เพราะพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะกระทำเจ้าให้เป็นที่น่าหวาดเสียวต่อตัวเจ้าเอง และต่อมิตรสหายทั้งสิ้นของเจ้า เขาทั้งหลายจะล้มลงด้วยดาบของศัตรูของ เขาขณะที่เจ้ามองดูอยู่ และเราจะมอบยูดาห์ทั้งสิ้นไว้ในมือของ พระราชาบาบิโลน เขาจะกวาดเอาไปเป็นเชลยยังบาบิโลน และจะฆ่าเสียด้วยดาบ
5 ยิ่งกว่านั้นอีกเราจะยกความมั่งคั่งของเมืองนั้น คือทรัพยากรทั้งสิ้นและของมีค่าทั้งสิ้นของเมืองนั้น และทรัพย์สมบัติทั้งสิ้นของบรรดาพระราชา ของยูดาห์ไว้ในมือของศัตรูของเขาทั้งหลาย ผู้ซึ่งจะปล้นและฉุดคร่าและขนเอาเขาเหล่านั้นไปบาบิโลน
6 ส่วนตัวท่านนะ ปาชเฮอร์และบรรดาผู้ที่ อาศัยอยู่ในเรือนของท่าน จะต้องไปเป็นเชลย ท่านจะต้องไปยังบาบิโลน และท่านจะตายและถูกฝังไว้ที่นั่น ทั้งท่านและมิตรสหายทั้งสิ้นของท่าน ผู้ซึ่งท่านได้เผยพระวจนะเท็จแก่เขา"
7 ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงหลอกลวงข้าพระองค์ และข้าพระองค์ก็ถูกหลอกลวง พระองค์ทรงมีกำลังยิ่งกว่าข้าพระองค์ และพระองค์ก็ชนะ ข้าพระองค์เป็นที่ให้เขาหัวเราะวันยังค่ำ ทุกคนเยาะเย้ยข้าพระองค์
8 เพราะว่าข้าพระองค์พูดเมื่อไร ข้าพระองค์ร้องให้ช่วย ข้าพระองค์ตะโกนว่า "ทารุณตายแล้ว" เพราะว่าพระวจนะของพระเจ้าได้เป็นเหตุให้ข้าพระองค์ เป็นที่ตำหนิและเยาะเย้ยตลอดวัน
9 ถ้าข้าพระองค์จะกล่าวว่า "ข้าพเจ้าจะไม่อ้างถึงพระองค์ หรือกล่าวในพระนามของพระองค์อีก" ก็มีสิ่งในใจของข้าพระองค์เหมือนไฟไหม้ อัดอยู่ในกระดูกของข้าพระองค์ และข้าพระองค์ก็อ่อนเปลี้ยที่ต้องอัดมันไว้ และข้าพระองค์ก็อัดไว้ไม่ไหว
10 เพราะข้าพระองค์ได้ยินเสียงซุบซิบเป็นอันมาก ความหวาดเสียวอยู่รอบทุกด้าน มิตรสหายที่คุ้นเคยทั้งสิ้นของข้าพระองค์กล่าวว่า "ใส่ความเขา ให้เราใส่ความเขา" เขาเฝ้าดูความล่มจมของข้าพระองค์ "ชะรอยเขาจะถูกหลอกลวง แล้วเราชนะเขาได้ และทำการแก้แค้นเขา"
11 แต่พระเจ้าทรงอยู่ข้างข้าพเจ้า ดังนักรบที่น่ากลัว เพราะฉะนั้น ผู้ข่มเหงข้าพเจ้าจะสะดุด เขาจะไม่ชนะข้าพเจ้า เขาจะขายหน้ามาก เพราะเขากระทำไม่สำเร็จ ความอัปยศอดสูเป็นนิตย์ของเขานั้น จะไม่มีวันลืม
12 ข้าแต่พระเจ้าจอมโยธาผู้ทรงทดลองคนชอบธรรม ผู้ทอดพระเนตรทั้งใจและจิต ขอให้ข้าพระองค์ได้เห็นการแก้แค้นของพระองค์เหนือ เขาทั้งหลาย เพราะข้าพระองค์ได้ทูลเสนอคดีของข้าพระองค์แล้ว
13 จงร้องเพลงถวายพระเจ้า จงสรรเสริญพระเจ้า เพราะว่าพระองค์ทรงช่วยกู้ชีวิตของผู้ขัดสน ให้พ้นจากมือของผู้กระทำความชั่วร้าย
14 ขออย่าให้วันที่ข้าพเจ้าเกิดมานั้นรับพร อย่าให้วันที่มารดาของข้าพเจ้าคลอดข้าพเจ้าได้รับพร
15 ขอให้ชายคนนั้นถูกสาป คือ คนที่เขานำข่าวไปบอกบิดาข้าพเจ้าว่า "บุตรชายคนหนึ่งเกิดมาแก่ท่านแล้ว" อันกระทำให้บิดามีความยินดีมาก
16 ขอให้ช่วยคนนั้นเหมือนกับบรรดาเมือง ซึ่งพระเจ้าทรงคว่ำเสียและมิได้ทรงกลับพระทัย ขอให้เขาได้ยินเสียงร้องให้ช่วยในเวลาเช้า และให้ได้ยินเสียงโวยวายในเวลาเที่ยง
17 เพราะเขามิได้ฆ่าข้าพเจ้าเสียตั้งแต่ในครรภ์ ให้มารดาของข้าพเจ้าเป็นหลุมฝังศพของข้าพเจ้า และครรภ์นั้นจะได้โตอยู่เป็นนิตย์
18 ทำไมข้าพเจ้าจึงออกมาจากครรภ์ มาเห็นความลำบากและความทุกข์ และวันคืนของข้าพเจ้าก็สิ้นเปลืองไปด้วยความอับอาย

เยเรมีย์ 21
1 ต่อไปนี้เป็นถ้อยคำซึ่งมาจากพระเจ้าถึงเยเรมีย์ เมื่อกษัตริย์เศเดคียาห์ทรงใช้ให้ปาชเฮอร์ บุตรมัลคีอาห์ และเศฟันยาห์ปุโรหิตบุตรมาอาเสอาห์ไปหาเยเรมีย์ว่า
2 "ขอจงทูลถามพระเจ้าเพื่อเรา เพราะเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์บาบิโลนกำลังทำสงครามกับเรา ชะรอยพระเจ้าจะทรงกระทำกับเราตามบรรดาราชกิจอันอัศจรรย์ของพระองค์ และจะทรงกระทำให้เนบูคัดเนสซาร์ถอยทัพไปจากเรา"
3 แล้วเยเรมีย์บอกเขาทั้งสองว่า
4 "ท่านจงทูลแก่เศเดคียาห์ดังนี้ว่า 'พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะหันกลับซึ่งยุทโธปกรณ์อันอยู่ในมือของเจ้า และซึ่งเจ้าใช้สู้รบกับพระราชาแห่งบาบิโลน และกับชนเคลเดียซึ่งกำลังล้อมเจ้าอยู่นอก กำแพงและเราจะรวบรวมมันมาไว้ในใจกลางเมืองนี้
5 เราเองจะต่อสู้กับเจ้าด้วยมือที่เหยียดออกและ ด้วยแขนที่แข็งแรงด้วยความกริ้ว ด้วยความเกรี้ยวกราดและพิโรธมากยิ่ง
6 และเราจะโจมตีชาวกรุงนี้ ทั้งคนและสัตว์ แล้วก็จะตายลงด้วยโรคระบาดขนาดหนัก
7 พระเจ้าตรัสว่า ภายหลังเราจะมอบเศเดคียาห์กษัตริย์ของยูดาห์ และบรรดาข้าราชการของเขาและประชาชนเมืองนี้ ซึ่งรอดตายจากโรคระบาด ดาบ และการกันดารอาหาร ไว้ในมือของเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลน และมอบไว้ในมือของศัตรูของเขาทั้งหลาย ในมือของคนเหล่านั้นที่แสวงหาชีวิตของเขา ท่านจะฟันเขาเสียด้วยคมดาบ ท่านจะไม่สงสารเขาทั้งหลาย หรือไว้ชีวิตเขา หรือมีความเมตตาต่อเขา'
8 "และเจ้าจงพูดกับชนชาตินี้ว่า 'พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราได้ตั้งวิถีแห่งชีวิตและทางแห่งความตายไว้ต่อหน้าเจ้า
9 คนที่อยู่ในเมืองนี้จะตายเสียด้วยดาบ ด้วยการกันดารอาหาร และด้วยโรคระบาด แต่ผู้ที่ออกไปยอมมอบตัวกับชนเคลเดียผู้ตั้ง ล้อมอยู่นั้นก็จะมีชีวิตอยู่ได้ และจะมีชีวิตของตนเป็นบำเหน็จแห่งการสงคราม
10 พระเจ้าตรัสว่า เพราะเราได้มุ่งหน้าต่อสู้เมืองนี้ด้วยความร้ายไม่ใช่ ด้วยความดี คือเมืองนี้จะถูกมอบไว้ในมือของกษัตริย์แห่งบาบิโลน และท่านจะเผามันเสียด้วยไฟ'"
11 จงกล่าวต่อวงศ์วานของกษัตริย์ยูดาห์ว่า 'วงศ์วานดาวิดเอ๋ย
12 จงฟังพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า "จงให้ความยุติธรรมในเวลาเช้า จงช่วยกู้ผู้ที่ถูกปล้น ให้พ้นจากมือผู้ที่บีบบังคับ เกรงว่าความพิโรธของเราจะออกไปเหมือนไฟ และเผาไหม้อย่างที่ไม่มีใครดับได้ เพราะการกระทำอันชั่วช้าของเจ้าทั้งหลาย'"
13 ชาวที่ลุ่มเอ๋ย ดูเถิด เราต่อสู้เจ้า ศิลาแห่งที่ราบเอ๋ยพระเจ้าตรัสดังนี้แหละ พวกเจ้าผู้กล่าวว่า 'ใครจะลงมาต่อสู้กับเรา หรือใครจะเข้ามาในที่อาศัยของเรา'
14 พระเจ้าตรัสว่า เราจงลงโทษเจ้าทั้งหลายตามผลแห่งการกระทำของเจ้า เราจะก่อไฟไว้ในป่าของเมืองนั้น และไฟนั้นจะเผาผลาญสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบเมืองนั้นสิ้น"

เยเรมีย์ 22
1 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า จงลงไปยังราชสำนักของกษัตริย์ยูดาห์ และกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ที่นั่น
2 ว่า 'ข้าแต่พระราชาแห่งยูดาห์ ผู้ประทับบนพระที่นั่งของดาวิด จงฟังพระวจนะของพระเจ้า ทั้งตัวท่าน ข้าราชการของท่าน และประชาชนของท่านผู้เข้ามาในประตูเมืองนี้
3 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า จงกระทำความยุติธรรมและความชอบธรรม จงช่วยกู้ผู้ที่ถูกปล้นให้พ้นมือของผู้ที่บีบบังคับ และอย่าได้กระทำความผิดหรือความทารุณแก่ชนต่างด้าว ลูกกำพร้าพ่อ และหญิงม่าย หรือหลั่งโลหิตที่ไร้ความผิดให้ถึงตายในสถานที่นี้
4 ถ้าท่านเชื่อฟังถ้อยคำข้อนี้จริงๆแล้ว จะมีพระราชาผู้ประทับบนพระที่นั่งของดาวิดเข้ามาทางประตูของพระราชวังนี้ เสด็จมาโดยรถรบและม้า ทั้งตัวพระราชา บรรดาข้าราชการ และประชาชนของท่านนั้น
5 แต่ถ้าท่านไม่ฟังถ้อยคำเหล่านี้ พระเจ้าตรัสว่า เราปฏิญาณในนามของเราเองว่าราชสำนักนี้ จะเป็นที่ร้างเปล่า
6 เพราะพระเจ้าตรัสดังนี้เกี่ยวกับราชสำนัก แห่งกษัตริย์ของยูดาห์ว่า "เจ้าเป็นเหมือนกิเลอาดแก่เรา เป็นดังยอดภูเขาเลบานอน ถึงกระนั้น เราจะกระทำเจ้าให้เป็นถิ่นทุรกันดารแน่ เป็นเมืองที่ไม่มีคนอาศัย
7 เราจะเตรียมผู้ทำลายไว้ต่อสู้เจ้า ต่างก็มีอาวุธของตน และเขาทั้งหลายจะตัดต้นสนสีดาร์อย่างดีของเจ้าลง และโยนเข้าในไฟ
8 "และประชาชาติเป็นอันมากจะผ่านเมืองนี้ไป และทุกคนจะพูดกับเพื่อนของตนว่า "ทำไมพระเจ้าจึงทรงกระทำเช่นนี้แก่เมืองใหญ่นี้"
9 และเขาทั้งหลายจะตอบว่า "เพราะเขาทั้งหลายได้ละทิ้ง พันธสัญญาของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเขา และนมัสการกับปรนนิบัติพระอื่น"
10 อย่าร้องไห้อาลัยแก่ผู้ที่ตายไป อย่าเสียใจด้วยเขาเลย แต่จงร้องไห้ร่ำไรอาลัยผู้ที่ไปแล้ว เพราะเขาจะไม่ได้กลับมา เห็นบ้านเกิดเมืองนอนของเขาอีกเลย
11 เพราะพระเจ้าตรัสดังนี้แหละ เกี่ยวกับชัลลูม บุตรโยสิยาห์ กษัตริย์แห่งยูดาห์ ผู้ซึ่งครองราชย์แทนโยสิยาห์ราชบิดา และผู้ที่ไปจากสถานที่นี้ "ท่านจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีก
12 ท่านจะสิ้นชีวิต ในที่ซึ่งเขาจับท่านไปเป็นเชลย และท่านจะไม่เห็นแผ่นดินนี้อีกเลย"
13 "วิบัติแก่เขาผู้สร้างวังของตนด้วยความไม่ชอบธรรม และสร้างห้องชั้นบนไว้ด้วยความไม่ยุติธรรม ผู้ที่ทำให้เพื่อนบ้านของเขาปรนนิบัติเขาโดยไม่ได้อะไรเลย และมิได้จ่ายค่าจ้างให้แก่เขา
14 ผู้กล่าวว่า 'เราจะสร้างวังใหญ่อยู่เอง กับมีห้องชั้นบนกว้างขวาง และเจาะหน้าต่างให้ห้องนั้น และบุฝาผนังด้วยไม้สนสีดาร์ และทาด้วยชาด
15 เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นกษัตริย์ เพราะเจ้าแข่งไม้สนสีดาร์กันหรือ ราชบิดาของเจ้ามิได้กินและดื่ม และกระทำความยุติธรรมและความชอบธรรมดอกหรือ ฝ่ายราชบิดาก็อยู่เย็นเป็นสุข
16 เขาพิพากษาคดีของคนจนและคนขัดสน เขาก็อยู่เย็นเป็นสุข ทำอย่างนี้เป็นการรู้จักเราหรือ พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
17 แต่เจ้ามีตาและใจ ไว้เพียงมุ่งกำไรอสัตย์ของเจ้า เพื่อหลั่งโลหิตที่ไร้ความผิดให้ถึงตาย และเพื่อปฏิบัติการบีบบังคับ และความทารุณ"
18 เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงตรัสดังนี้เกี่ยวกับ เยโฮยาคิม ราชบุตรของโยสิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ ว่า "เขาทั้งหลายจะไม่โอดครวญอาลัย เขาว่า 'อนิจจา พี่ชายเอ๋ย' หรือ 'อนิจจา พี่สาวเอ๋ย' เขาทั้งหลายจะไม่โอดครวญอาลัย เขาว่า 'อนิจจา พระองค์ท่าน' หรือ 'อนิจจา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว'
19 ท่านจะถูกฝังไว้อย่างฝังลา คือถูกลากไปโยนทิ้งไว้ข้างนอกประตูเมืองเยรูซาเล็ม"
20 "จงขึ้นไปที่เลบานอน และร้องว่า และจงเปล่งเสียงของเจ้าในเมืองบาชาน จงร้องจากอาบาริม เพราะว่าคนรักทั้งสิ้นของเจ้าถูกทำลายเสียแล้ว
21 เราได้พูดกับเจ้าเมื่อเจ้าอยู่เย็นเป็นสุข แต่เจ้ากล่าวว่า 'เราจะไม่ฟัง' นี่เป็นวิธีการของเจ้าตั้งแต่ยังหนุ่มๆ คือเจ้าไม่เชื่อฟังเสียงของเรา
22 ลมจะควบคุมดูแลผู้เลี้ยงแกะทั้งสิ้นของเจ้า และบรรดาคนรักของเจ้าจะไปเป็นเชลย แล้วเจ้าจะอับอายขายหน้า เนื่องด้วยความอธรรมทั้งสิ้นของเจ้า
23 ชาวเมืองเลบานอนเอ๋ย ที่สร้างรังอยู่ท่ามกลางไม้สนสีดาร์ เจ้าจะคร่ำครวญสักเท่าใดเมื่อความเจ็บปวดมาเหนือเจ้า อย่างความเจ็บปวดของหญิงที่คลอดบุตร"
24 "พระเจ้าตรัสว่า เรามีชีวิตอยู่ตราบใด แม้ว่าโคนิยาห์ราชบุตร ของเยโฮยาคิม กษัตริย์แห่งยูดาห์เป็นแหวนตราอยู่ที่มือขวาของเรา ถึงกระนั้นเราจะถอดออกเสีย
25 และมอบเจ้าไว้ในมือของคน เหล่านั้นที่แสวงหาชีวิตของเจ้า ในมือของคนเหล่านั้นซึ่งพวกเจ้ากลัว คือว่าในมือของเนบูคัดเนสซาร์พระราชา แห่งบาบิโลนและในมือของคนเคลเดีย
26 เราจะเหวี่ยงเจ้าและมารดาผู้คลอดเจ้า ไปยังอีกประเทศหนึ่ง ที่ซึ่งเจ้ามิได้เกิดที่นั่นและเจ้าจะตายที่นั่น
27 แต่แผ่นดินซึ่งเขาอาลัยอยากจะกลับนั้น เขาจะไม่ได้กลับไปสู่ได้"
28 โคนิยาห์ชายผู้นี้เป็นหม้อที่ถูกดูหมิ่นและแตกหรือ เป็นภาชนะที่ไม่มีใครชอบหรือ ทำไมตัวเขาและลูกของเขาจึงถูกเหวี่ยงและถูกโยน เข้าในแผ่นดินซึ่งเขาทั้งหลายไม่รู้จัก
29 โอ้แผ่นดิน แผ่นดิน แผ่นดินเอ๋ย จงฟังพระวจนะของพระเจ้า
30 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า "จงเขียนลงว่าชายคนนี้ไม่มีบุตร เป็นชายซึ่งไม่มีความสำเร็จในชั่วชีวิตของเขา เพราะไม่มีลูกของเขาสักคนหนึ่งที่จะสำเร็จ ในการประทับบนพระที่นั่งของดาวิด และปกครองในยูดาห์อีก"

เยเรมีย์ 23

1 พระเจ้าตรัสว่า "วิบัติจงมีแก่ผู้เลี้ยงแกะ ผู้ทำลายและกระจายแกะของลานหญ้าของเรา"
2 เพราะฉะนั้น พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสกับผู้เลี้ยงแกะผู้ดูแลประชากรของเราดังนี้ว่า "เจ้าทั้งหลายได้กระจายฝูงแกะของเราและได้ ขับไล่มันไปเสีย และเจ้ามิได้เอาใจใส่มัน พระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด เราจะเอาใจใส่เจ้า เพราะการกระทำที่ชั่วของเจ้า
3 แล้วเราจะรวบรวมฝูงแกะของ เราที่เหลืออยู่ออกจากประเทศทั้งปวง ซึ่งเราได้ขับไล่ให้เขาไปอยู่นั้น และจะนำเขากลับมายังคอกของเขา เขาจะมีลูกดกและทวีมากขึ้น
4 พระเจ้าตรัสว่า เราจะตั้งผู้เลี้ยงแกะไว้เหนือเขา ผู้จะเลี้ยงดูเขาและเขาทั้งหลายจะไม่กลัวอีกเลย หรือครั่นคร้าม จะไม่ขาดไปเลย
5 "พระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด วันเวลาจะมาถึง เมื่อเราจะเพาะอังกูรชอบธรรมให้ดาวิด และท่านจะทรงครอบครองเป็นกษัตริย์และ กระทำกิจอย่างเฉลียวฉลาด และจะทรงประทานความยุติธรรมและ ความชอบธรรมในแผ่นดินนั้น
6 ในสมัยของท่านยูดาห์จะรอดได้ และอิสราเอลจะอาศัยอยู่อย่างมั่นคง และนี่จะเป็นนามซึ่งเราจะเรียกท่าน คือ 'พระเจ้าเป็น ความชอบธรรม ของเรา'
7 เพราะฉะนั้น พระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด วันเวลาจะมาถึง เมื่อคนของเขาไม่กล่าวอีกต่อไปว่า 'พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ตราบใด ผู้ซึ่งได้นำประชาชนอิสราเอลออกมาจากแผ่นดินอียิปต์'
8 แต่จะว่า 'พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ตราบใด ผู้ซึ่งได้นำและพาเชื้อสายแห่งประชาอิสราเอลออก มาจากแดนเหนือ และออกมาจากประเทศที่พระองค์ทรงขับไล่ให้ไปอยู่นั้น' แล้วเขาทั้งหลายจะได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินของเขาเอง"
9 เกี่ยวกับเรื่องบรรดาผู้เผยพระวจนะมีว่า ใจของข้าเป็นทุกข์อยู่ภายในข้า และกระดูกทั้งสิ้นของข้าก็สั่น ข้าเป็นเหมือนคนเมา ข้าเป็นเหมือนคนหงำด้วยเหล้าองุ่น เนื่องด้วยพระเจ้า และเนื่องด้วยพระวจนะบริสุทธิ์ของพระองค์
10 เพราะว่า แผ่นดินนั้นเต็มไปด้วยการล่วงประเวณี ด้วยเหตุคำสาปแช่งแผ่นดินนั้นก็ไว้ทุกข์ และลานหญ้าในถิ่นทุรกันดารก็แห้งไป วิถีของเขาทั้งหลายก็ชั่วช้า และอำนาจของเขาทั้งหลายก็ไม่เป็นธรรม
11 พระเจ้าตรัสว่า "ทั้งผู้เผยพระวจนะและปุโรหิตก็อธรรม ถึงแม้ว่าในนิเวศของเราเราก็ได้เห็นความชั่วของเขา
12 เพราะฉะนั้น หนทางของเขาทั้งหลาย จะเป็นเหมือนทางลื่นในความมืดแก่เขา เขาจะถูกขับไล่เข้าไปและล้มลงในนั้น เพราะเราจะนำเหตุร้ายมาเหนือเขา ในปีแห่งการลงโทษเขา พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
13 ในบรรดาผู้เผยพระวจนะแห่งสะมาเรีย เราได้เห็นสิ่งที่ไม่เหมาะอย่างยิ่ง เขาได้เผยพระวจนะในนามของพระบาอัล และได้ให้อิสราเอลประชากรของเราหลงไป
14 แต่ในผู้เผยพระวจนะแห่งเยรูซาเล็ม เราได้เห็นสิ่งอันน่าหวาดเสียว เขาล่วงประเวณีและดำเนินอยู่ในความมุสา เขาทั้งหลายหนุนกำลังมือของผู้กระทำความชั่ว จึงไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดหันจากความอธรรมของเขา เขาทุกคนกลายเป็นเหมือนโสโดมแก่เรา และชาวเมืองนั้นก็เหมือนเมืองโกโมราห์
15 เพราะฉะนั้น พระเจ้าจอมโยธาจึงตรัสเกี่ยวกับเรื่องผู้เผย พระวจนะเหล่านั้นว่า "ดูเถิด เราจะเลี้ยงเขาด้วยบอระเพ็ด และให้น้ำดีหมีเขาดื่ม เพราะว่าความอธรรมได้ออกไปทั่วแผ่นดินนี้ จากผู้เผยพระวจนะแห่งเยรูซาเล็ม"
16 พระเจ้าจอมโยธา ตรัสดังนี้ว่า "อย่าฟังถ้อยคำของผู้เผยพระวจนะ ผู้เผยให้ท่านฟังกระทำให้ท่านเต็มด้วยความหวังลมๆ แล้งๆ เขากล่าวถึงนิมิตแห่งใจของเขาเอง มิใช่จากพระโอษฐ์ของพระเจ้า
17 เขาพูดกับคนที่ดูหมิ่นพระวจนะของพระเจ้าเสมอว่า 'ท่านจะสุขสบาย' และแก่ทุกคนที่ดื้อตามใจของตนเอง เขาทั้งหลายกล่าวว่า 'จะไม่มีเหตุร้ายมาเหนือเจ้า'"
18 เพราะว่าผู้ใดเล่าที่ได้ยืนอยู่ในพลพรรคของพระเจ้า ที่จะพิเคราะห์เห็นและฟังพระวจนะของพระองค์ หรือผู้ใดที่เชื่อฟังพระวจนะของพระองค์และคอยฟัง
19 ดูเถิด นั่นพายุของพระเจ้า คือพระพิโรธได้ออกไปแล้ว เป็นพายุหมุนเวียน มันจะระเบิดขึ้นเหนือศีรษะของคนอธรรม
20 ความกริ้วของพระเจ้าจะไม่หันกลับ จนกว่าพระองค์จะทรงกระทำให้สำเร็จ ตามพระเจตนาแห่งพระหฤทัยของพระองค์ ในวันหลังๆ เจ้าทั้งหลายจะเข้าใจเรื่องนี้แจ่มแจ้ง
21 "เรามิได้ใช้ผู้เผยพระวจนะเหล่านั้น แต่เขาทั้งหลายยังวิ่งไป เราไม่ได้พูดกับเขาทั้งหลาย แต่เขาทั้งหลายยังเผยพระวจนะ
22 แต่ถ้าเขาทั้งหลายได้ยืนอยู่ในการประชุมของเรา แล้วเขาคงจะได้ป่าวร้องถ้อยคำของเราต่อประชากรของเรา และเขาทั้งหลายคงจะได้ให้ประชาชนหันกลับจาก ทางชั่วของเขาแล้ว และหันกลับจากความชั่วช้าในการกระทำของเขา
23 "พระเจ้าตรัสว่า เราเป็นพระเจ้าใกล้แค่คืบ มิใช่พระเจ้าที่อยู่ไกลด้วยดอกหรือ
24 พระเจ้าตรัสว่า คนใดจะซ่อนจากเราไปอยู่ในที่ลับเพื่อเราจะมิได้ เห็นเขาได้หรือ พระเจ้าตรัสว่าเรามิได้อยู่เต็มฟ้าสวรรค์และโลกดอกหรือ
25 เราได้ยินผู้เผยพระวจนะผู้ซึ่งเผยพระวจนะใน นามของเราได้กล่าวแล้วว่า 'ข้าพเจ้าฝันไป ข้าพเจ้าฝันไป'
26 นานสักเท่าใดที่คำมุสาจะอยู่ในใจ ของผู้เผยพระวจนะ ซึ่งเผยเรื่องเท็จและผู้เผยพระวจนะตามการหลอกลวง แห่งจิตใจของเขาเอง
27 ผู้ซึ่งคิดว่าจะกระทำให้ประชากรของเราลืม ชื่อของเรา โดยความฝันของเขาทั้งหลายซึ่งเขาเล่าสู่กันและกันฟัง อย่างกับบรรพบุรุษของเขาลืมนามของเรา ไปติดตามพระบาอัล
28 จงให้ผู้เผยพระวจนะที่ฝันเล่าความฝัน แต่ให้คนที่มีถ้อยคำของเรากล่าวถ้อยคำ ของเราอย่างสุจริตพระเจ้าตรัสว่า ฟางข้าวมีอะไรบ้างที่เหมือนข้าวสาลี
29 พระเจ้าตรัสว่า ถ้อยคำของเราไม่เหมือนไฟหรือ หรือเหมือนค้อนที่ทุบหินให้แตกเป็นชิ้นๆ
30 พระเจ้าตรัสว่า "เพราะฉะนั้น ดูเถิด เราต่อสู้กับบรรดาผู้เผยพระวจนะ ผู้ขโมยถ้อยคำของเราจากกันและกัน
31 พระเจ้าตรัสว่า "ดูเถิด เราต่อสู้กับผู้เผยพระวจนะ ผู้ใช้ลิ้นของเขากล่าวว่า 'พระเจ้าตรัสว่า'
32 พระเจ้าตรัสว่าดูเถิด เราต่อสู้คนเหล่านั้นที่เผยความฝันเท็จ และผู้ซึ่งบอกและนำประชากรของเราให้หลงไป โดยคำมุสาและคำโอ้อวดของเขา เมื่อเรามิได้ใช้เขาหรือสั่งเขา เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่เป็นประโยชน์แก่ชนชาตินี้อย่างใดเลย พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
33 "เมื่อมีประชาชนคนหนึ่งคนใดหรือผู้เผยพระวจนะคนใด หรือปุโรหิตคนใดถามเจ้าว่า 'อะไรเป็นครุวาท ของพระเจ้า เจ้าจงตอบเขาว่า 'พระเจ้าตรัสว่า เจ้าทั้งหลายนั่นแหละเป็นครุวาท และเราจะโยนเจ้าไปเสีย
34 และส่วนผู้เผยพระวจนะ ปุโรหิตหรือประชาชนผู้หนึ่งผู้ใดซึ่งพูดว่า 'ครุวาทของพระเจ้า' เราจะลงโทษผู้นั้นและครัวเรือนของเขา
35 เจ้าทั้งหลายจงพูดดังนี้ คือทุกคนพูดกับเพื่อนบ้าน ของตนหรือทุกคนพูดกับพี่น้องของตนว่า 'พระเจ้าตอบว่ากระไร' หรือ 'พระเจ้าทรงลั่นวาจาว่ากระไร'
36 แต่เจ้าทั้งหลายอย่าเอ่ยว่า 'ครุวาทของพระเจ้าอีกเลย เพราะว่าครุวาทนั้นเป็นคำของแต่ละคน และเจ้าได้ผันแปรพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ พระเจ้าจอมโยธาพระเจ้าของเรา
37 เจ้าจงกล่าวกับผู้เผยพระวจนะดังนี้ว่า 'พระเจ้าทรงตอบท่านว่ากระไร' หรือ 'พระเจ้าทรงลั่นวาจาว่ากระไร'
38 แต่ถ้าเจ้าทั้งหลายพูดว่า 'ครุวาทของพระเจ้า' 'พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า' เพราะเจ้าทั้งหลายได้กล่าวคำเหล่านี้ว่า "ครุวาทของพระเจ้า" เมื่อเราใช้ไปหาเจ้าทั้งหลายเราว่า "เจ้าอย่าพูดว่า'ครุวาทของพระเจ้า
39 เพราะฉะนั้น ดูเถิด เราจะยกเจ้าทั้งหลายขึ้นเป็นแน่ และโยนเจ้าไปเสียจากหน้าเรา ทั้งเจ้าและเมืองซึ่งเราได้ให้แก่เจ้าและแก่บรรพบุรุษของเจ้า
40 และเราจะนำความถูก ตำหนิเป็นนิตย์และความอายเนืองนิตย์มาเหนือเจ้าทั้งหลาย ซึ่งจะลืมเสียไม่ได้เลย'"

เยเรมีย์ 24

1 หลังจากเนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้จับเยโคนิยาห์ ราชบุตรของเยโฮยาคิมกษัตริย์แห่งยูดาห์ ไปเป็นเชลยเสียจากเยรูซาเล็ม พร้อมกับเจ้านายแห่งยูดาห์ ทั้งพวกช่างและช่างเหล็ก และนำเขามายังกรุงบาบิโลนแล้ว พระเจ้าก็ทรงสำแดงนิมิตแก่ข้าพเจ้าดังนี้ ดูเถิด มีกระจาดสองลูกใส่มะเดื่อวางไว้ หน้าพระวิหารของพระเจ้า
2 กระจาดลูกหนึ่งมีมะเดื่ออย่างดีนัก เหมือนมะเดื่อที่สุกต้นฤดู แต่กระจาดอีกลูกหนึ่งนั้นมีมะเดื่ออย่างเลวทีเดียว เลวจนรับประทานไม่ได้
3 และพระเจ้าตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า "เยเรมีย์เอ๋ย เจ้าเห็นอะไร" ข้าพเจ้าทูลตอบว่า "เห็นมะเดื่อที่ดีก็ดีมากและที่เลวก็เลวมาก เลวจนรับประทานไม่ได้ พระเจ้าข้า"
4 แล้วพระวจนะของพระเจ้ามาถึงข้าพเจ้าว่า
5 "พระเยโฮวาห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า ก็เหมือนอย่างมะเดื่อที่ดีเหล่านี้แหละ เราจะถือว่าพวกเหล่านั้นที่ถูกกวาดไปจากยูดาห์ยังดีอยู่ คือผู้ที่เราได้ส่งไปจากสถานที่นี้ไปสู่แผ่นดินของ ชาวเคลเดีย
6 เราจะตั้งตาของเราดูเขาเพื่อจะกระทำความดี และเราจะพาเขาทั้งหลายกลับมายังแผ่นดินนี้อีก เราจะสร้างเขาทั้งหลายขึ้นและจะไม่รื้อลง เราจะปลูกฝังเขาและไม่ถอนเขาเสีย
7 เราจะให้จิตใจแก่เขา ที่จะรู้จักว่าเราคือพระเจ้า และเขาทั้งหลายจะเป็นประชากรของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา เพราะเขาทั้งหลายจะกลับมาหาเราด้วยความเต็มใจ
8 "แต่พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เหมือนอย่างมะเดื่อที่เลวซึ่งเลวมากจนรับประทานไม่ได้นั้น เราจะกระทำต่อเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ ทั้งเจ้านายของเขา และชาวเยรูซาเล็มที่เหลืออยู่ผู้ซึ่งยังค้างอยู่ในแผ่นดินนี้ และผู้ที่ยังอาศัยอยู่ในอียิปต์
9 เราจะกระทำให้เขาเป็นที่น่าหวาดเสียว แก่ราชอาณาจักรทั้งสิ้นในโลก ให้เป็นที่ถูกตำหนิเป็นขี้ปาก เป็นคำเยาะเย้ย และเป็นคำแช่งทั่วไปทุกแห่ง ซึ่งเราขับไล่เขาให้ไปอยู่
10 และเราจะส่งดาบและการกันดารอาหาร และโรคระบาดมาเหนือเขา จนเขาจะถูกทำลายอย่างสิ้นเชิงจากแผ่นดิน ซึ่งเราได้ให้แก่เขาและแก่บรรพบุรุษของเขา"

เยเรมีย์ 25

1 ถ้อยคำซึ่งมาถึงเยเรมีย์เกี่ยวด้วยเรื่องชนชาติ ยูดาห์ทั้งสิ้น ในปีที่สี่แห่งรัชกาลเยโฮยาคิม ราชบุตรของโยสิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ (ปีนั้นเป็นปีต้นรัชกาลของเนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์ของกรุงบาบิโลน)
2 ซึ่งเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะ ได้กล่าวแก่ประชาชนยูดาห์ และแก่ชาวเยรูซาเล็มทั้งสิ้นว่า
3 "ตั้งแต่ปีที่สิบสามของโยสิยาห์ ราชบุตรของอาโมนกษัตริย์แห่งยูดาห์ จนถึงวันนี้เป็นเวลายี่สิบสามปี พระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ได้บอกแก่ท่านทั้งหลายอย่างไม่หยุดยั้ง แต่ท่านหาได้ฟังไม่
4 ท่านไม่ฟังหรือเอียงหูของท่านฟัง แม้ว่าพระเจ้าทรงส่งบรรดาผู้เผย พระวจนะผู้รับใช้ของพระองค์มาอย่างไม่หยุดยั้ง
5 กล่าวว่า 'บัดนี้เจ้าทุกคนจงหันกลับจากทางชั่วของตนและ จากการกระทำผิดของตน และอาศัยอยู่ในแผ่นดินซึ่งพระเจ้าทรงประทานแก่ เจ้าและบรรพบุรุษของเจ้าตั้งแต่โบราณและต่อไปเป็นนิตย์
6 อย่าไปติดสอยห้อยตามพระอื่นเพื่อจะปรนนิบัติและ นมัสการพระเหล่านั้น หรือยั่วเย้าเราให้โกรธด้วยผลงานแห่งมือของเจ้า แล้วเราจะไม่ทำอันตรายแก่เจ้า'
7 พระเจ้าตรัสว่า แม้กระนั้นเจ้าทั้งหลายก็ไม่ฟังเรา เพื่อเจ้าจะได้ยั่วเย้าเราให้กริ้วด้วยผลงานแห่งมือของเจ้า ซึ่งเป็นผลร้ายแก่เจ้าเอง
8 "เพราะฉะนั้น พระเจ้าจอมโยธาจึงตรัสดังนี้ว่า เพราะเจ้าไม่เชื่อฟังถ้อยคำของเรา
9 พระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด เราจะเรียกเผ่าชนทั้งสิ้นของทิศเหนือและเนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์บาบิโลนผู้รับใช้ของเรา และเราจะนำเขาทั้งหลายมาต่อสู้ แผ่นดินนี้และชาวเมืองนี้และบรรดา ประชาชาติเหล่านี้ซึ่งอยู่ล้อมรอบ เราจะทำลายเขาทั้งหลายให้สิ้นเชิง และเราจะกระทำเขาให้เป็นที่น่า หวาดเสียวและเป็นที่เยาะเย้ยและเป็นที่ร้างเปล่าเป็นนิตย์
10 ยิ่งกว่านั้นอีกเราจะกำจัดเสียงบันเทิงและเสียงร่าเริง เสียงเจ้าบ่าวและเสียงเจ้าสาว เสียงหินโม่และแสงตะเกียงเสียจากเจ้า
11 แผ่นดินนี้ทั้งสิ้นจะเป็นที่เริศร้างและทิ้งร้าง และบรรดาประชาชาติเหล่านี้จะปรนนิบัติกษัตริย์ กรุงบาบิโลนอยู่เจ็ดสิบปี
12 พระเจ้าตรัสว่า เมื่อครบเจ็ดสิบปีแล้ว เราจะลงโทษกษัตริย์บาบิโลนและประชาชนชาตินั้น คือแผ่นดินของชาวเคลเดียเพราะบาปชั่ว ของเขาทั้งหลายกระทำให้แผ่นดินนั้นทิ้งร้างอยู่เป็นนิตย์
13 เราจะนำถ้อยคำทั้งสิ้นให้สำเร็จที่แผ่นดินนั้น คือถ้อยคำที่เราได้กล่าวสู้เมืองนั้น คือทุกสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือนี้ ซึ่งเยเรมีย์ได้เผยพระวจนะแก่บรรดาประชาชาติทั้งสิ้น
14 เพราะว่าจะมีหลายประชาชาติและบรรดา มหากษัตริย์กระทำให้เขาเหล่านั้นเป็นทาสแม้ว่า เขาทั้งหลายก็ดี และเราจะตอบแทนเขาทั้งหลาย ตามการกระทำและผลงานแห่งมือของเขา"
15 พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสกับ ข้าพเจ้าดังนี้ว่า "จงเอาถ้วยเหล้าองุ่นแห่งความพิโรธนี้ไปจากมือเรา และบังคับบรรดาประชาชาติซึ่งเราส่งเจ้าไปนั้น ให้ดื่มจากถ้วยนั้น
16 เขาจะดื่มและเดินโซเซและบ้าคลั่งไปเนื่องด้วย ดาบซึ่งเราส่งไปท่ามกลางเขาทั้งหลาย"
17 ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงรับถ้วยมาจากพระหัตถ์ของพระเจ้า และบังคับประชาชาติทั้งสิ้น ซึ่งพระเจ้าทรงใช้ให้ข้าพเจ้าไปหานั้นดื่ม
18 คือกรุงเยรูซาเล็มและหัวเมืองแห่งยูดาห์ ทั้งบรรดากษัตริย์และเจ้านายของเมืองนั้น กระทำให้เป็นที่ร้างเปล่าและทิ้งร้าง เป็นที่เย้ยเยาะและเป็นที่แช่งสาปอย่างทุกวันนี้
19 ฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์กับบรรดาข้าราชการ และเจ้านายและประชาชนของท่านนั้น
20 และบรรดาชนต่างด้าวที่อยู่ท่ามกลางเขา บรรดากษัตริย์แห่งแผ่นดินอูส และบรรดากษัตริย์แห่งแผ่นดินฟีลิสเตีย (คือเมืองอัสเคโลน กาซา เอโครน และส่วนชาวเมืองอัชโดดที่เหลืออยู่)
21 เอโดม โมอับและคนอัมโมน
22 บรรดากษัตริย์แห่งเมืองไทระ บรรดากษัตริย์เมืองไซดอนและบรรดากษัตริย์แห่งเมือง ชายทะเลฟากโน้น
23 เมืองเดดาน เทมา บุส และบรรดาคนที่โกนผมจอนหู
24 บรรดากษัตริย์แห่งอาระเบียและบรรดากษัตริย์ แห่งเผ่าที่ปะปนกันอยู่ในถิ่นทุรกันดาร
25 บรรดากษัตริย์แห่งศิมรี และบรรดากษัตริย์แห่งเอลาม และบรรดากษัตริย์ของมีเดีย
26 บรรดากษัตริย์แห่งเมืองทิศเหนือ ทั้งไกลและใกล้ทีละเมืองๆ และบรรดาราชอาณาจักรแห่งโลกซึ่งอยู่บนพื้นพิภพ และกษัตริย์แห่งเชชัก จะ ดื่มภายหลังกษัตริย์เหล่านี้
27 "แล้วเจ้าจงพูดกับเขาทั้งหลายว่า 'พระเจ้าจอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า จงดื่มให้เมาแล้วก็อาเจียน จงล้มลงและอย่าลุกขึ้นอีกเลย เนื่องด้วยดาบซึ่งเราจะส่งมาท่ามกลางเจ้าทั้งหลาย'
28 "และถ้าเขาปฏิเสธไม่รับถ้วยจากมือของเจ้าดื่ม เจ้าจงพูดกับเขาทั้งหลายว่า 'พระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้ว่า เจ้าต้องดื่ม
29 เพราะดูเถิด เราได้เริ่มทำโทษเมืองซึ่งเรียกตามชื่อของเราแล้ว และเจ้าจะลอยนวลไปได้โดยไม่ถูกโทษหรือ พระเจ้าจอมโยธาตรัสว่า เจ้าจะลอยนวลไปไม่ได้ เพราะเรากำลังเรียกดาบ เล่มหนึ่งมาเหนือชาวแผ่นดินโลกทั้งสิ้น'
30 "เพราะฉะนั้น เจ้าจงเผยพระวจนะเหล่านี้ทั้งสิ้นสู้เขาทั้งหลาย และกล่าวแก่เขาว่า 'พระเจ้าจะทรงเปล่งพระสุรเสียงจากที่สูง และจากที่พำนักอันบริสุทธิ์ของพระองค์ พระองค์จะตรัส พระองค์จะเปล่งพระสุรเสียงมากมายต่อฝูงแกะของพระองค์ และทรงโห่ร้องอย่างกับคนที่ย่ำองุ่นโห่ร้อง ต่อชาวพิภพทั้งสิ้น
31 เสียงกัมปนาทจะก้องไปทั่วปลายพิภพ เพราะพระเจ้าทรงมีคดีกับบรรดาประชาชาติ พระองค์ทรงเข้าพิพากษาเนื้อหนังทั้งสิ้น ส่วนคนอธรรมนั้น พระองค์จะทรงฟันเสียด้วยดาบ พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ'
32 "พระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด โทษจะไปจากประชาชาตินี้ถึงประชาชาตินั้น และพายุใหญ่จะปั่นป่วนขึ้นมา จากส่วนพิภพโลกที่ไกลที่สุด
33 "และบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงประหารในวันนั้น จะมีจากปลายโลกข้างนี้ถึงปลายโลกข้างนั้น เขาเหล่านั้นจะไม่มีใครโอดครวญให้ หรือรวบรวมหรือฝังไว้ แต่จะเป็นเหมือนมูลสัตว์อยู่บนพื้นดิน
34 ท่านผู้เลี้ยงแกะทั้งหลายเอ๋ย จงคร่ำครวญและร้องเถิด ท่านเจ้าของฝูงแกะ จงกลิ้งเกลือกในขี้เถ้า เพราะวันเวลาของการสังหารเจ้าและที่เจ้าต้อง กระจัดกระจาย มาถึงแล้ว และเจ้าทั้งหลายจะล้มลงเหมือนแกะผู้ตัวงาม
35 ผู้เลี้ยงแกะจะไม่มีทางหนี หรือเจ้าของฝูงแกะไม่มีทางรอด
36 จงฟังเสียงร้องของผู้เลี้ยงแกะ และเสียงคร่ำครวญของเจ้าฝูงแกะ เพราะว่าพระเจ้าทรงกำลังทำลายลานหญ้าของเขาทั้งหลายเสีย
37 และคอกแกะที่สงบสุขก็เงียบเสียแล้ว เนื่องด้วยความกริ้วอันแรงกล้าของพระเจ้า
38 พระองค์ทรงออกจากที่ซุ่มของพระองค์อย่างสิงห์หนุ่ม เพราะว่า แผ่นดินของเขาทั้งหลายเป็นที่ร้างเปล่า เนื่องด้วยพระแสงดาบของพระเจ้า และเนื่องด้วยความกริ้วอันแรงกล้าของพระองค์

เยเรมีย์ 26
1 ในต้นรัชกาลของเยโฮยาคิม ราชบุตรของโยสิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ พระวจนะนี้มาจากพระเจ้า
2 "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า จงยืนอยู่ในลานพระนิเวศแห่งพระเจ้า และจงพูดกับบรรดาหัวเมืองแห่งยูดาห์ ซึ่งมานมัสการในพระนิเวศของพระเจ้า คือพูดบรรดาถ้อยคำที่เราสั่งเจ้าให้พูดกับเขา อย่าเก็บไว้สักคำเดียว
3 บางทีเขาจะฟัง และทุกคนจะกลับจากทางชั่วของเขา และเราจะกลับใจไม่ทำโทษซึ่งเราเจตนา จะกระทำต่อเขาทั้งหลาย เนื่องด้วยการกระทำที่ชั่วช้าของเขาทั้งหลาย
4 เจ้าจงพูดกับเขาทั้งหลายว่า "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ถ้าเจ้าทั้งหลายไม่ฟังเรา ที่จะดำเนินตามพระธรรมที่เราได้วางไว้ต่อหน้าเจ้า
5 และเชื่อฟังถ้อยคำของบรรดาผู้รับใช้ของเรา คือบรรดาผู้เผยพระวจนะ ซึ่งเราได้ส่งไปหาเจ้าอย่างไม่หยุดยั้ง ถึงเจ้าจะมิได้เชื่อฟัง
6 แล้วเราจะกระทำให้พระนิเวศนี้เหมือนอย่างชิโลห์ และเราจะกระทำให้เมืองนี้เป็นที่สาปแก่บรรดาประชาชาติทั่วโลก"
7 บรรดาปุโรหิตและผู้เผยพระวจนะ และประชาชนทั้งสิ้นได้ยินเยเรมีย์ พูดถ้อยคำเหล่านี้ในพระนิเวศของพระเจ้า
8 และเมื่อเยเรมีย์ได้จบคำพูดทั้งสิ้น ซึ่งพระเจ้าได้บัญชาท่านให้พูดแก่ประชาชนนั้น บรรดาปุโรหิตและผู้เผยพระวจนะและประชาชน ทั้งสิ้นได้จับเยเรมีย์กล่าวว่า "เจ้าจะต้องตาย
9 ทำไมเจ้าจึงเผยพระวจนะในพระนามของพระเจ้าว่า 'พระนิเวศนี้จะเหมือนชิโลห์และเมืองนี้จะร้างเปล่า ไม่มีชาวเมืองอยู่'" และประชาชนทั้งสิ้นก็ รวบรวมกันเข้ามาหาเยเรมีย์ที่พระนิเวศของพระเจ้า
10 เมื่อบรรดาเจ้านายแห่งยูดาห์ได้ยินสิ่งเหล่านี้แล้ว ท่านก็ขึ้นมาจากพระราชวังถึงพระนิเวศของพระเจ้า และมานั่งในทางเข้าประตูใหม่แห่งพระนิเวศของพระเจ้า
11 แล้วบรรดาปุโรหิตและผู้เผยพระวจนะจึงทูล เจ้านายและบอกประชาชนทั้งปวงว่า "ชายคนนี้ควรแก่การตัดสินลงโทษถึงความตาย เพราะเขาเผยพระวจนะกล่าวโทษเมืองนี้ ดังที่ท่านทั้งหลายได้ยินกับหูของท่านเองแล้ว"
12 เยเรมีย์จึงทูลเจ้านายทั้งสิ้นและบอกประชาชนทั้งปวงว่า "พระเจ้าทรงใช้ให้ข้าพเจ้ามาเผยพระวจนะต่อพระนิเวศ และเมืองนี้ ตามถ้อยคำทั้งสิ้นซึ่งท่านทั้งหลายได้ยินมา
13 เพราะฉะนั้น บัดนี้ท่านทั้งหลายจงแก้ไขพฤติการณ์ และการกระทำของท่านทั้งหลายและ เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน และพระเจ้าจะทรงกลับพระทัยจากโทษ ซึ่งพระองค์ได้ทรงกำหนดให้ท่าน
14 แต่ส่วนตัวข้าพเจ้า ดูเถิด ข้าพเจ้าอยู่ในมือของท่านทั้งหลาย ท่านจงกระทำแก่ข้าพเจ้าตามที่ท่านเห็นดีและเห็นชอบ
15 ขอแต่เพียงให้ทราบแน่ว่า ถ้าท่านประหารข้าพเจ้าที่คนไร้ความผิดต้องตายนั้น ตัวท่านเองและเมืองนี้และชาวเมืองนี้ต้องรับผิดชอบ เพราะความจริงพระเจ้าทรงใช้ให้ข้าพเจ้ามาพูด ถ้อยคำเหล่านี้ทั้งสิ้นให้เข้าหูของท่าน"
16 แล้วเจ้านายและประชาชนทั้งสิ้นได้พูดกับบรรดาปุโรหิต และผู้เผยพระวจนะว่า "ชายผู้นี้ไม่สมควรที่จะต้องคำพิพากษาถึงความตาย เพราะเขาได้พูดกับเราในพระนามของพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของเรา"
17 และผู้ใหญ่บางคนแห่งแผ่นดินนั้นก็ลุกขึ้นพูดกับ ประชาชนทั้งสิ้นที่ประชุมกันอยู่ว่า
18 "มีคาห์ชาวเมืองโมเรเชทได้เผยพระวจนะ ในสมัยเฮเซคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ และกล่าวแก่ประชาชนทั้งสิ้นของยูดาห์ว่า 'พระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้ว่า เมืองศิโยนจะถูกไถเหมือนกับไถนา กรุงเยรูซาเล็มจะกลายเป็นกองสิ่งปรักหักพัง และภูเขาที่ตั้งของนิเวศนั้นจะเป็นที่สูงมีป่าไม้'
19 เฮเซคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ และคนยูดาห์ทั้งสิ้นได้ฆ่าเขาเสียหรือ ท่านไม่ยำเกรงพระเจ้าและทูลวิงวอนขอพระเจ้าหรือ และพระเจ้ามิได้กลับพระทัยต่อโทษซึ่งพระองค์ทรง กำหนดให้เขาเหล่านั้นหรือ แต่เรากำลังจะนำเหตุร้ายใหญ่ยิ่งมาสู่ตัวเราเอง"
20 ยังมีชายอีกคนหนึ่งผู้เผยพระวจนะในพระนามของพระเจ้า ชื่ออุรีอาห์ บุตรเชไมอาห์ ชาวคีริยาทเยอาริม ท่านได้เผยพระวจนะกล่าวโทษเมืองนี้ และแผ่นดินนี้เป็นถ้อยคำคล้ายคลึงกับของเยเรมีย์
21 และเมื่อกษัตริย์เยโฮยาคิม พร้อมกับบรรดาทแกล้วทหาร และบรรดาเจ้านายได้ยินถ้อยคำนี้ พระราชาก็ทรงแสวงหาจะสังหารท่านเสีย และเมื่ออุรีอาห์ได้ทราบเรื่อง ท่านก็กลัวจึงหนีรอดไปยังอียิปต์
22 แล้วกษัตริย์เยโฮยาคิมก็ส่งชายบางคน คือเอลนาธันบุตรอัคโบร์และคนอื่นอีกไปยังอียิปต์
23 และเขาทั้งหลายจับอุรีอาห์มาจากอียิปต์ และนำท่านมาถวายกษัตริย์เยโฮยาคิม พระองค์ทรงประหารท่านเสียด้วยดาบ และโยนศพเข้าไปในที่ฝังศพของคนสามัญ
24 แต่มือของอาหิคัมบุตรชาฟานอยู่กับเยเรมีย์ ฉะนั้นเยเรมีย์จึงมิได้ถูกมอบให้ประชาชนประหารชีวิต

เยเรมีย์ 27
1 ในต้นรัชกาลเศเดคียาห์ ราชบุตรของโยสิยาห์ กษัตริย์แห่งยูดาห์ พระวจนะนี้มาจากพระเจ้าถึงเยเรมีย์
2 พระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า "จงทำสายรัดและแอกสำหรับตัวเจ้า จงสวมคอของเจ้า
3 และส่งมันไปยังกษัตริย์แห่งเอโดม กษัตริย์แห่งโมอับ และกษัตริย์แห่งคนอัมโมน กษัตริย์แห่งไทระ และกษัตริย์แห่งไซดอน ด้วยมือของทูตที่มาเข้าเฝ้าเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ที่กรุงเยรูซาเล็ม
4 จงฝากคำกำชับเหล่านี้แก่บรรดานายของเขาว่า 'พระเจ้าจอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า เจ้าจงกล่าวเรื่องต่อไปนี้ให้นายของเจ้าฟังว่า
5 นี่คือเราเอง ผู้ได้สร้างโลก ทั้งมนุษย์และสัตว์ซึ่งอยู่ในโลกด้วยฤทธานุภาพ ใหญ่ยิ่งและด้วยแขนที่เหยียดออกของเรา และเราจะให้แก่ผู้ใดก็ได้สุดแต่เราเห็นชอบ
6 บัดนี้ เราได้ให้แผ่นดินเหล่านี้ทั้งสิ้นไว้ใน มือของเนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์แห่งบาบิโลนผู้รับใช้ของเรา และเราได้ให้สัตว์ป่าทุ่งแก่เขาด้วย ที่จะปรนนิบัติเขา
7 บรรดาประชาชาติทั้งสิ้นจะต้องปรนนิบัติตัวเขา ลูกและหลานของเขา จนกว่าเวลากำหนดแห่งแผ่นดินของท่านเอง จะมาถึง แล้วหลายประชาชาติ และบรรดามหากษัตริย์จะกระทำให้ท่านเป็นทาส ของเขาทั้งหลาย
8 "แต่ถ้าประชาชาติใด หรือราชอาณาจักรใด จะไม่ปรนนิบัติเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนคนนี้ และไม่ยอมวางคอไว้ใต้แอกของกษัตริย์บาบิโลน เราจะลงโทษประชาชาตินั้นด้วยดาบ ด้วยการกันดารอาหาร และด้วยโรคระบาด พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ จนกว่าเราจะล้างผลาญเสียด้วยมือของเขา
9 เพราะฉะนั้นอย่าฟังผู้เผยพระวจนะ หรือผู้ทำนาย หรือคนช่างฝันของเจ้า หรือหมอดู หรือนักวิทยาคมของเจ้า ผู้ซึ่งกล่าวแก่เจ้าว่า 'ท่านจะไม่ปรนนิบัติกษัตริย์แห่งกรุงบาบิโลนดอก'
10 เพราะซึ่งเขาเผยพระวจนะให้ท่านนั้นเป็นความเท็จ อันยังผลให้ท่านต้องโยกย้ายไกลไปจากแผ่นดินของท่าน และเราจะขับไล่ท่านออกไป และท่านจะพินาศ
11 แต่ประชาชาติใดซึ่งเอาคอของตนวางไว้ใต้แอก ของกษัตริย์แห่งบาบิโลนและปรนนิบัติท่าน เราจะละเขาไว้บนแผ่นดินของเขา เพื่อให้ทำไร่ไถนาและให้อาศัยอยู่ที่นั่น พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ"
12 ข้าพเจ้าได้ทูลเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ใน ทำนองเดียวกันว่า "จงเอาคอของท่านไว้ใต้แอกของกษัตริย์แห่งบาบิโลน และปรนนิบัติเขาและประชาชนของเขา และจงมีชีวิตอยู่
13 ทำไมท่านกับชนชาติของท่านจะมาตายเสียด้วยดาบ ด้วยการกันดารอาหารและด้วยโรคระบาด ดังที่พระเจ้าทรงลั่นวาจาเกี่ยวด้วยประชาชาติใดๆ ซึ่งจะไม่ปรนนิบัติกษัตริย์แห่งบาบิโลน
14 อย่าฟังถ้อยคำของผู้เผยพระวจนะผู้กล่าวแก่เจ้าว่า 'ท่านจะไม่ปรนนิบัติกษัตริย์แห่งบาบิโลนดอก' เพราะซึ่งเขาทั้งหลายเผยพระวจนะแก่ท่านนั้นก็เป็นการมุสา
15 พระเจ้าตรัสว่า เราไม่ได้ใช้เขา แต่เขาเผยพระวจนะเท็จในนามของเรา ซึ่งยังผลให้เราต้องขับไล่เจ้าออกไปและเจ้าจะต้องพินาศ ทั้งตัวเจ้าและผู้เผยพระวจนะทั้งหลายซึ่งเผย พระวจนะให้แก่เจ้า"
16 และข้าพเจ้าก็ได้พูดกับปุโรหิตและประชาชนนี้ทั้งสิ้นว่า "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า อย่าเชื่อฟังถ้อยคำของผู้เผยพระวจนะของเจ้า ซึ่งเผยพระวจนะให้แก่เจ้าว่า 'ดูเถิด ไม่ช้าเขาจะนำเครื่องใช้ของพระนิเวศแห่งพระเจ้า กลับมาจากกรุงบาบิโลน เพราะซึ่งเขาเผยพระวจนะแก่ท่านนั้นก็เป็นความเท็จ'
17 อย่าเชื่อฟังเขาเลย จงปรนนิบัติพระราชาแห่งบาบิโลนและมีชีวิตอยู่ ทำไมเมืองนี้จะร้างเปล่า
18 ถ้าเขาเหล่านั้นเป็นผู้เผยพระวจนะ และถ้าพระวจนะของพระเจ้าอยู่กับเขา ก็ขอให้เขาทูลวิงวอนต่อพระเจ้าจอมโยธาว่า ให้เครื่องใช้ซึ่งอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า และในพระราชวังของกษัตริย์แห่งยูดาห์ และในกรุงเยรูซาเล็ม อย่าให้ไปยังบาบิโลน
19 เพราะพระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้เกี่ยวกับบรรดาเสาหาน ขันสาคร และขาตั้ง และเครื่องใช้อื่นๆที่เหลืออยู่ในเมืองนี้
20 ที่เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนมิได้ริบเอาไป เมื่อท่านได้จับเอาเยโคนิยาห์ราชบุตรของ เยโฮยาคิมกษัตริย์ของยูดาห์ และบรรดาข้าราชการผู้ใหญ่ของเยรูซาเล็มถูกกวาดต้อน จากกรุงเยรูซาเล็มไปเป็นเชลยยังกรุงบาบิโลน
21 พระเจ้าจอมโยธาพระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้เกี่ยว ด้วยเรื่องเครื่องใช้ซึ่งยังเหลืออยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า ในพระราชวังของกษัตริย์แห่งยูดาห์และในกรุงเยรูซาเล็ม
22 พระเจ้าตรัสว่า เครื่องใช้เหล่านี้จะถูกขนไปยังบาบิโลนและจะ ค้างอยู่ที่นั่นจนถึงวันที่เราเอาใจใส่มัน แล้วเราจึงจะนำมันกลับมา และให้กลับสู่สถานที่นี้"

เยเรมีย์ 28
1 ในปีเดียวกันนั้นเมื่อต้นรัชกาลเศเดคียาห์ กษัตริย์แห่งยูดาห์ ในเดือนที่ห้าปีที่สี่ ฮานันยาห์บุตรชายของอัสซูร์ ผู้เผยพระวจนะจากกิเบโอน ได้พูดกับข้าพเจ้าในพระนิเวศของพระเจ้า ต่อหน้าบรรดาปุโรหิตและประชาชนทั้งหลายว่า
2 "พระเจ้าจอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า เราได้หักแอกของกษัตริย์แห่งบาบิโลนแล้ว
3 ภายในสองปี เราจะนำเครื่องใช้ทั้งสิ้นของพระนิเวศ แห่งพระเจ้ากลับมายังที่นี้ ซึ่งเป็นภาชนะที่เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่ง บาบิโลนริบไปจากที่นี้และขนไปยังบาบิโลน
4 เราจะนำเยโคนิยาห์ราชบุตรของเยโฮยาคิม กษัตริย์แห่งยูดาห์ และบรรดาผู้ที่ถูกกวาดจากยูดาห์ ผู้ซึ่งไปยังบาบิโลน พระเจ้าตรัสดังนี้แหละว่า เพราะเราจะหักแอกของกษัตริย์แห่งบาบิโลน"
5 แล้วเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะก็พูดกับฮานันยาห์ ต่อหน้าบรรดาปุโรหิต และประชาชนทั้งปวงผู้ซึ่งอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า
6 และเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะกล่าวว่า "อาเมน ขอพระเจ้าทรงกระทำเช่นนั้นเถิด ขอพระเจ้าทรงกระทำให้ถ้อยคำ ซึ่งท่านเผยพระวจนะนั้นเป็นจริง และนำเครื่องใช้แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และบรรดาผู้ถูกกวาดไปทั้งสิ้นกลับมาจากบาบิโลนยังที่นี้
7 ถึงกระนั้นก็ขอฟังถ้อยคำนี้ ซึ่งข้าพเจ้าพูดให้ท่านได้ยิน และให้ประชาชนทั้งหลายนี้ได้ยิน
8 บรรดาผู้เผยพระวจนะซึ่งอยู่ก่อนท่านและข้าพเจ้า ตั้งแต่โบราณกาลได้เผยพระวจนะถึงสงคราม การกันดารอาหาร และโรคระบาดอันมีแก่หลายประเทศ และหลายราชอาณาจักรใหญ่ๆ
9 ส่วนผู้เผยพระวจนะผู้เผยว่าจะมีสันติภาพ เมื่อเป็นจริงตามถ้อยคำของผู้เผยพระวจนะนั้น จึงรู้กันว่าพระเจ้าทรงใช้ผู้เผยพระวจนะนั้นจริง"
10 แล้วฮานันยาห์ผู้เผยพระวจนะก็ปลดแอก ออกจากคอของเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะ และหักมันเสีย
11 และฮานันยาห์ได้กล่าวต่อหน้าประชาชนทั้งสิ้นว่า "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า อย่างนั้นแหละ เราจะหักแอกของเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์ของบาบิโลน จากคอของบรรดาประชาชาติทั้งสิ้นภายในสองปี" แต่เยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะก็ออกไปเสีย
12 หลังจากที่ฮานันยาห์ผู้เผยพระวจนะหักแอก จากคอของเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะ พระวจนะของพระเจ้ามายังเยเรมีย์ว่า
13 "จงไปบอกฮานันยาห์ว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เจ้าได้หักแอกไม้ แต่เราจะทำแอกเหล็กไว้แทน
14 เพราะพระเจ้าจอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า เราได้วางแอกเหล็กไว้บนคอบรรดาประชาชาติเหล่านี้ทั้งสิ้น ให้เป็นทาสของเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลน และเขาทั้งหลายจะปรนนิบัติเขา เพราะเราได้ยกให้เขาแล้วถึงแม้ว่าสัตว์ป่าทุ่งด้วย"
15 และผู้เผยพระวจนะได้พูดกับ ฮานันยาห์ผู้เผยพระวจนะว่า "ฮานันยาห์ขอท่านฟัง พระเจ้ามิได้ทรงใช้ท่านและท่านได้กระทำ ให้ชนชาตินี้วางใจในความเท็จ
16 เพราะฉะนั้น พระเจ้าตรัสว่า 'ดูเถิด เราจะย้ายเจ้าไปจากพื้นโลก ในปีเดียวนี้เองเจ้าจะต้องตาย เพราะเจ้าได้กล่าวถ้อยคำเป็นการกบฏต่อพระเจ้า'"
17 ในปีเดียวกันนั้น ในเดือนที่เจ็ดฮานันยาห์ผู้เผยพระวจนะก็ตาย

เยเรมีย์ 29

1 ต่อไปนี้เป็นถ้อยคำในจดหมาย ซึ่งเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะฝากไป จากกรุงเยรูซาเล็มถึงพวกผู้ใหญ่ของพวกที่เป็นเชลย และถึงบรรดาปุโรหิต บรรดาผู้เผยพระวจนะ และประชาชนทั้งสิ้น ผู้ซึ่งเนบูคัดเนสซาร์ได้ให้กวาดไปจาก กรุงเยรูซาเล็มถึงบาบิโลน
2 นี่เป็นเรื่องหลังจากกษัตริย์เยโคนิยาห์ และพระราชินี พวกขันที บรรดาเจ้านายของยูดาห์และเยรูซาเล็มและบรรดา ช่างและช่างเหล็กได้ออกไปจาก กรุงเยรูซาเล็มแล้ว
3 จดหมายนั้นได้ส่งไปด้วยมือของเอลาสาห์บุตรของ ชาฟานและเกมาริยาห์บุตรซิลคียาห์ ผู้ซึ่งเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ส่งไปที่บาบิโลนยัง เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลน จดหมายนั้นว่า
4 "พระเจ้าจอมโยธาพระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้แก่บรรดาผู้เป็นเชลย ผู้ซึ่งเราได้เนรเทศเขาไปจากกรุง เยรูซาเล็มถึงบาบิโลนนั้นว่า
5 จงสร้างเรือนและเข้าอยู่ในเรือนนั้น จงปลูกสวนและรับประทานผลไม้ที่ได้นั้น
6 จงมีภรรยาและมีบุตรชายบุตรหญิง จงหาภรรยาให้บุตรชายของเจ้าทั้งหลาย และยกบุตรหญิงของเจ้าให้แต่งงานเสีย เพื่อนางจะได้มีบุตรชายและบุตรหญิง ทวีมากขึ้นที่นั่นและไม่น้อยลง
7 แต่จงส่งเสริมสวัสดิภาพของเมือง ซึ่งเราได้กวาดเจ้าให้ไปเป็นเชลยอยู่นั้น และจงอธิษฐานต่อพระเจ้าเผื่อเมืองนั้น เพราะว่าเจ้าทั้งหลายจะพบสวัสดิภาพ ของเจ้าในสวัสดิภาพของเมืองนั้น
8 เพราะพระเจ้าจอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า อย่ายอมให้ผู้เผยพระวจนะของเจ้าทั้งหลาย หรือผู้ทำนายของเจ้าผู้อยู่ท่ามกลางหลอกลวงเจ้า และอย่าเชื่อความฝันซึ่งเขาทั้งหลายได้ฝันเห็น
9 เพราะที่เขาเผยพระวจนะแก่เจ้าใน นามของเรานั้นเป็นความเท็จ เรามิได้ใช้เขาไป พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
10 "เพราะพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เมื่อเจ็ดสิบปีแห่งบาบิโลนครบแล้ว เราจะเยี่ยมเยียนเจ้าและจะให้คำสัญญาของเรา สำเร็จเพื่อเจ้าและจะนำเจ้ากลับมาสู่สถานที่นี้
11 พระเจ้าตรัสว่า เพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้สำหรับเจ้า เป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ ไม่ใช่เพื่อทุกขภาพ เพื่อจะให้อนาคตและความหวังใจแก่เจ้า
12 แล้วเจ้าจะทูลขอต่อเรา และมาอธิษฐานต่อเรา และเราจะฟังเจ้า
13 เจ้าจะแสวงหาเราและพบเราเมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วย สิ้นสุดใจของเจ้า
14 พระเจ้าตรัสว่า เราจะให้เจ้าพบเรา และเราจะให้เจ้ากลับสู่สภาพดีและรวบรวมเจ้ามาจาก บรรดาประชาชาติและจากทุกที่ที่เราขับไล่เจ้าให้ไปอยู่นั้น พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ และเราจะนำเจ้ากลับมายังที่ซึ่งเรา เนรเทศเจ้าให้จากไปนั้น
15 "เพราะเจ้าทั้งหลายได้กล่าวว่า 'พระเจ้าได้เพาะให้มีผู้เผยพระวจนะสำหรับเรา ทั้งหลายขึ้นในบาบิโลน
16 พระเจ้าตรัสดังนี้เกี่ยวกับพระราชาผู้ประทับ บนพระที่นั่งของดาวิด และเกี่ยวกับประชาชนทั้งสิ้นผู้อาศัยอยู่ในเมืองนี้ คือญาติพี่น้องของท่านผู้มิได้ถูกเนรเทศไปกับท่านว่า
17 'พระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะส่งดาบ การกันดารอาหาร และโรคระบาดมาเหนือเขาทั้งหลาย และเราจะกระทำให้เขาทั้งหลาย เหมือนกับมะเดื่อที่เสียซึ่งเลวมากจนเขารับประทานไม่ได้
18 เราจะขับติดตามเขาด้วยดาบ การกันดารอาหาร และโรคระบาด และจะกระทำเขาให้เป็นที่ หวาดเสียวแก่ราชอาณาจักรทั้งสิ้นแห่งแผ่นดินโลก ให้เป็นคำสาป ให้เป็นความสยดสยอง ให้เป็นที่เยาะเย้ย เป็นขี้ปาก ท่ามกลางบรรดาประชาชาติซึ่งเราได้ขับไล่ให้เขาไปอยู่นั้น
19 พระเจ้าตรัสว่า เพราะว่าเขาทั้งหลายไม่เชื่อฟังถ้อยคำ ของเราที่ส่งมายังเขาอย่างไม่หยุดยั้ง โดยผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของเรา แต่เจ้าทั้งหลายไม่ยอมฟัง พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ'
20 เจ้าทั้งปวงผู้ถูกเนรเทศ ผู้ซึ่งเราส่งไปจากกรุงเยรูซาเล็มถึงบาบิโลน จงฟังพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า
21 'พระเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลตรัสดังนี้เกี่ยวกับอาหับ บุตรชายของโคลายาห์ และเศเดคียาห์บุตรมาอาเสอาห์ ผู้ซึ่งได้เผย พระวจนะเท็จแก่เจ้าในนามของเรา ดูเถิด เราจะมอบเขาทั้งสองไว้ในมือของ เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลน และท่านจะฆ่าเขาทั้งสองเสียต่อหน้าต่อตาเจ้า
22 เหตุเขาทั้งสองบรรดาผู้ที่ถูกเนรเทศ จากยูดาห์ไปถึงบาบิโลนจะใช้คำสาปต่อไปนี้ว่า "ขอพระเจ้าทรงกระทำให้เจ้าเหมือนเศเดคียาห์และอาหับ ผู้ที่กษัตริย์บาบิโลนคลอกเสียด้วยไฟ"
23 เพราะเขาทั้งสองได้กระทำความโง่เขลาในอิสราเอล ได้ล่วงประเวณีกับภรรยาของเพื่อนบ้านและได้ พูดถ้อยคำเท็จในนามของเราซึ่งเรามิได้บัญชาเขา เราเป็นผู้ที่รู้ และเราเป็นพยาน'" พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
24 เจ้าจงบอกเชไมอาห์ชาวเนเฮลามว่า
25 "พระเจ้าจอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า เจ้าได้ส่งจดหมายในนามของเจ้าไปยัง ประชาชนทั้งปวงผู้อยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม และยังเศฟันยาห์บุตรมาอาเสอาห์ปุโรหิต และยังปุโรหิตทั้งปวงว่า
26 'พระเจ้าได้ทรงกระทำเจ้า ให้เป็นปุโรหิตแทนเยโฮยาดาปุโรหิต ให้ดูแลพระนิเวศของพระเจ้า ควบคุมคนบ้าทุกคนที่เผยพระวจนะ ให้จับเขาใส่คาและใส่ปลอกคอเสีย
27 บัดนี้ทำไมเจ้ามิได้ต่อว่าเยเรมีย์ชาว อานาโธทผู้ซึ่งเผยพระวจนะแก่เจ้า
28 เพราะเขาได้ส่งจดหมายมายังเราในบาบิโลนว่า "การที่เจ้าเป็นเชลยนั้นจะเนิ่นนาน จงสร้างเรือนของเจ้าและอาศัยอยู่ ในนั้นและปลูกสวนและรับประทานผลที่ได้นั้น"'"
29 เศฟันยาห์ปุโรหิตอ่านจดหมายนี้ให้เยเรมีย์ ผู้เผยพระวจนะฟัง
30 แล้วพระวจนะของพระเจ้ามายังเยเรมีย์ว่า
31 "จงเขียนไปถึงบรรดาผู้เป็นเชลยทั้งปวงว่า 'พระเจ้าตรัสเกี่ยวกับเชไมอาห์ชาวเนเฮลามว่า เพราะว่าเชไมอาห์ได้เผยพระวจนะแก่เจ้าเมื่อ เรามิได้ใช้เขา และได้กระทำให้เจ้าวางใจในคำเท็จ
32 เพราะฉะนั้นพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะลงโทษเชไมอาห์ชาวเนเฮลาม และเชื้อสายของเขา เขาจะไม่มีสักคนหนึ่งที่มีชีวิตอยู่ใน ท่ามกลางชนชาตินี้ที่จะได้เห็นความดี ซึ่งเราจะกระทำแก่ประชากรของเรา เพราะเขาได้พูดเป็นการกบฏต่อพระเจ้า'" พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ

เยเรมีย์ 30
1 พระวจนะของพระเจ้ามายังเยเรมีย์ว่า
2 "พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า จงเขียนถ้อยคำทั้งสิ้นที่เราได้บอกแก่เจ้าไว้ใน หนังสือเล่มหนึ่ง
3 พระเจ้าตรัสว่า เพราะดูเถิด วันเวลาจะมาถึง เมื่อเราจะให้ประชากรของเรา คืออิสราเอลและยูดาห์กลับคืนสู่สภาพเดิม พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ และเราจะนำเขามายังแผ่นดินซึ่งเราได้ ให้แก่บรรพบุรุษของเขาทั้งหลาย และเขาทั้งหลายจะได้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินนั้น"
4 ต่อไปนี้เป็นพระวจนะซึ่งพระเจ้าตรัส เกี่ยวกับอิสราเอลและยูดาห์ว่า
5 "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เราได้ยินเสียงร้องเพราะความกลัวตัวสั่น ความสยดสยองและความไร้ศานติภาพ
6 จงถามเถิดและดูว่า ผู้ชายจะคลอดบุตรได้หรือ ทำไมเราจึงเห็นผู้ชายทุกคน เอามือกดไว้ที่เอวเหมือนผู้หญิงจะคลอดบุตร ทำไมหน้าตาทุกคนจึงซีดไป
7 อนิจจาเอ๋ย วันนั้นใหญ่โตเหลือเกิน ไม่มีวันใดเหมือน เป็นเวลาทุกข์ใจของยาโคบ แต่เขาก็ยังจะรอดวันนั้นไปได้
8 "พระเจ้าจอมโยธาตรัสว่า ในวันนั้นเหตุการณ์จะเกิดขึ้น คือเราจะหักแอกจากคอของเขาทั้งหลายเสีย และเราจะระเบิดพันธนะของเขาเสีย และคนต่างชาติจะไม่ทำให้เขาเป็นคนรับใช้อีก
9 แต่เขาทั้งหลายจะปรนนิบัติพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของเขาทั้งหลาย และดาวิดพระราชาของเขาทั้งหลายผู้ซึ่ง เราจะให้เกิดมาเพื่อเขา
10 "พระเจ้าตรัสว่า ยาโคบผู้รับใช้ของเราเอ๋ย อย่ากลัวเลย อิสราเอลเอ๋ย อย่าครั่นคร้าม เพราะนี่แน่ะ เราจะช่วยเจ้าจากที่ไกลให้รอด ทั้งลูกหลานของเจ้าจากแผ่นดินที่เขาไปเป็นเชลย ยาโคบจะกลับมา และมีความสงบและความสบาย และจะไม่มีผู้ใดกระทำให้เขากลัว
11 พระเจ้าตรัสว่า เพราะเราอยู่กับเจ้าเพื่อช่วยเจ้าให้รอด เราจะกระทำให้บรรดาประชาชาติทั้งสิ้นถึงอวสาน คือผู้ซึ่งเราได้กระจายเจ้าให้ไปอยู่ท่ามกลางเขานั้น แต่ส่วนเจ้าเราจะไม่กระทำให้ถึงอวสาน เราจะตีสอนเจ้าตามขนาด และด้วยประการใดก็ตามเราจะไม่ปล่อยเจ้าโดย ไม่ลงโทษ
12 "เพราะพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ที่เจ็บของเจ้าก็ร้าย และบาดแผลของเจ้าก็ฉกรรจ์
13 ไม่มีผู้ใดที่จะช่วยคดีของเจ้า ไม่มียารักษาบาดแผลของเจ้า ไม่มีการรักษาให้เจ้า
14 คนรักทั้งสิ้นของเจ้าได้ลืมเจ้าเสีย เขาทั้งหลายไม่ต้องการเจ้าแล้ว เพราะเราตีเจ้าอย่างการโบยตีของศัตรู เป็นการลงโทษอย่างของคนโหดร้าย เพราะว่าความผิดของเจ้าก็ใหญ่ยิ่ง เพราะว่าบาปของเจ้าก็มาก
15 ไฉนเจ้าร้องเพราะความเจ็บของเจ้า ที่เจ็บของเจ้าก็ร้าย เพราะว่ากรรมชั่วของเจ้าใหญ่ยิ่ง เพราะว่าบาปของเจ้ามาก เราได้กระทำสิ่งเหล่านี้แก่เจ้า
16 เพราะฉะนั้นผู้ใดที่กินเจ้า เขาจะถูกกิน ปรปักษ์ของเจ้าหมดสิ้นทุกคนจะตกไปเป็นเชลย ผู้เหล่านั้นที่ปล้นเจ้า เขาจะเป็นของถูกปล้น และทุกคนที่กินเจ้าเป็นเหยื่อเราจะทำเขาให้เป็นเหยื่อ
17 เพราะเราจะเรียกเนื้อขึ้นมาให้แก่เจ้า และเราจะรักษาบาดแผลของเจ้าให้หาย พระเจ้าตรัส เพราะเขาทั้งหลายเรียกเจ้าว่าพวกนอกคอก 'คือศิโยนซึ่งไม่มีใครต้องการ'
18 "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะให้เต็นท์แห่งยาโคบกลับสู่สภาพเดิม และมีความเอ็นดูในเรื่องที่อาศัยของเขา เขาจะสร้างเมืองนั้นขึ้นใหม่บนเนินของเมือง และพระราชวังจะตั้งอยู่ในที่ที่เคยอยู่
19 จะมีเพลงโมทนาพระคุณออกมาจากที่เหล่านั้น และมีเสียงของผู้ที่รื่นเริง เราจะทวีเขาขึ้น และเขาจะไม่มีเพียงน้อยคน เราจะกระทำให้เขามีเกียรติ เขาจะไม่เป็นแต่ผู้เล็กน้อย
20 ลูกหลานของเขาจะเป็นเหมือนสมัยก่อน และชุมนุมของเขาจะได้ถูกสถาปนาไว้ต่อหน้าเรา และทุกคนที่บีบบังคับเขา เราจะลงโทษ
21 เจ้านายของเขาจะเป็นคนหนึ่งในพวกเขาทั้งหลาย ผู้ครอบครองของเขาจะออกมาจากท่ามกลางเขาเอง เราจะกระทำให้ท่านนั้นเข้ามาใกล้ และท่านนั้นจะเข้าใกล้เรา เพราะใครเล่ากล้าเข้ามาใกล้เราได้เองพระเจ้าตรัส
22 และเจ้าทั้งหลายจะเป็นประชากรของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของเจ้า"
23 จงดูพายุของพระเจ้า พระพิโรธได้ออกไปแล้ว เป็นพายุกวาด จะวนเวียนอยู่บนศีรษะของคนอธรรม
24 ความกริ้วอันแรงกล้าของพระเจ้าจะไม่หยุดยั้ง จนกว่าพระองค์จะทรงกระทำและให้สำเร็จ ตามพระทัยพระองค์ประสงค์ ในวาระสุดท้าย เจ้าทั้งหลายจะเข้าใจข้อความนี้

เยเรมีย์ 31

1 พระเจ้าตรัสว่า "ในวาระนั้น เราจะเป็นพระเจ้าของบรรดาตระกูลแห่ง อิสราเอลและเขาทั้งหลายจะเป็นประชากรของเรา"
2 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า "ชนชาติที่รอดตายจากดาบ ได้ประสบพระกรุณาคุณที่ในถิ่นทุรกันดาร เมื่ออิสราเอลแสวงหาการหยุดพัก
3 พระเจ้าทรงปรากฏแก่เขาจากที่ไกล ตรัสว่า 'เราได้รักเจ้าด้วยความรักนิรันดร์ เพราะฉะนั้นเราจึงมีความรักมั่นคงต่อเจ้าสืบไป
4 เราจะสร้างเจ้าอีก และเจ้าจะถูกสร้างใหม่ นะ อิสราเอลพรหมจารี เจ้าจะตกแต่งตัวเจ้าด้วยรำมะนาอีก และจะออกไปเต้นรำกับผู้ที่สนุกสนานกัน
5 เจ้าจะปลูกสวนองุ่นที่บนภูเขาสะมาเรียอีก ผู้ปลูกก็จะปลูก และใช้ผลนั้น'
6 เพราะว่าจะมีวันเมื่อคนเฝ้ายามจะร้องเรียก อยู่ในเขตแดนเทือกเขาเอฟราอิมว่า 'จงลุกขึ้น ให้เราไปยังศิโยนเถิด ไปเฝ้าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา'"
7 เพราะพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า "จงร้องเพลงด้วยความยินดีเพราะยาโคบ และเปล่งเสียงโห่ร้องเพราะประมุขของบรรดาประชาชาติ จงป่าวร้อง สรรเสริญ และกล่าวว่า 'พระเจ้าทรงช่วยประชากรของพระองค์ให้รอด คือคนที่เหลืออยู่ของอิสราเอล'
8 ดูเถิด เราจะนำเขามาจากแดนเหนือ และรวบรวมเขาจากส่วนที่ไกลที่สุดของพิภพ มีคนตาบอดคนขาเขยกอยู่ท่ามกลางเขา ผู้หญิงที่มีครรภ์และผู้หญิงที่คลอดบุตรจะมาด้วยกัน เขาจะกลับมาที่นี่เป็นหมู่ใหญ่
9 เขาจะมาด้วยการร้องไห้ และเราจะนำเขากลับด้วยการเล้าโลมใจ เราจะให้เขาเดินข้ามลำธารน้ำ ในทางตรงซึ่งเขาจะไม่สะดุด เพราะเราเป็นบิดาแก่อิสราเอล และเอฟราอิมเป็นบุตรหัวปีของเรา
10 "บรรดาประชาชาติเอ๋ย จงฟังพระวจนะของพระเจ้า และจงประกาศพระวจนะนั้น ในแผ่นดินชายทะเลที่ห่างออกไป จงกล่าวว่า 'ท่านที่กระจายอิสราเอลนั้นจะรวบรวมเขา และจะดูแลเขาอย่างกับผู้เลี้ยงแกะดูแลฝูงแกะของเขา'
11 เพราะพระเจ้าทรงไถ่ยาโคบไว้แล้ว และได้ไถ่มาจากมือที่แข็งแรงเกินกว่าเขา
12 เขาทั้งหลายจะมาร้องเพลงอยู่บนที่สูงแห่งศิโยน และเขาจะปลาบปลื้มเพราะของดีของพระเจ้า เพราะเมล็ดข้าว เหล้าองุ่น และน้ำมัน และเพราะลูกของแกะและโค ชีวิตของเขาทั้งหลายจะเหมือนกับสวนที่มีน้ำรด และเขาจะไม่อ่อนระทวยอีกต่อไป
13 แล้วพวกพรหมจารีจะเปรมปรีดิ์ในการเต้นรำ และคนหนุ่มกับคนแก่จะรื่นเริง เราจะกลับความโศกเศร้าของเขาให้เป็นความชื่นบาน เราจะปลอบโยนเขาและให้ความยินดีแก่เขาแทนการไว้ทุกข์
14 เราจะเลี้ยงจิตใจของปุโรหิตด้วยความอุดมสมบูรณ์ และประชากรของเราจะพอใจ ด้วยของดีของเราพระเจ้าตรัสดังนี้แหละ"
15 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า "ได้ยินเสียงในรามา เป็นเสียงโอดครวญและร่ำไห้ ราเชลร้องไห้คร่ำครวญ เพราะบุตรทั้งหลายของตน นางไม่รับคำเล้าโลมในเรื่องบุตรทั้งหลายของตน เพราะว่าบุตรทั้งหลายนั้นไม่มีแล้ว"
16 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า "ระงับเสียงร้องไห้คร่ำครวญไว้เสียเถิด และระงับน้ำตาจากตาของเจ้าเสีย เพราะว่าการงานของเจ้าจะได้รับรางวัลพระเจ้า ตรัสดังนี้แหละ และเขาทั้งหลายจะกลับมาจากแผ่นดินของศัตรู
17 พระเจ้าตรัสว่า เรื่องอนาคตของเจ้ายังมีหวัง และลูกหลานของเจ้าจะกลับมายังประเทศของเขาเอง
18 เราได้ยินเอฟราอิมคร่ำครวญว่า พระองค์ทรงตีสอนข้าพระองค์ และข้าพระองค์ก็ถูกตีสอน อย่างลูกโคที่ยังไม่เชื่อง ขอทรงนำข้าพระองค์กลับ เพื่อข้าพระองค์จะได้กลับสู่สภาพเดิม เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของข้าพระองค์
19 เพราะหลังจากที่ข้าพระองค์หันไปเสีย ข้าพระองค์ก็กลับใจ และหลังจากที่ข้าพระองค์รับคำสั่งสอนแล้ว ข้าพระองค์ก็ทุบตีต้นขาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์อับอาย และข้าพระองค์ก็ขายหน้า เพราะว่าข้าพระองค์ได้ทนความหยามน้ำหน้า ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อยังหนุ่มอยู่
20 พระเจ้าตรัสว่า เอฟราอิมเป็นบุตรชายที่รักของเราหรือ เขาเป็นลูกที่รักของเราหรือ เพราะเราจะพูดกล่าวโทษเขาตราบใด เราก็ยังระลึกถึงเขาอยู่ตราบนั้น เพราะฉะนั้นจิตใจของเราจึงอาลัยเขา เราจะมีความกรุณาต่อเขาแน่
21 "จงปักเสากรุยทางไว้สำหรับตน จงทำป้ายบอกทางไว้สำหรับตัว จงปักใจให้ดีถึงทางหลวง คือทางซึ่งเจ้าได้ไปนั้น อิสราเอลพรหมจารี จงกลับเถิด จงกลับมายังหัวเมืองเหล่านี้ของเจ้า
22 ลูกสาว ผู้กลับสัตย์เอ๋ย เจ้าจะเถลไถลอยู่อีกนานสักเท่าใด เพราะพระเจ้าได้สร้างสิ่งใหม่บนพิภพแล้ว คือ ผู้หญิงล้อมผู้ชาย"
23 พระเจ้าจอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า "เมื่อเราให้เขากลับสู่สภาพเดิม เขาจะใช้ถ้อยคำต่อไปนี้ในแผ่นดินของยูดาห์ และในหัวเมืองทั้งหลายอีกครั้งหนึ่ง คือ 'โอ ที่อยู่แห่งความชอบธรรมเอ๋ยภูเขาบริสุทธิ์เอ๋ย ขอพระเจ้าทรงอำนวยพระพรเจ้า'
24 ยูดาห์และหัวเมืองทั้งสิ้นนั้น ทั้งบรรดาชาวนา บรรดาผู้ที่ท่องเที่ยวไปมาพร้อมกับฝูงแกะของเขา จะอาศัยอยู่ด้วยกันที่นั่น
25 เพราะเราจะให้จิตใจที่อ่อนระอานั้นอิ่ม และจิตใจที่ อ่อนระทวยทุกดวงเราจะให้บริบูรณ์"
26 เมื่อนั้น ข้าพเจ้าตื่นขึ้นและมองดู และการหลับนอนของข้าพเจ้าก็เป็นที่ชื่นใจข้าพเจ้า
27 "พระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด วันเวลาจะมาถึง เมื่อเราจะหว่านพืชคนและพืชสัตว์ในประชา อิสราเอลและประชายูดาห์
28 และจะเป็นไปอย่างนี้ คือเมื่อเราเฝ้าดูเขา เพื่อจะถอนออกและพังลงคว่ำเสีย ทำลาย และนำเหตุร้ายมาฉันใด เราจะเฝ้าดูเหนือเขาเพื่อจะสร้างขึ้นและปลูกฝังฉันนั้น พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
29 ในสมัยนั้น เขาจะไม่กล่าวต่อไปอีกว่า 'บิดารับประทานองุ่นเปรี้ยวและบุตรก็เข็ดฟัน'
30 แต่ทุกคนจะต้องตายเพราะบาปของตนเอง มนุษย์ทุกคนที่รับประทานองุ่นเปรี้ยว ก็จะเข็ดฟัน
31 "พระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด วันเวลาจะมาถึง ซึ่งเราจะทำพันธสัญญา ใหม่กับประชาอิสราเอลและประชายูดาห์
32 ไม่เหมือนกับพันธสัญญาซึ่งเราได้กระทำกับ บรรพบุรุษของเขาทั้งหลาย เมื่อเราจูงมือเขาเพื่อนำเขาออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ เป็นพันธสัญญาของเราซึ่งเขาผิด ถึงแม้ว่าเราได้เป็นสามีของเขา พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
33 แต่นี่จะเป็นพันธสัญญาซึ่งเราจะกระทำกับ ประชาอิสราเอลภายหลังสมัยนั้น พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ เราจะบรรจุพระธรรมไว้ในเขาทั้งหลาย และเราจะจารึกมันไว้บนดวงใจของเขาทั้งหลาย และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นประชากรของเรา
34 และทุกคนจะไม่สอนเพื่อนบ้านของตน และพี่น้องของตนแต่ละคนอีกว่า 'จงรู้จักพระเจ้า' เพราะเขาทั้งหลายจะรู้จักเราหมดตั้งแต่คน เล็กน้อยที่สุดถึงคนใหญ่โตที่สุด พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ เพราะเราจะให้อภัยบาปชั่วของเขา และจะไม่จดจำบาปของเขา ทั้งหลายอีกต่อไป"
35 พระเจ้าผู้ทรงให้ดวงอาทิตย์เป็นสว่างกลางวัน และทรงให้ระเบียบตายตัวของดวงจันทร์ และทรงให้บรรดาดวงดาวเป็นสว่างกลางคืน ผู้ทรงกวนทะเลให้คลื่นกำเริบ พระนามของพระองค์ คือพระเจ้าจอมโยธา ตรัสดังนี้ว่า
36 ถ้าระเบียบตายตัวนี้ต้องพรากไปจากต่อหน้าเรา แล้วเชื้อสายของอิสราเอลก็จะต้องหยุดยั้ง จากการเป็นประชาชาติหนึ่งต่อหน้าเราเป็นนิตย์" พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
37 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า "ถ้าฟ้าสวรรค์เบื้องบนเป็นที่วัดได้ และรากฐานของพิภพเบื้องล่างเป็นที่ให้สำรวจได้ แล้วเราก็จะเหวี่ยงเชื้อสายอิสราเอลทิ้งไปเสีย ด้วยเหตุบรรดาการซึ่งเขาได้กระทำนั้น" พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
38 พระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด วันเวลาจะมาถึง ที่เมืองนี้จะต้องสร้างขึ้นใหม่เพื่อพระเจ้าตั้งแต่หอคอย ฮานันเอลไปถึงประตูมุม
39 และเชือกวัดจะไปไกลกว่านั้นตรงไปถึงเนินเขากาเรบ แล้วจะเลี้ยวไปถึงตำบลโกอาห์
40 หุบเขาแห่งซากศพและขี้เถ้าทั้งสิ้นนั้น และทุ่งนาทั้งหมดไกลไปจนถึงลำธารขิดโรน จนถึงมุมประตูม้าไปทางตะวันออก จะเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์แด่พระเจ้า จะไม่เป็นที่ถอนรากหรือคว่ำต่อไปอีกเป็นนิตย์"

เยเรมีย์ 32
1 พระวจนะซึ่งมาจากพระเจ้าถึงเยเรมีย์ในปีที่สิบ แห่งเศเดคียาห์กษัตริย์ของยูดาห์ ซึ่งเป็นปีที่สิบแปดของเนบูคัดเนสซาร์
2 ครั้งนั้น กองทัพของกษัตริย์แห่งบาบิโลนกำลัง ล้อมกรุงเยรูซาเล็มอยู่ และเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะถูกขังอยู่ ในบริเวณทหารรักษาพระองค์ ซึ่งอยู่ในพระราชวังของกษัตริย์แห่งยูดาห์
3 เพราะเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ได้จำขังท่านไว้ ตรัสว่า "ทำไมท่านจึงเผยพระวจนะและกล่าวว่า 'พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะให้เมืองนี้ไว้ในมือของกษัตริย์แห่งบาบิโลน และเขาจะยึดเมืองนี้
4 เศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์จะหนีไปไม่พ้นจากมือ ของคนเคลเดีย แต่จะถูกมอบไว้ในมือของกษัตริย์แห่งบาบิโลนเป็นแน่ และจะได้พูดกันปากต่อปาก และแลเห็นตาต่อตา
5 และเขาจะนำเศเดคียาห์ไปยังบาบิโลน และท่านจะอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะไปเยี่ยมท่าน พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ ถ้าเจ้าจะต่อสู้กับชาวเคลเดีย เจ้าจะทำไม่สำเร็จ'"
6 เยเรมีย์ทูลว่า "พระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพระบาทว่า
7 ดูเถิด ฮานัมเอลบุตรชัลลูม อาของเจ้าจะมาหาเจ้าและกล่าวว่า 'จงซื้อนาของข้าพเจ้าซึ่งอยู่ที่อานาโธท เพราะว่าสิทธิของการไถ่ด้วยการซื้อนั้นเป็นของท่าน'
8 แล้วฮานัมเอลลูกพี่ลูกน้องของข้าพเจ้ามาหาข้าพเจ้าที่ บริเวณของทหารรักษาพระองค์ถูกต้องตามพระวจนะของพระเจ้า และพูดกับข้าพเจ้าว่า 'จงซื้อนาของข้าพเจ้าซึ่งอยู่ที่อานาโธทในแผ่นดิน เบนยามิน เพราะสิทธิของการถือกรรมสิทธิ์และการไถ่เป็นของท่าน จงซื้อไว้เถิด' แล้วข้าพระบาทจึงทราบว่านี่เป็นพระวจนะของพระเจ้า
9 "และข้าพระบาทก็ซื้อนาที่อานาโธท จากฮานัมเอลลูกพี่ลูกน้องของข้าพระบาท และได้ชั่งเงินให้แก่เขาสิบเจ็ดเชเขล
10 ข้าพระบาทก็ลงนามในโฉนดประทับตราไว้ ได้พยานและเอาตาชั่งชั่งเงิน
11 แล้วข้าพระบาทก็รับโฉนดของการซื้อที่ประทับตราแล้ว ซึ่งมีข้อตกลงและเงื่อนไขและฉบับที่เปิดอยู่
12 และข้าพระบาทก็มอบโฉนด ของการซื้อให้แก่บารุคบุตรเนริยาห์ ผู้เป็นบุตรของมาอาเสอาห์ ต่อหน้าฮานัมเอลลูกพี่ลูกน้องของข้าพระบาท ต่อหน้าพยานผู้ที่ลงนามในโฉนดการซื้อ และต่อหน้าพวกยิว ผู้ซึ่งนั่งอยู่ในบริเวณทหารรักษาพระองค์
13 ข้าพระบาทก็กำชับบารุคต่อหน้าเขาทั้งหลายว่า
14 'พระเจ้าจอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า จงเอาโฉนดเหล่านี้ไปเสีย ทั้งโฉนดของการซื้อที่ประทับตรากับฉบับที่เปิดนี้ และบรรจุไว้ในภาชนะดินเพื่อจะทนอยู่ได้นาน
15 เพราะพระเจ้าจอมโยธาพระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า บ้านเรือนและไร่นาและสวนองุ่นจะมีการซื้อขาย กันอีกในแผ่นดินนี้'
16 "หลังจากที่ข้าพระบาทมอบโฉนดการ ซื้อให้แก่บารุคบุตรเนริยาห์แล้ว ข้าพระบาทได้อธิษฐานต่อพระเจ้าว่า
17 'ข้าแต่พระเจ้า คือพระองค์เอง ผู้ได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ด้วยฤทธานุภาพใหญ่ยิ่งของพระองค์และ ด้วยพระหัตถ์ซึ่งเหยียดออกของพระองค์ สำหรับพระองค์ไม่มีสิ่งใดที่ยากเกิน
18 ผู้ทรงสำแดงความรักมั่นคงต่อคนเป็นพันๆ แต่ทรงตอบสนองความผิดบาปของบิดา ให้ตกถึงลูกหลานสืบต่อมา ข้าแต่พระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งและทรงฤทธิ์ พระนามของพระองค์คือพระเยโฮวาห์จอมโยธา
19 พระองค์ทรงเป็นใหญ่ในการให้คำปรึกษา ทรงฤทธานุภาพในพระราชกิจ พระเนตรของพระองค์เห็นทุกวิถีทางของมนุษย์ ประทานรางวัลแก่ทุกคนตามพฤติการณ์ ของเขาและตามผลแห่งการกระทำของเขา
20 ทรงเป็นผู้สำแดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ในแผ่นดินอียิปต์ และจนถึงสมัยนี้ก็ทรงสำแดงในอิสราเอล และท่ามกลางมนุษยชน และทรงทำให้พระนามเลื่องลือไปอย่างทุกวันนี้
21 พระองค์ได้ทรงนำอิสราเอล ประชากรของพระองค์ออกจากแผ่นดินอียิปต์ ด้วยหมายสำคัญและการอัศจรรย์ และด้วยพระหัตถ์เข้มแข็งและพระกรที่เหยียด ออกและด้วยความสยดสยองยิ่งนัก
22 และพระองค์ประทานแผ่นดินนี้แก่เขาทั้งหลาย ซึ่งพระองค์ทรงปฏิญาณแก่บรรพบุรุษของเขา ทั้งหลายว่าจะประทานแก่เขา คือแผ่นดินซึ่งมีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์
23 และเขาทั้งหลายก็ได้เข้าไปและถือกรรมสิทธิ์แผ่นดินนั้น แต่เขาทั้งหลายมิได้เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์ หรือดำเนินตามพระธรรมของพระองค์ สิ่งซึ่งพระองค์ทรงบัญชาเขาให้กระทำนั้น เขาทั้งหลายมิได้กระทำเสียเลย เพราะฉะนั้นพระองค์ทรงกระทำให้เหตุร้ายทั้งสิ้นนี้ มาถึงเขาทั้งหลาย
24 ดูเถิด เชิงเทินที่ล้อมอยู่ได้มาถึงกรุงเพื่อจะยึดเอาแล้ว และเพราะเหตุด้วยดาบ การกันดารอาหาร และโรคระบาด เมืองนี้ก็ได้ถูกมอบไว้ในมือของคน เคลเดียผู้กำลังต่อสู้อยู่นั้นแล้ว พระองค์ตรัสสิ่งใดก็เป็นไปอย่างนั้นแล้ว และดูเถิด พระองค์ทอดพระเนตรเห็น
25 ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ยังตรัสแก่ข้าพระองค์ว่า "จงเอาเงินซื้อนาและหาพยานเสีย" แม้ว่าเมืองนั้นจะถูกมอบไว้ในมือของคนเคลเดีย'"
26 พระวจนะของพระเจ้ามายังเยเรมีย์ว่า
27 "ดูเถิด เราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของบรรดามนุษย์และสัตว์ทั้งสิ้น สำหรับเรามีสิ่งใดที่ยากเกินหรือ
28 เพราะฉะนั้นพระเจ้าตรัสดังนี้ว่าดูเถิด เราจะมอบเมืองนี้ไว้ในมือของชาวเคลเดีย และในมือของเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนและเขาจะยึดเอาแน่
29 ชาวเคลเดียผู้ต่อสู้กับเมืองนี้ จะมาเผาเมืองนี้เสียด้วยไฟให้ไหม้หมด ทั้งบรรดาบ้านที่เขาเผาเครื่องถวายพระบาอัลที่บนหลังคา และเทเครื่องดื่มบูชาถวายแก่พระอื่น เพื่อยั่วเย้าเราให้กริ้ว
30 เพราะพงศ์พันธุ์ของอิสราเอลและพงศ์พันธุ์ของ ยูดาห์ไม่ได้กระทำอะไรเลย นอกจากความชั่วในสายตาของเราตั้งแต่หนุ่มๆมา พระเจ้าตรัสว่า พงศ์พันธุ์อิสราเอลไม่ได้กระทำอะไรเลยนอกจากยั่วเย้า เราให้กริ้วด้วยผลงานแห่งมือของเขา
31 เมืองนี้ได้เร้าความกริ้วและความพิโรธของเรา ตั้งแต่วันที่ได้สร้างมันขึ้นจนถึงวันนี้ เพราะฉะนั้นเราจะถอนออกไปเสียจากสายตาของเรา
32 เพราะว่าความชั่วทั้งสิ้นของพงศ์พันธุ์อิสราเอล และพงศ์พันธุ์ยูดาห์ซึ่งเขาได้กระทำอันยั่วเย้าให้โกรธ คือทั้งตัวเขา บรรดากษัตริย์และเจ้านายของเขา บรรดาปุโรหิตและผู้เผยพระวจนะของเขา คนยูดาห์และชาวกรุงเยรูซาเล็ม
33 เขาทั้งหลายได้หันหลังให้เรา มิใช่หันหน้า แม้ว่าเราได้สอนเขาอยู่อย่างไม่หยุดยั้ง เขาก็มิได้ฟังที่จะรับคำสั่งสอนของเรา
34 แต่เขาทั้งหลายได้ตั้งสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนของเขาไว้ในนิเวศ ซึ่งเรียกตามชื่อของเรากระทำให้มี มลทิน
35 เขาทั้งหลายได้สร้างปูชนียสถานสูง สำหรับพระบาอัลในหุบเขาแห่งบุตรชาย ฮินโนม เพื่อถวายบุตรชายและบุตรหญิงของเขา แก่พระโมเลค โดยให้ลุยไฟ แม้ว่าเรามิได้บัญชาเขา หรือมีอยู่ในจิตใจของเราว่า เขาควรจะกระทำสิ่งน่าเกลียดน่าชังเพื่อให้ยูดาห์ผิดบาป
36 "เพราะฉะนั้นพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสเกี่ยวกับเมืองนี้แก่เจ้าทั้งหลายว่า 'เมืองนี้ได้ถูกยกให้ไว้ในมือของกษัตริย์แห่งบาบิโลน ด้วยดาบ ด้วยการกันดารอาหาร และด้วยโรคระบาด'
37 ดูเถิด เราจะรวบรวมเขามาจากประเทศทั้งปวง ซึ่งเราได้ขับไล่เขาให้ไปอยู่ ด้วยความกริ้ว ด้วยความพิโรธ และความขึ้งโกรธของเรานั้น เราจะนำเขาทั้งหลายกลับมายังที่นี้ และจะกระทำให้เขาอาศัยอยู่อย่างปลอดภัย
38 เขาทั้งหลายจะเป็นประชากรของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา
39 เราจะให้ใจเดียวและทางเดียวแก่เขา เพื่อเขาจะยำเกรงเราอยู่เป็นนิตย์ เพื่อเป็นประโยชน์แก่เขาและแก่ลูกหลานของเขาที่ตามเขามา
40 เราจะกระทำพันธสัญญานิรันดร์กับเขาทั้งหลาย อันว่าเราจะไม่หันจากการกระทำความดีแก่เขาทั้งหลาย และเราจะบรรจุความยำเกรงเราไว้ในใจของเขาทั้งหลาย เพื่อว่าเขาจะมิได้หันไปจากเรา
41 เออ เราจะเปรมปรีดิ์ในการที่จะกระทำความดีแก่เขา และเราจะปลูกเขาไว้ในแผ่นดินนี้ด้วยความหมั่นมั่น ด้วยสุดใจของเราและสุดจิตของเรา
42 "เพราะพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เราได้นำเอาความร้ายยิ่งใหญ่มาเหนือชนชาตินี้ฉันใด เราก็จะนำความดีทั้งสิ้นซึ่งเราได้สัญญาไว้นั้นมา เหนือเขาฉันนั้น
43 เขาจะซื้อขายนากันในแผ่นดิน ซึ่งเจ้ากล่าวถึงว่าเป็นที่ร้างเปล่าไม่มีมนุษย์หรือสัตว์ ถูกมอบไว้ในมือของคนเคลเดีย
44 ที่นานั้นจะซื้อกันด้วยเงิน ใบโฉนดก็จะต้องลงนามและประทับตรา และลงนามพยาน ที่ในแผ่นดินของเบนยามิน ในที่ต่างๆ แถบกรุงเยรูซาเล็ม และในหัวเมืองยูดาห์ ในหัวเมืองแถบแดนเมืองเทือกเขา ในหัวเมืองแถบเนินเชเฟลาห์และในหัวเมืองแถบเนเกบ เพราะเราจะให้เขาทั้งหลายกลับสู่สภาพเดิม" พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ

เยเรมีย์ 33
1 พระวจนะของพระเจ้ามายังเยเรมีย์ครั้งที่สอง เมื่อท่านยังถูกกักตัวอยู่ในบริเวณของทหารรักษา พระองค์นั้นว่า
2 "พระเจ้าผู้ทรงสร้างแผ่นดินโลก พระเจ้าผู้ทรงปั้นแผ่นดินโลกเพื่อสถาปนาไว้ พระเยโฮวาห์คือพระนามของพระองค์ ตรัสดังนี้ว่า
3 จงทูลเรา และเราจะตอบเจ้า และจะบอกสิ่งที่ใหญ่ยิ่งและที่ซ่อนอยู่ ซึ่งเจ้าไม่รู้นั้นให้แก่เจ้า
4 เพราะว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ได้ตรัสดังนี้เกี่ยวด้วยเรื่องบ้านในกรุงนี้ และพระราชวังของบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์ ซึ่งถูกรื้อลง เพื่อทำการต่อต้านเชิงเทินและดาบ
5 เขาทั้งหลายจะมารบกับชาวเคลเดียและทำให้คน เป็นศพไปเต็มบ้านเต็มเรือน เป็นคนที่เราสังหารด้วยความกริ้วและความพิโรธของเรา เพราะได้ซ่อนหน้าของเราจากกรุงนี้ เนื่องด้วยความอธรรมของเขาทั้งหลาย
6 ดูเถิด เราจะนำอนามัย และการรักษามาให้ และเราจะรักษาเขาทั้งหลาย ให้หายและเผยสวัสดิภาพและความมั่นคงอย่างอุดม
7 เราจะให้ยูดาห์และอิสราเอลกลับสู่สภาพเดิม และสร้างเขาทั้งหลายเสียใหม่อย่างที่เขาเป็นมาแต่เดิมนั้น
8 เราจะชำระเขาจากโทษบาปของเขาซึ่งมีต่อเรา และจะให้อภัยโทษบาปและการกบฏต่อเรา
9 และกรุงนี้จะให้เรามีชื่ออันให้ความชื่นบานเป็นที่สรรเสริญ และเป็นศักดิ์ศรีต่อหน้าบรรดาประชาชาติทั้งสิ้นแห่ง แผ่นดินโลก ซึ่งจะได้ยินถึงความดี ทั้งสิ้นซึ่งเราได้กระทำเพื่อเขาทั้งหลาย เขาจะกลัวและสะทกสะท้าน เพราะความดีและสวัสดิภาพทั้งสิ้นซึ่งเราได้จัดหาให้เมืองนั้น
10 "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ในสถานที่นี้ซึ่งเจ้ากล่าวว่า 'เป็นที่ทิ้งร้าง ไม่มีมนุษย์หรือสัตว์' ในหัวเมืองแห่งยูดาห์และตามถนนกรุงเยรูซาเล็มซึ่งร้างเปล่า ไม่มีมนุษย์หรือชาวเมืองหรือสัตว์
11 ที่นั่นจะได้ยินเสียงบันเทิงและเสียง รื่นเริงและเสียงเจ้าบ่าวและเสียงเจ้าสาว และเสียงบรรดาคนเหล่านั้นที่ร้องเพลง ขณะที่เขานำเครื่องบูชาโมทนาพระคุณ มายังพระนิเวศของพระเจ้า ว่า 'จงถวายโมทนาแด่พระเจ้าจอมโยธา เพราะพระเจ้าประเสริฐ เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่เป็น นิตย์ เพราะเราจะให้แผ่นดินนั้นกลับสู่สภาพเดิม พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
12 "พระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้ว่า ในสถานที่นี้ซึ่งเป็นที่ทิ้งร้าง ไม่มีมนุษย์หรือสัตว์ และที่ในหัวเมืองทั้งสิ้นของที่นี้ จะเป็นที่อาศัยของผู้เลี้ยงแกะได้พักแกะของเขาทั้งหลายอีก
13 พระเจ้าตรัสว่า ในหัวเมืองแถบแดนเทือกเขา ในหัวเมืองแถบเนินเชเฟลาห์ ในหัวเมืองแถบเนเกบ ในแผ่นดินแห่งเบนยามิน ตามสถานที่รอบกรุงเยรูซาเล็ม ในหัวเมืองยูดาห์จะมีฝูงแกะผ่านใต้มือของผู้ที่นับอีก
14 "พระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด วันนั้นจะมาถึง คือเมื่อเราจะให้คำสัญญาที่เรา กระทำไว้ต่อพงศ์พันธุ์อิสราเอลและพงศ์พันธุ์ยูดาห์สำเร็จ
15 ในวันเหล่านั้นและในเวลานั้น เราจะให้อังกูรชอบธรรมเกิดมาเพื่อดาวิด และท่านจะให้ความยุติธรรมและความชอบธรรมในแผ่นดินนั้น
16 ในกาลครั้งนั้น ยูดาห์จะได้รับการช่วยให้รอด และเยรูซาเล็มจะอาศัยอยู่อย่างมั่นคง และนี่เป็นชื่อซึ่งเขาจะเรียกเมืองนั้นคือ 'พระเจ้าทรงเป็นความชอบธรรมของเรา'
17 "เพราะพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดาวิดจะไม่ขัดสนบุรุษที่จะประทับบน พระที่นั่งแห่งพงศ์พันธุ์อิสราเอล
18 และปุโรหิตเผ่าเลวีจะไม่ขัดสนบุรุษที่อยู่ต่อหน้าเรา เพื่อถวายเครื่องเผาบูชา และเผาเครื่องธัญญบูชา และกระทำการสักการบูชาเป็นนิตย์"
19 พระวจนะของพระเจ้ามายังเยเรมีย์ว่า
20 "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ถ้าเจ้าหักพันธสัญญาของเราด้วยวันและ หักพันธสัญญาของเราด้วยคืนได้ จนวันและคืนมาถึงตามเวลากำหนดไม่ได้
21 แล้วจึงจะหักพันธสัญญาของเราซึ่งมีต่อดาวิด ผู้รับใช้ของเราได้ จนท่านไม่มีโอรสที่จะเสวยราชย์บนพระที่นั่งของท่าน และหักพันธสัญญาของเราซึ่งมีต่อ ปุโรหิตเผ่าเลวีผู้ปรนนิบัติของเราเสียได้
22 บริวารของฟ้าสวรรค์จะนับไม่ได้ และเม็ดทรายที่ทะเลก็ตวงไม่ได้ฉันใด เราก็จะให้เชื้อสายของดาวิดผู้รับใช้ ของเราและปุโรหิตเผ่าเลวีผู้ปรนนิบัติของ เราทวีมากขึ้นฉันนั้น"
23 พระวจนะของพระเจ้ามาถึงเยเรมีย์ว่า
24 "เจ้าไม่ได้สังเกตเห็นดอกหรือว่า ประชาชนเหล่านี้พูดกันอย่างไร คือพูดกันว่า 'พระเจ้าทรงทอดทิ้งสองตระกูลที่พระองค์ทรง เลือกไว้เสียแล้ว' ดังนี้แหละ เขาทั้งหลายได้ดูหมิ่นประชากรของเรา ฉะนี้เขาจึงไม่เป็นประชาชาติในสายตาของเขา ทั้งหลายอีกต่อไป
25 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ถ้าเรามิได้สถาปนาพันธสัญญา ของเรากับวันและคืน และสถาปนากฎต่างๆของฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกแล้ว
26 เราจึงจะทอดทิ้งเชื้อสายของยาโคบ และดาวิดผู้รับใช้ของเรา และจะไม่เลือกผู้หนึ่งจากเชื้อสาย ของเขาให้ครอบครองเหนือพงศ์พันธุ์ ของอับราฮัม อิสอัคและยาโคบ เพราะเราจะให้เขากลับสู่สภาพเดิม และจะมีความกรุณาเหนือเขา"

เยเรมีย์ 34
1 พระวจนะซึ่งมาจากพระเจ้าถึงเยเรมีย์ เมื่อเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งเมืองบาบิโลน และกองทัพทั้งหมดของพระองค์ และบรรดาราชอาณาจักรในแผ่นดินโลกซึ่งอยู่ใต้การครอบครองของพระองค์ และชนชาติทั้งหลายที่ต่อสู้กับ กรุงเยรูซาเล็มและหัวเมืองทั้งปวงของกรุงนั้นว่า
2 "พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า จงไปพูดกับเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ และกล่าวแก่ท่านว่า 'พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะมอบกรุงนี้ไว้ในมือกษัตริย์บาบิโลน และเขาจะเผาเสียด้วยไฟ
3 ท่านจะไม่รอดไปจากมือของเขา แต่จะถูกจับแน่และถูกมอบไว้ในมือของเขา ท่านจะได้เห็นกษัตริย์แห่งบาบิโลนตาต่อตา และจะได้พูดกันปากต่อปาก และท่านจะต้องไปยังบาบิโลน'
4 ข้าแต่เศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ อย่างไรก็ดีขอทรงสดับพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าตรัสเกี่ยวกับฝ่าพระบาทดังนี้ว่า ท่านจะไม่ตายด้วยดาบ
5 ท่านจะตายด้วยความสงบ และเขาเผาเครื่องหอมเพื่อศพบรรพบุรุษ ของท่านคือบรรดากษัตริย์ซึ่งอยู่ก่อนท่านฉันใด คนเขาก็จะเผาเครื่องหอมเพื่อท่านฉันนั้น และเขาจะคร่ำครวญเพื่อท่านว่า 'อนิจจาเอ๋ย พระองค์เจ้าข้า' เพราะเราได้ลั่นวาจาไว้แล้ว" พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
6 แล้วเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะได้ทูลพระวจนะ เหล่านี้ต่อเศเดคียาห์ กษัตริย์แห่งยูดาห์ในกรุงเยรูซาเล็ม
7 ขณะเมื่อกองทัพของกษัตริย์แห่งบาบิโลนกำลังสู้รบกรุง เยรูซาเล็มและหัวเมืองแห่งยูดาห์ทั้งสิ้นที่ยังเหลืออยู่ คือ เมืองลาคีชและเมืองอาเซคาห์ เพราะยังเหลืออยู่สองเมืองนี้เท่านั้นที่เป็น หัวเมืองยูดาห์ที่มีกำแพงป้อม
8 พระวจนะซึ่งมาจากพระเจ้ายังเยเรมีย์ หลังจากที่กษัตริย์เศเดคียาห์ได้ทรงกระทำพันธสัญญา กับประชาชนในกรุงเยรูซาเล็ม ว่าจะประกาศราชกฤษฎีกาเรื่องอิสรภาพแก่เขาทั้งหลาย ดังนี้
9 ให้ทุกคนปล่อยทาสฮีบรูของตนทั้งชายและหญิงเสียให้เป็นอิสระ เพื่อว่าจะไม่มีผู้ใดกระทำให้ยิวพี่น้องของตนเป็นทาส
10 และเขาทั้งหลายก็เชื่อฟัง คือทั้งบรรดาเจ้านายและบรรดาประชาชน ผู้เข้ากระทำพันธสัญญาว่า ทุกคนจะปล่อยทาสของตนทั้งชายและหญิง เพื่อว่าเขาทั้งหลายจะไม่ถูกกระทำให้เป็นทาสอีก เขาทั้งหลายก็ได้เชื่อฟังและปล่อยทาสให้เป็นอิสระ
11 แต่ภายหลังเขาได้หวนกลับและจับทาสชายและหญิง ซึ่งเขาได้ปล่อยให้เป็นอิสระนั้นมาให้อยู่ใต้บังคับ ของการเป็นทาสอีก
12 พระวจนะแห่งพระเจ้ามายังเยเรมีย์จากพระเจ้าว่า
13 "พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า เราได้กระทำพันธสัญญากับบรรพบุรุษของเจ้า เมื่อเรานำเขาออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ ออกจากเรือนทาสว่า
14 เมื่อสิ้นเจ็ดปีแล้วเจ้าทุกคนจะต้องปล่อยพี่น้อง ฮีบรูผู้ที่เขาเอามาขายไว้กับเจ้า และได้รับใช้เจ้ามาหกปี เจ้าต้องปล่อยเขาให้เป็นอิสระพ้นจากการ รับใช้เจ้าแต่บรรพบุรุษ ของเจ้าไม่ฟังเราและไม่เงี่ยหูฟังเรา
15 เมื่อเร็วๆนี้เจ้าได้กลับใจและกระทำสิ่งซึ่งถูกต้อง ในสายตาของเราโดยการประกาศอิสรภาพ ทุกคนต่อเพื่อนบ้านของตน และเจ้าได้กระทำพันธสัญญาต่อหน้าเราในนิเวศ ซึ่งเรียกตามชื่อของเรา
16 แต่แล้วเจ้าก็หวนกลับกระทำให้นามของเราเป็นมลทิน ในเมื่อเจ้าทุกคนจับทาสชายหญิงของเจ้า ซึ่งเจ้าได้ปล่อยให้เป็นอิสระไปตามความปรารถนาของ เขาทั้งหลายแล้วนั้นกลับมาให้อยู่ใต้บังคับของการเป็นทาสอีก
17 เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงตรัสดังนี้ว่าเจ้าทั้งหลาย มิได้เชื่อฟังเรา ด้วยการป่าวร้องเรื่องอิสรภาพต่อพี่น้องและเพื่อนบ้านของตน พระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด เราป่าวร้องว่า เจ้าทั้งหลายเป็นอิสระต่อดาบ ต่อโรคระบาด และต่อการกันดารอาหาร เราจะกระทำเจ้าให้เป็นที่หวาดเสียวแก่บรรดา ราชอาณาจักรของแผ่นดินโลก
18 และคนที่กระทำผิดต่อพันธสัญญาของเรา และมิได้กระทำตามข้อตกลงในพันธสัญญา ซึ่งเขาได้กระทำต่อหน้าเรานั้น และเราจะกระทำให้เขาเหล่านั้น เป็นดังลูกวัวที่เขาตัดออกเป็นสองท่อน และเดินผ่านกลางท่อนเหล่านั้นไป
19 เจ้านายแห่งยูดาห์ก็ดี เจ้านายแห่งกรุงเยรูซาเล็มก็ดี ขันทีก็ดี ปุโรหิตและบรรดาประชาชนแห่งแผ่นดินนั้นก็ดี ผู้ผ่านระหว่างท่อนลูกวัวนั้น
20 เราจะมอบเขาไว้ในมือศัตรูของเขา และในมือของบรรดาผู้ที่แสวงหาชีวิตของเขา ศพของเขาจะเป็นอาหารของนกในอากาศ และของสัตว์ในแผ่นดินโลก
21 ส่วนเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ และเจ้านายทั้งหลายของเขานั้น เราจะมอบไว้ในมือศัตรูของเขา และในมือของบรรดาผู้ที่แสวงหาชีวิตของเขา ในมือของกองทัพแห่งกษัตริย์บาบิโลน ซึ่งได้ถอยไปจากเจ้าแล้วนั้น
22 พระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด เราจะบัญชาและจะนำเขากลับมายังกรุงนี้ และเขาจะสู้รบกับเมืองนั้นยึดเอาจนได้ และเผาเสียด้วยไฟ เราจะกระทำให้หัวเมืองยูดาห์เป็นที่ร้างเปล่า ไม่มีคนอาศัย"

เยเรมีย์ 35
1 พระวจนะซึ่งมาจากพระเจ้าถึงเยเรมีย์ ในรัชกาลเยโฮยาคิม ราชบุตรของโยสิยาห์ กษัตริย์แห่งยูดาห์ว่า
2 จงไปหาคนตระกูลเรคาบและพูดกับเขา และนำเขามาที่พระนิเวศของพระเจ้า เข้ามาในห้องเฉลียงห้องหนึ่ง แล้วเชิญให้เขาดื่มเหล้าองุ่น"
3 ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงนำยาอาซันยาห์บุตรเยเรมีย์ ผู้เป็นบุตรฮาบาซินยาห์และพี่น้องของเขา และบุตรชายของเขาทั้งหมด และคนตระกูลเรคาบ
4 ข้าพเจ้านำเขามายังพระนิเวศของพระเจ้า มาในห้องเฉลียงของบุตรชายของฮานัน ผู้เป็นบุตรอิกดาลิยาห์ ผู้เป็นคนของพระเจ้า ซึ่งอยู่ใกล้กับห้องเฉลียงของเจ้านาย เหนือห้องเฉลียงของมาอาเสอาห์บุตรชัลลูม ผู้ดูแลธรณีประตู
5 แล้วข้าพเจ้าก็วางเหยือกเหล้า องุ่นกับถ้วยหลายลูกไว้หน้าคนตระกูลเรคาบ และข้าพเจ้าพูดกับเขาทั้งหลายว่า "เชิญดื่มเหล้าองุ่น"
6 แต่เขาทั้งหลายตอบว่า "เราไม่ดื่มเหล้าองุ่น เพราะโยนาดับบุตรเรคาบผู้เป็นบิดาของเราบัญชาเราว่า 'เจ้าทั้งหลายอย่าดื่มเหล้าองุ่น ทั้งตัวเจ้าและลูกหลานของเจ้าเป็นนิตย์
7 เจ้าอย่าสร้างเรือน เจ้าอย่าหว่านพืช เจ้าอย่าปลูกหรือมีสวนองุ่น และเจ้าจงอยู่ในเต็นท์ตลอดชีวิตของเจ้า เพื่อเจ้าจะมีชีวิตยืนนานในแผ่นดินซึ่งเจ้าอาศัยอยู่'
8 เราทั้งหลายได้เชื่อฟังเสียงของ โยนาดับบุตรเรคาบผู้เป็นบิดาของ เราในสิ่งทั้งปวงซึ่งท่านได้บัญชาเรา คือไม่ดื่มเหล้าองุ่นตลอดชีวิตของเรา ทั้งตัวเรา ภรรยา บุตรชาย บุตรหญิงของเรา
9 และไม่สร้างเรือนเพื่อจะอาศัยอยู่ เราไม่มีสวนองุ่นหรือนาหรือพืช
10 แต่เราเคยอยู่ในเต็นท์ และได้เชื่อฟังและกระทำ ทุกสิ่งซึ่งโยนาดับบิดาของเราได้บัญชาเราไว้
11 แต่เมื่อเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้ยกมา ต่อสู้กับแผ่นดินนี้ เราพูดว่า 'มาเถิด ให้เราไปยังกรุงเยรูซาเล็มเพราะกลัวกองทัพคนเคลเดีย และกองทัพคนซีเรีย' ดังนั้นเราจึงอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม"
12 แล้วพระวจนะแห่งพระเจ้าจึงมาถึงเยเรมีย์ว่า
13 "พระเจ้าจอมโยธาพระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า จงไปบอกบรรดาผู้ชายของยูดาห์ และบอกชาวกรุงเยรูซาเล็มว่า พระเจ้าตรัสว่า เจ้าจะไม่รับคำแนะนำและเชื่อฟังถ้อยคำของเราหรือ
14 คำบัญชาโยนาดับ บุตรเรคาบให้ไว้แก่บุตรชายทั้งหลายของตน ไม่ให้ดื่มเหล้าองุ่นนั้น เขาก็ได้รักษากันไว้แล้ว และเขาทั้งหลายมิได้ดื่มเลยจนถึงวันนี้ เพราะเขาทั้งหลายได้เชื่อฟังคำบัญชาแห่งบิดาของเขา แต่เราได้พูดกับพวกเจ้าอย่างไม่หยุดยั้ง แต่เจ้าทั้งหลายหาได้ฟังเราไม่
15 เราได้ส่งบรรดาผู้รับใช้ของ เราคือผู้เผยพระวจนะมาหาเจ้า ส่งเขามาอย่างไม่หยุดยั้งกล่าวว่า 'บัดนี้เจ้าทุกคนจงหันกลับจากทางชั่วของตน และแก้ไขการกระทำของเจ้าทั้งหลายเสีย อย่าไปติดสอยห้อยตามพระอื่นเพื่อปรนนิบัติพระเหล่านั้น แล้วเจ้าจะได้อาศัยอยู่ในแผ่นดิน ซึ่งเราได้ประทานแก่เจ้าและบรรพบุรุษของเจ้า' แต่เจ้ามิได้เงี่ยหูหรือฟังเรา
16 บุตรทั้งหลายของโยนาดับบุตร ของเรคาบได้รักษาคำบัญชาซึ่งบิดาของเขาได้สั่งไว้ แต่ชนชาตินี้ไม่ได้เชื่อฟังเรา
17 เหตุฉะนี้พระเยโฮวาห์พระเจ้าจอมโยธาพระเจ้าแห่ง อิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะนำโทษทั้งสิ้นซึ่งเราประกาศไว้มาเหนือยูดาห์ และบรรดาชาวกรุงเยรูซาเล็ม เพราะว่าเราพูดกับเขาทั้งหลายและเขาก็ไม่ฟัง เราได้เรียกเขาและเขาไม่ขานตอบ"
18 แต่เยเรมีย์ได้พูดกับคนตระกูลเรคาบว่า "พระเจ้าจอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า เพราะว่าเจ้าได้เชื่อฟังคำบัญชา ของโยนาดับบิดาของเจ้าและถือ รักษาข้อบังคับของท่านทั้งสิ้น และกระทำทุกอย่างที่ท่านบัญชาเจ้า
19 เพราะฉะนั้น พระเจ้าจอมโยธาพระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า โยนาดับบุตรเรคาบจะไม่ขัดสนผู้ชายที่ยืนอยู่ ต่อหน้าเราเลย"

เยเรมีย์ 36
1 ในปีที่สี่แห่งรัชกาลเยโฮยาคิม ราชบุตรของโยสิยาห์ กษัตริย์แห่งยูดาห์ พระวจนะต่อไปนี้มาจากพระเจ้าถึงเยเรมีย์ว่า
2 "เจ้าจงเอาหนังสือม้วนม้วนหนึ่ง และเขียนถ้อยคำนี้ทั้งสิ้นลงไว้ เป็นคำที่เราได้พูดกับเจ้าปรักปรำ อิสราเอลและยูดาห์และบรรดาประชาชาติทั้งสิ้น ตั้งแต่วันที่เราได้พูดกับเจ้า ตั้งแต่รัชกาลโยสิยาห์จนถึงวันนี้
3 ชะรอยประชายูดาห์จะได้ยินถึงโทษซึ่งเราคิด ว่าจะกระทำแก่เขาทั้งปวง เพื่อว่าทุกคนจะหันกลับจากทางชั่วร้ายของเขา และเพื่อเราจะอภัยโทษความผิดของเขาและบาปของเขา"
4 แล้วเยเรมีย์จึงเรียกบารุคบุตรเนริยาห์ ให้บารุคเขียนพระวจนะทั้งสิ้นของพระเจ้า ซึ่งพระองค์ตรัสแก่เยเรมีย์ตามคำบอก ของท่านไว้ในหนังสือม้วน
5 และเยเรมีย์ก็สั่งบารุคว่า ข้าพเจ้าถูกห้ามไม่ให้ไปยังพระนิเวศของพระเจ้า
6 ฉะนั้นเจ้าต้องไป และในวันถือศีลอดอาหาร เจ้าจงอ่านพระวจนะของพระเจ้าจากหนังสือม้วน ซึ่งเจ้าเขียนไว้ตามคำบอกของเราให้ประชาชน ทั้งสิ้นในพระนิเวศของพระเจ้าได้ยิน เจ้าจงอ่านให้คนทั้งปวงแห่งยูดาห์ ผู้ออกมาจากหัวเมืองของเขาให้เขาได้ยินด้วย
7 ชะรอยคำทูลวิงวอนของเขาจะมาถึงพระเจ้า และทุกคนจะหันกลับจากทางชั่วของตัว เพราะความกริ้วและความพิโรธ ซึ่งพระเจ้าทรงประกาศเป็นโทษเหนือ ชนชาตินี้นั้นใหญ่หลวงนัก"
8 และบารุคบุตรเนริยาห์ได้กระทำตามซึ่งเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะสั่งเขาถึงเรื่องให้อ่านพระวจนะของพระเจ้าจากหนังสือม้วน ในพระนิเวศของพระเจ้า
9 ในปีที่ห้าแห่งรัชกาลเยโฮยาคิมราชบุตรของโยสิยาห์ กษัตริย์แห่งยูดาห์ณเดือนที่เก้า ประชาชนทั้งสิ้นในกรุงเยรูซาเล็มและประชาชน ทั้งสิ้นผู้มาจากหัวเมือง แห่งยูดาห์ยังกรุงเยรูซาเล็มได้ป่าวร้องให้ ถือศีลอดอาหารต่อพระพักตร์พระเจ้า
10 แล้วบารุคจึงได้อ่านถ้อยคำของเยเรมีย์ จากหนังสือม้วนให้ประชาชนทั้งสิ้นฟัง ในพระนิเวศของพระเจ้า ในห้องเฉลียงของเกมาริยาห์ บุตรชาฟาน ผู้เป็นเลขานุการ ซึ่งอยู่ในลานบนตรงทางเข้า ของประตูใหม่แห่งพระนิเวศของพระเจ้า
11 เมื่อมีคายาห์บุตรเกมาริยาห์ผู้เป็นบุตรชาฟาน ได้ยินพระวจนะทั้งสิ้นของพระเจ้าจากหนังสือม้วนแล้ว
12 ท่านได้ลงมาที่พระราชวังของพระราชาเข้า ไปในห้องราชเลขา และเจ้านายทั้งสิ้นก็นั่งอยู่ที่นั่น คือเอลีชามาราชเลขา เดไลยาห์บุตรเชไมอาห์ เอลนาธันบุตรอัคโบร์ เกมาริยาห์บุตรชาฟาน เศเดคียาห์บุตรฮานันยาห์และบรรดาเจ้านายทั้งสิ้น
13 และมีคายาห์ก็เล่าถ้อยคำทั้งสิ้นซึ่งท่านได้ยิน เมื่อบารุคอ่านจากหนังสือม้วนให้ประชาชนฟังนั้น
14 เหตุดังนั้นบรรดาเจ้านายจึงใช้เยฮูดีบุตรเนธานิยาห์ ผู้เป็นบุตรของเชเลมิยาห์ ผู้เป็นบุตรของคูชีให้ไปพูดกับบารุคว่า จงถือหนังสือม้วนซึ่งเจ้าอ่านให้ประชาชนฟังนั้นมา" ดังนั้นบารุคบุตรเนริยาห์จึงถือหนังสือ ม้วนนั้นมาหาเขาทั้งหลาย
15 และเขาทั้งหลายจึงพูดกับเขาว่า "จงนั่งลงอ่านหนังสือนั้นให้เราฟัง" บารุคจึงอ่านให้เขาฟัง
16 เมื่อเขาได้ยินคำทั้งหมดนั้นก็หันมาหากันด้วยความกลัว เขาทั้งหลายจึงพูดกับบารุคว่า "เราต้องบอกถ้อยคำเหล่านี้ต่อพระราชา"
17 แล้วเขาทั้งหลายจึงถามบารุคว่า "จงบอกเราว่า เจ้าเขียนถ้อยคำเหล่านี้ทั้งสิ้นอย่างไร เขียนตามคำบอกของเขาหรือ"
18 บารุคตอบเขาทั้งหลายว่า "ท่านได้บอกถ้อยคำเหล่านี้ทั้งสิ้นแก่ ข้าพเจ้า ฝ่ายข้าพเจ้าก็เขียนมันไว้ด้วยหมึกในหนังสือม้วน"
19 แล้วเจ้านายทั้งหลายบอกบารุคว่า "ทั้งเจ้าและเยเรมีย์จงไปซ่อนเสีย อย่าให้ผู้ใดทราบว่าเจ้าอยู่ที่ไหน"
20 แล้วเขาทั้งหลายก็เข้าไปในท้องพระโรงเพื่อเฝ้าพระราชา เมื่อเอาหนังสือม้วนเก็บไว้ในห้องของเอลีชามาราชเลขาแล้ว เขาก็กราบทูลถ้อยคำทั้งสิ้นนั้นแก่พระราชา
21 พระราชาก็รับสั่งให้เยฮูดีไปเอาหนังสือม้วนนั้นมา เขาก็ไปเอามาจากห้องของเอลีชามาราชเลขา และเยฮูดีก็อ่านถวายพระราชาและแก่บรรดา เจ้านายทั้งสิ้นผู้ยืนอยู่ข้างๆพระราชา
22 เวลานั้นเป็นเดือนที่เก้า พระราชาประทับอยู่ในพระราชวังเหมันต์ และมีไฟลุกอยู่ในโถไฟหน้าพระพักตร์
23 เมื่อเยฮูดีอ่านไปได้สามหรือสี่แถบ พระราชาทรงเอามีดอาลักษณ์ตัดออก และทรงโยนเข้าไปในไฟที่ในโถไฟ จนหนังสือม้วนนั้นถูกไฟเผาผลาญหมด
24 ถึงกระนั้นพระราชาหรือข้าราชการ ของพระองค์ผู้ได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ หาได้เกรงกลัวหรือฉีกเสื้อผ้าของตนไม่
25 แม้ว่าเมื่อเอลนาธันและเดลายาห์และเกมาริยาห์ ได้ทูลวิงวอนพระราชามิให้พระองค์ทรงเผาหนังสือ ม้วนพระองค์หาทรงฟังไม่
26 พระราชาทรงบัญชาให้เยราเมเอลราชโอรส และเสไรอาห์บุตรอัสรีเอลและเชเลมิยาห์บุตร อับเดเอลให้จับบารุคเสมียนและเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะ แต่พระเจ้าทรงซ่อนท่านทั้งสองเสีย
27 หลังจากที่พระราชาทรงเผาหนังสือม้วนอันมีถ้อยคำซึ่งบารุคเขียนตามคำบอกของเยเรมีย์แล้ว พระวจนะของพระเจ้ามายังเยเรมีย์ว่า
28 "จงเอาหนังสือม้วนอีกม้วนหนึ่ง และจงเขียนถ้อยคำแรกซึ่งอยู่ในหนังสือม้วนก่อนลงไว้ทั้งหมด คือซึ่งเยโฮยาคิมกษัตริย์แห่งยูดาห์ทรงเผาเสียนั้น
29 และเกี่ยวกับเรื่องเยโฮยาคิมกษัตริย์ยูดาห์นั้น เจ้าจงกล่าวดังนี้ว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ท่านได้เผาหนังสือม้วนนี้เสียและกล่าวว่า "ทำไมเจ้าจึงได้เขียนไว้ในนั้นว่ากษัตริย์บาบิโลน จะมาทำลายแผ่นดินนี้เป็นแน่ และจะตัดมนุษย์และสัตว์ออกเสียจากแผ่นดินนั้น"
30 เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงตรัสดังนี้เกี่ยวด้วย เยโฮยาคิมกษัตริย์แห่งยูดาห์ว่า เยโฮยาคิมจะไม่มีบุตรที่จะประทับบนพระที่นั่งของดาวิด และศพของท่านจะถูกทิ้งไว้ให้ตาก แดดกลางวันและตากน้ำค้างแข็งเวลากลางคืน
31 เราจะลงโทษท่านและเผ่าพันธุ์ของท่าน และข้าราชการของท่าน เพราะบาปผิดของเขาทั้งหลาย เราจะนำเหตุร้ายทั้งสิ้นที่เราได้ประกาศลงโทษเขา แต่เขาไม่ฟังนั้น ให้ตกลงบนเขา และบนชาวกรุงเยรูซาเล็ม และบนคนยูดาห์"
32 แล้วเยเรมีย์จึงเอาหนังสือม้วนอีกม้วนหนึ่ง มอบให้บารุคบุตรเนริยาห์เสมียน ผู้เขียนถ้อยคำทั้งสิ้นในนั้นตามคำบอกของเยเรมีย์ คือถ้อยคำในหนังสือม้วนซึ่งเยโฮยาคิมกษัตริย์ แห่งยูดาห์ได้เผาเสียในไฟ และมีถ้อยคำเป็นอันมากที่คล้ายคลึงกันเพิ่มขึ้น

เยเรมีย์ 37
1 เศเดคียาห์ราชบุตรของโยสิยาห์ ผู้ซึ่งเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้ตั้ง ให้เป็นกษัตริย์ในแผ่นดินยูดาห์ ได้เสวยราชย์แทนโคนิยาห์ราชบุตรของเยโฮยาคิม
2 แต่ท่านเองก็ดี หรือข้าราชการของท่านก็ดี หรือราษฎรก็ดี หาได้ฟังพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งพระองค์ตรัสโดยเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะไม่
3 กษัตริย์เศเดคียาห์ทรงใช้เยฮูคัลบุตรเชเลมิยาห์ และเศฟันยาห์ปุโรหิตบุตรมาอาเสอาห์ให้ไปยัง เยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะ กล่าวว่า "ขออธิษฐานต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราเผื่อเรา"
4 ฝ่ายเยเรมีย์นั้นยังเข้านอกออกในท่ามกลางประชาชนอยู่ เพราะท่านยังมิได้ถูกจำขัง
5 กองทัพของฟาโรห์ได้ออกมาจากอียิปต์และเมื่อคนเคลเดีย ผู้ซึ่งกำลังล้อมกรุงเยรูซาเล็มอยู่ได้ทราบข่าวนั้น เขาทั้งหลายก็ถอยทัพไปจากกรุงเยรูซาเล็ม
6 พระวจนะของพระเจ้ามายังเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะว่า
7 "พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า เจ้าจงไปบอกกษัตริย์แห่งยูดาห์ ผู้ซึ่งใช้เจ้ามาถามต่อเราว่า 'ดูเถิด กองทัพของฟาโรห์ซึ่งได้มาช่วยเจ้ากำลังจะกลับ ไปอียิปต์ ไปยังแผ่นดินของเขา
8 และคนเคลเดียจะกลับมาต่อสู้กับกรุงนี้ เขาทั้งหลายจะยึดไว้และเผาเสียด้วยไฟ
9 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า อย่าล่อลวงตัวเจ้าโดยกล่าวว่า "คนเคลเดียจะถอยออกไปจากเราทีเดียวแน่" เพราะว่าเขาจะไม่ถอยออกไปเลยทีเดียว
10 ถึงแม้ว่าเจ้ากระทำให้กองทัพทั้งสิ้นของคนเคลเดีย ที่กำลังต่อสู้เจ้าให้พ่ายแพ้ และมีเหลือแต่คนที่บาดเจ็บเท่านั้น เขาทั้งหลายคงจะลุกขึ้น ทุกคนในเต็นท์ของเขา และเผากรุงนี้เสียด้วยไฟ'"
11 เมื่อกองทัพของคนเคลเดียได้ถอยจากกรุงเยรูซาเล็ม เพราะกองทัพของฟาโรห์เข้ามาประชิด
12 เยเรมีย์ก็ออกไปจากกรุงเยรูซาเล็ม มุ่งไปยังแผ่นดินเบนยามิน เพื่อจะรับส่วนของท่านท่ามกลางประชาชนที่นั่น
13 เมื่อท่านอยู่ที่ประตูเบนยามิน ทหารยามคนหนึ่งชื่ออิรียาห์บุตรเชเลมิยาห์ ผู้เป็นบุตรฮานันยาห์ได้จับเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะกล่าวว่า "ท่านกำลังหนีไปหาคนเคลเดีย"
14 และเยเรมีย์ตอบว่า "ไม่จริงเลย ข้าพเจ้ามิได้กำลังหนีไปหาคนเคลเดีย" แต่อิรียาห์ไม่ฟังท่านและจับเยเรมีย์นำมาหาเจ้านาย
15 และบรรดาเจ้านายก็เดือดดาลต่อเยเรมีย์ และเขาทั้งหลายก็ตีท่านและขังท่านไว้ใน เรือนของโยนาธานเลขานุการ เพราะได้ทำให้เป็นคุก
16 เมื่อเยเรมีย์อยู่ในคุกมืด และค้างอยู่ที่นั่นหลายวันแล้ว
17 กษัตริย์เศเดคียาห์ใช้ให้คนไปเอาตัวท่านมา พระราชาได้สอบถามท่านเป็นความลับที่ในพระราชวังว่า "มีพระวจนะอันใดมาจากพระเจ้าบ้างหรือ" เยเรมีย์ทูลว่า "มีพ่ะย่ะค่ะ" แล้วท่านทูลอีกว่า "ฝ่าพระบาทจะถูกมอบไว้ในมือของกษัตริย์แห่งบาบิโลน"
18 เยเรมีย์ได้ทูลกษัตริย์เศเดคียาห์อีกว่า "ข้าพระบาทได้กระทำอะไรผิดต่อฝ่าพระบาท หรือต่อข้าราชการของฝ่าพระบาทหรือต่อชนชาตินี้ ฝ่าพระบาทจึงได้จำขังข้าพระบาทไว้ในคุก
19 ผู้เผยพระวจนะของฝ่าพระบาทผู้ได้เผย พระวจนะให้ฝ่าพระบาทว่า 'กษัตริย์แห่งบาบิโลนจะไม่มาต่อสู้ฝ่าพระบาท หรือต่อสู้แผ่นดินนี้' นั้นอยู่ที่ไหน
20 บัดนี้ข้าแต่พระราชาของข้าพระบาท ขอพระองค์สดับฟัง ขอคำทูลของข้าพระบาทมาอยู่ต่อพระพักตร์ของฝ่าพระบาท ขออย่าส่งข้าพระบาทกลับไปที่เรือนของโยนาธาน เลขานุการนั้นเลย เกรงว่าข้าพระบาทจะตายเสียที่นั่น"
21 กษัตริย์เศเดคียาห์จึงมีรับสั่งและเขาก็มอบ เยเรมีย์ไว้ที่บริเวณทหารรักษาพระองค์ และเขาให้ขนมปังแก่ท่านวันละก้อนจากถนนช่างทำขนม จนขนมปังในกรุงนั้นหมด เยเรมีย์จึงค้างอยู่ในบริเวณทหารรักษาพระองค์อย่างนั้น

เยเรมีย์ 38

1 ฝ่ายเชฟาทิยาห์บุตรมัทธาน เกดาลิยาห์บุตรปาชเฮอร์ และยูคาลบุตรเชเลมิยาห์ และปาชเฮอร์บุตรมัลคียาห์ ได้ยินถ้อยคำของเยเรมีย์ที่กล่าวแก่ประชาชนว่า
2 "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ผู้ใดอยู่ในกรุงจะต้องตายด้วยดาบ ด้วยการกันดารอาหาร และด้วยภัยพิบัติ แต่ผู้ใดที่ออกไปหาคนเคลเดียจะมีชีวิตอยู่ เขาจะมีชีวิตเป็นบำเหน็จแห่งการสงคราม และยังมีชีวิตอยู่
3 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า กรุงนี้จะต้องมอบไว้ในมือของกองทัพของกษัตริย์ แห่งบาบิโลนและท่านจะยึดไว้"
4 และบรรดาเจ้านายจึงทูลพระราชาว่า "ขอประหารชายคนนี้เสีย เพราะเขากระทำให้มือของทหารซึ่งเหลืออยู่ในเมืองนี้อ่อนลง ทั้งมือของประชาชนทั้งหมดด้วย โดยพูดถ้อยคำเช่นนี้แก่เขาทั้งหลาย เพราะว่าชายคนนี้มิได้แสวงหาความอยู่เย็นเป็นสุข ของชนชาตินี้ แต่หาความทุกข์ยากลำบาก"
5 กษัตริย์เศเดคียาห์ตรัสว่า "ดูเถิด ชายคนนี้อยู่ในมือของท่านทั้งหลายแล้ว เพราะกษัตริย์จะทำอะไรขัดท่านทั้งหลายได้เล่า"
6 เขาจึงจับเยเรมีย์หย่อนลงไปในที่ขังน้ำของ มัลคียาห์ราชโอรส ซึ่งอยู่ในบริเวณทหารรักษาพระองค์เขาเอา เชือกหย่อนเยเรมีย์ลงไป ในที่ขังน้ำนั้นไม่มีน้ำ มีแต่โคลน และเยเรมีย์ก็จมลงไปในโคลน
7 เมื่อเอเบดเมเลคคนเอธิโอเปีย ขันทีในพระราชวังได้ยินว่าเขาหย่อนเยเรมีย์ลงไปในที่ขังน้ำนั้น (ฝ่ายพระราชาประทับอยู่ที่ประตูเบนยามิน)
8 เอเบดเมเลคก็ออกไปจากพระราชวัง และทูลพระราชาว่า
9 "ข้าแต่พระราชาของข้าพระบาท คนเหล่านี้ได้กระทำความชั่วร้ายใน บรรดาการที่เขาได้กระทำต่อเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะ โดยที่ได้ทิ้งท่านลงไปในที่ขังน้ำ ท่านคงหิวตายที่นั่น เพราะในกรุงนี้ไม่มีขนมปังเหลืออยู่เลย"
10 แล้วพระราชามีรับสั่งให้เอเบดเมเลค คนเอธิโอเปียว่า "จงเอาคนไปจากที่นี่กับเจ้าสามสิบคน แล้วฉุดเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะออกมา จากที่ขังน้ำก่อนเขาตาย"
11 เอเบดเมเลคจึงเอาคนไปด้วยและไปที่ พระราชวังไปยังตู้เสื้อผ้าที่ในเรือนพัสดุเพื่อเอาผ้าเก่าๆ และเสื้อผ้าขาดๆ ซึ่งเขาเอาเชือกผูกหย่อนลงไปให้เยเรมีย์ที่ในที่ขังน้ำ
12 แล้วเอเบดเมเลคคนเอธิโอเปียพูดกับเยเรมีย์ว่า "ท่านจงคล้องผ้าและเสื้อเก่านั้นไว้ใต้รักแร้และเชือก" เยเรมีย์กระทำตาม
13 แล้วเขาก็ฉุดเยเรมีย์ขึ้นมาด้วยเชือกและยกท่านขึ้น มาจากที่ขังน้ำ และเยเรมีย์ก็ยังค้างอยู่ในบริเวณทหารรักษาพระองค์
14 กษัตริย์เศเดคียาห์ทรงใช้คนไปนำเยเรมีย์ผู้เผย พระวจนะมาที่ทางเข้าพระวิหารของพระเจ้าช่องที่สาม พระราชาตรัสกับเยเรมีย์ว่า "เราจะถามท่านสักข้อหนึ่ง ขออย่าปิดบังไว้จากเราเลย"
15 เยเรมีย์จึงทูลเศเดคียาห์ว่า "ถ้าข้าพระบาทจะทูลฝ่าพระบาท ฝ่าพระบาทคงจะประหารข้าพระบาทแน่มิใช่หรือ แต่ถ้าข้าพระบาทจะถวายคำปรึกษา ฝ่าพระบาทก็จะไม่ฟังข้าพระบาท"
16 แล้วกษัตริย์เศเดคียาห์ก็ทรงสาบานแก่เยเรมีย์เป็น การลับว่า "พระเจ้าผู้ทรงสร้างวิญญาณของเราทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด เราจะไม่ประหารท่านหรือมอบท่านไว้ในมือของ คนเหล่านี้ที่แสวงหาชีวิตของท่านฉันนั้น"
17 แล้วเยเรมีย์ทูลเศเดคียาห์ว่า "พระเยโฮวาห์พระเจ้าจอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ถ้าฝ่าพระบาทจะยอมมอบตัวแก่เจ้านาย แห่งพระราชาบาบิโลนแล้ว เขาจะไว้ชีวิตของฝ่าพระบาท และกรุงนี้จะไม่ต้องถูกไฟเผา ฝ่าพระบาทและวงศ์วานของฝ่าพระบาทจะมีชีวิตอยู่ได้
18 แต่ถ้าฝ่าพระบาทไม่ยอมมอบตัวแก่เจ้านาย แห่งพระราชาของบาบิโลนแล้ว กรุงนี้จะต้องถูกมอบไว้ในมือของชนเคลเดีย และเขาทั้งหลายจะเอาไฟเผาเสีย และฝ่าพระบาทจะหนีไม่รอดไปจากมือของเขาทั้งหลาย"
19 กษัตริย์เศเดคียาห์จึงตรัสกับเยเรมีย์ว่า "เรากลัวพวกยิวซึ่งเล็ดลอดไปหาคนเคลเดีย เกรงว่าเราจะถูกมอบให้แก่พวกเหล่านั้น และเขาทั้งหลายจะกระทำความอัปยศแก่เรา"
20 เยเรมีย์ทูลว่า "เขาจะไม่มอบฝ่าพระบาทไว้ ขอฝ่าพระบาทเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า ตามสิ่งซึ่งข้าพระบาทได้ทูลฝ่าพระบาท และฝ่าพระบาทก็จะเป็นสุข และเขาก็จะไว้พระชนม์ของฝ่าพระบาท
21 แต่ถ้าฝ่าพระบาทไม่ยอมมอบตัว ต่อไปนี้เป็นนิมิตซึ่งพระเจ้าทรงสำแดงต่อข้าพระบาท
22 ดูเถิด บรรดาผู้หญิงที่เหลืออยู่ในวังของกษัตริย์ แห่งยูดาห์ได้ถูกนำออกไปให้เจ้านายของกษัตริย์แห่งบาบิโลน และว่า 'เพื่อนที่พระองค์ไว้วางใจได้หลอกลวงพระองค์ และได้ชนะพระองค์แล้ว เมื่อพระบาท ของพระองค์จมลงในโคลนแล้ว เขาทั้งหลายก็หันไปจากพระองค์'
23 เขาจะพาบรรดาสนมและมเหสี และบุตรของฝ่าพระบาทไปให้คนเคลเดีย และฝ่าพระบาทเองก็จะไม่ทรงรอดไปจากมือ ของเขาทั้งหลาย แต่ฝ่าพระบาทจะถูกกษัตริย์แห่งบาบิโลนจับได้ และเขาจะเผากรุงนี้เสียด้วยไฟ"
24 แล้วเศเดคียาห์ตรัสกับเยเรมีย์ว่า "อย่าให้ผู้ใดรู้ถ้อยคำเหล่านี้ และท่านจะไม่ตาย
25 ถ้าพวกเจ้านายได้ยินว่าเราได้พูดกับท่าน และมาหาท่านพูดว่า 'จงบอกมาว่าเจ้าพูดอะไรกับพระราชา และพระราชาตรัสอะไรกับเจ้า อย่าซ่อนอะไรจากเราเลย และเราจะไม่ฆ่าเจ้า'
26 ท่านจงบอกเขาทั้งหลายว่า ข้าพเจ้าได้ทูลขอต่อพระราชามิให้พระองค์ทรงส่ง ข้าพเจ้ากลับไปที่เรือนของโยนาธานเพื่อให้ตายเสียที่นั่น"
27 และเจ้านายทั้งปวงก็มาหาเยเรมีย์และซักถามท่าน และท่านก็ตอบเขาตามที่พระราชาทรงแนะนำท่าน เขาทั้งหลายจึงหยุดถามท่านเพราะการสนทนานั้นไม่มีใครได้ยิน
28 และเยเรมีย์ก็ค้างอยู่ในบริเวณทหารรักษาพระองค์ จนถึงวันที่เยรูซาเล็มถูกยึด

เยเรมีย์ 39

1 ในปีที่เก้าแห่งเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ ในเดือนที่สิบ เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนและกองทัพทั้งสิ้นของท่าน ได้มาสู้รบกรุงเยรูซาเล็มและได้ล้อมไว้
2 ในปีที่สิบเอ็ดแห่งรัชกาลเศเดคียาห์ เมื่อวันที่เก้าของเดือนที่สี่ กรุงนั้นก็แตก
3 เมื่อเขายึดกรุงเยรูซาเล็มได้แล้ว บรรดาเจ้านายของกษัตริย์แห่งบาบิโลน ได้เข้ามานั่งที่ประตูกลาง มีเนอร์กัลชาเรเซอร์ สัมการ์เนโบ สารเสคิมผู้เป็นรับสารีส เนอร์กัลชาเรเซอร์ผู้เป็นรับมัก และบรรดาข้าราชการที่เหลืออยู่ทั้งสิ้นของพระราชา แห่งบาบิโลน
4 เมื่อเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์และบรรดา ทหารได้เห็นแล้ว เขาทั้งหลายได้หนีออกจากกรุงในเวลากลางคืน ไปทางอุทยานของพระราชาออกทางประตู ระหว่างกำแพงทั้งสอง และเขาทั้งหลายได้หนีมุ่งไปยังอารบา
5 แต่กองทัพของคนเคลเดียได้ติดตามเขาทั้งหลาย ไปทันเศเดคียาห์ที่ราบเมืองเยรีโค และเมื่อเขาทั้งหลายจับท่านได้แล้ว เขาได้นำท่านไปยังเนบูคัดเนสซาร์ พระราชาแห่งบาบิโลนที่ตำบลริบลาห์ในแผ่นดินฮามัท และพระองค์ก็พิพากษาโทษท่าน
6 กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้ฆ่าบรรดาบุตรชายของ เศเดคียาห์ที่ตำบลริบลาห์ต่อหน้าต่อตาของท่าน และพระราชาแห่งบาบิโลนได้ประหารพวกขุนนาง ทั้งสิ้นของยูดาห์เสีย
7 พระองค์ทรงทำนัยน์ตาของเศเดคียาห์ให้บอดไป แล้วตีตรวนท่านไว้เพื่อจะนำไปบาบิโลน
8 คนเคลเดียได้เผาพระราชวังและบ้านเรือนของ ประชาชนและพังกำแพงกรุงเยรูซาเล็มเสีย
9 แล้วเนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ ได้จับส่วนประชาชนที่เหลืออยู่ในกรุงเป็นเชลยพา ไปยังบาบิโลนทั้งคนที่เล็ดลอดมาหาท่าน และส่วน คนที่เหลืออยู่
10 เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ได้ ทิ้งคนจนที่ไม่มีสมบัติอะไรไว้ในแผ่นดินยูดาห์บ้าง และในเวลาเดียวกันได้มอบสวนองุ่นและไร่นาให้แก่เขา
11 เนบูคัดเนสซาร์พระราชาแห่ง บาบิโลนได้ประทานบัญชาเกี่ยว ด้วยเยเรมีย์ทางเนบูซาระดาน ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ว่า
12 "จงรับท่านไป ดูแลท่านให้ดี และอย่าทำอันตรายแก่ท่าน แต่จงกระทำแก่ท่านตามที่ท่านบอกให้"
13 ดังนั้น เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ เนบูชัสบานผู้เป็นรับสารีส เนอร์กัลชาเรเซอร์ผู้เป็นรับมักและนายทหารชั้นผู้ใหญ่อื่นๆ แห่งบาบิโลน
14 ได้ใช้คนไปนำเยเรมีย์มาจากบริเวณทหาร รักษาพระองค์ เขาทั้งหลายมอบท่านไว้กับเกดาลิยาห์บุตรอาหิคัม ผู้เป็นบุตรชาฟานให้นำท่านไปบ้าน ดังนั้นท่านจึงได้อยู่ท่ามกลางประชาชน
15 พระวจนะของพระเจ้ามายังเยเรมีย์ ขณะที่ท่านถูกขังอยู่ในบริเวณทหารรักษาพระองค์นั้นว่า
16 "จงไปบอกเอเบดเมเลคคนเอธิโอเปียว่า พระเจ้าจอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะให้ถ้อยคำของเราที่ มีอยู่ต่อกรุงนี้สำเร็จในทางร้ายไม่ใช่ทางดี และจะสำเร็จต่อหน้าเจ้าในวันนั้น
17 พระเจ้าตรัสว่า แต่เราจะช่วยกู้เจ้าในวันนั้น และเขาจะไม่มอบเจ้าไว้ในมือของคนที่เจ้ากลัว
18 เพราะเราจะช่วยเจ้าให้รอดเป็นแน่ และเจ้าจะไม่ล้มลงด้วยดาบ แต่เจ้าจะมีชีวิตเป็นบำเหน็จแห่งการสงคราม เพราะเจ้าได้ไว้วางใจในเรา พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ"

เยเรมีย์ 40
1 พระวจนะซึ่งมาจากพระเจ้าถึงเยเรมีย์ หลังจากที่เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหาร รักษาพระองค์ได้ปล่อยให้ท่านไปจากรามาห์ ครั้งเมื่อเขาจับท่านตีตรวนมาพร้อมกับ เชลยพวกกรุงเยรูซาเล็มและยูดาห์ ผู้ที่ต้องถูกกวาดไปเป็นเชลยยังบาบิโลน
2 ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ได้ นำเยเรมีย์มาแล้วพูดกับท่านว่า "พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงประกาศโทษต่อสถานที่นี้
3 พระเจ้าทรงกระทำให้เป็นไปและทรงกระทำ ตามที่พระองค์ตรัสไว้ เพราะท่านทั้งหลายได้กระทำบาปต่อพระเจ้า และไม่เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์ สิ่งนี้จึงได้เป็นมาเหนือท่าน
4 ดูเถิด วันนี้ข้าพเจ้าปล่อยท่านจากโซ่ตรวนที่มือของท่าน ถ้าท่านเห็นชอบที่จะมายังกรุงบาบิโลนกับข้าพเจ้า ก็จงมาเถิด ข้าพเจ้าจะดูแลท่านให้ดี แต่ถ้าท่านไม่เห็นชอบที่จะมายังกรุงบาบิโลนกับข้าพเจ้า ก็อย่ามา ดูซิ แผ่นดินทั้งหมดนี้อยู่ต่อหน้าท่าน ท่านจะไปที่ไหนก็ได้ตามแต่ท่านเห็นดีเห็นชอบที่จะไป
5 ถ้าท่านยังอยู่ที่นี่ ท่านจงกลับไปหาเกดาลิยาห์บุตรอาหิคัม ผู้เป็นบุตรชาฟานผู้ซึ่งพระราชาแห่งบาบิโลนได้ แต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าราชการบรรดาหัวเมืองยูดาห์ และอยู่กับเขาท่ามกลางประชาชน หรือจะไปที่ใดที่ท่านเห็นชอบจะไปก็ได้ ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ จึงสั่งอนุมัติเสบียงและให้ของขวัญ แก่เยเรมีย์ แล้วก็ปล่อยท่านไป
6 เยเรมีย์ก็ไปหาเกดาลิยาห์ บุตรอาหิคัมที่มิสปาห์ และอาศัยอยู่กับเขาท่ามกลางประชาชน ซึ่งเหลืออยู่ในแผ่นดินนั้น
7 เมื่อบรรดาหัวหน้าของกองทหารและคนของเขา ทั้งหลายได้ยินว่า พระราชาแห่งบาบิโลนได้แต่งตั้งเกดาลิยาห์บุตร อาหิคัมให้เป็นผู้ว่าราชการในแผ่นดินนั้น และได้มอบชายหญิงกับเด็กผู้ที่เป็นคนจนที่สุดในแผ่นดิน ซึ่งมิได้ถูกกวาดไปเป็นเชลยยังบาบิโลนไว้ให้ท่านนั้น
8 เขาทั้งหลายก็ไปหาเกดาลิยาห์ที่มิสปาห์ มีอิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์ โยฮานันบุตรคาเรอาห์ เสไรอาห์บุตรทันหุเมท บรรดาบุตรของเอฟายชาวเนโทฟาห์ เยซันยาห์บุตรชาวมาอาคาห์ทั้งตัวเขาและคนของเขา
9 เกดาลิยาห์บุตรอาหิคัม ผู้เป็นบุตรชาฟานก็ได้สาบานให้แก่เขา และคนของเขากล่าวว่า "อย่ากลัวในการที่จะปรนนิบัติคนเคลเดีย จงอาศัยอยู่ในแผ่นดินและปรนนิบัติพระราชา แห่งบาบิโลนแล้วท่านทั้งหลายก็จะอยู่เย็นเป็น สุข
10 ส่วนตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะอาศัยอยู่ที่มิสปาห์ เพื่อจะเป็นผู้แทนท่านทั้งหลายคอยรับรองคนเคลเดีย ผู้ซึ่งจะมาหาเรา แต่ฝ่ายท่านจงเก็บเหล้าองุ่น ผลไม้ฤดูร้อน และน้ำมัน และเก็บไว้ในภาชนะ และจงอยู่ในหัวเมืองซึ่งท่านยึดได้นั้น"
11 ในทำนองเดียวกัน เมื่อพวกยิวซึ่งอยู่ที่โมอับและท่ามกลางคนอัมโมนและ ในเอโดมและในแผ่นดินอื่นๆ ได้ยินว่าพระราชาแห่งบาบิโลนได้ทิ้งคนให้เหลือไว้ ส่วนหนึ่งในยูดาห์และได้แต่งตั้งให้เกดาลิยาห์บุตรอาหิคัม ผู้เป็นบุตรชาฟานให้เป็นผู้ว่าราชการเหนือเขาทั้งหลาย
12 แล้วพวกยิวทั้งปวงก็ได้กลับมาจากทุกที่ซึ่งเขา ถูกขับไล่ให้ไปอยู่นั้น และมายังแผ่นดินยูดาห์มาหาเกดาลิยาห์ที่มิสปาห์ และเขาทั้งหลายได้เก็บเหล้าองุ่นและผลไม้ใน ฤดูร้อนได้เป็นอันมาก
13 ฝ่ายโยฮานันบุตรของคาเรอาห์และบรรดาประมุข ของกองทหารได้มาหาเกดาลิยาห์ที่มิสปาห์
14 และกล่าวแก่ท่านว่า "ท่านทราบหรือไม่ว่าบาอาลิสกษัตริย์ของคนอัมโมน ได้ส่งให้อิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์มาเอาชีวิตของท่าน" ฝ่ายเกดาลิยาห์บุตรอาหิคัมไม่เชื่อเขาทั้งหลาย
15 แล้วโยฮานันบุตรคาเรอาห์ได้พูดกับเกดาลิยาห์ เป็นการลับที่มิสปาห์ว่า "จงให้ข้าพเจ้าไปฆ่าอิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์เสีย และจะไม่มีใครทราบเรื่อง ทำไมจะให้เขาเอาชีวิตของท่าน แล้วพวกยิวซึ่งมารวบรวมอยู่กับท่านจะกระจัดกระจายกันไป และคนยูดาห์ที่เหลืออยู่นี้ก็จะพินาศ"
16 แต่เกดาลิยาห์บุตรอาหิคัมพูดกับโยฮานันบุตรคาเรอาห์ว่า "ท่านอย่าทำสิ่งนี้เลย เพราะที่ท่านพูดถึงอิชมาเอลนั้นเป็นความเท็จ"

เยเรมีย์ 41
1 ในเดือนที่เจ็ดอิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์ ผู้เป็นบุตรเอลีชามาเชื้อพระวงศ์ เป็นข้าราชการผู้ใหญ่คนหนึ่งของกษัตริย์ ได้มาหาเกดาลิยาห์บุตรอาหิคัมพร้อมกับ คนสิบคนที่มิสปาห์ ขณะเมื่อเขารับประทานอาหารอยู่ด้วยกันที่มิสปาห์
2 อิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์กับคนทั้งสิบที่อยู่กับเขา ก็ได้ลุกขึ้นฆ่าเกดาลิยาห์บุตรอาหิคัม ผู้เป็นบุตรชาฟานผู้ที่พระราชาแห่งบาบิโลนได้แต่งตั้ง ให้เป็นผู้ว่าราชการที่แผ่นดินนั้นเสียด้วยดาบจนตาย
3 อิชมาเอลได้ฆ่าพวกยิวทั้งหลายที่อยู่กับ เกดาลิยาห์ที่มิสปาห์ และทหารคนเคลเดียผู้เผอิญอยู่ที่นั่นด้วย
4 หลังจากวันที่เกดาลิยาห์ถูกฆ่าก่อนที่ใครๆรู้เรื่อง
5 มีชายแปดสิบคนมาจากเมืองเชเคมและเมืองชิโลห์ และเมืองสะมาเรีย มีหนวดเคราโกนเสียและเสื้อผ้าขาด และตามตัวมีรอยเชือด นำเครื่องธัญญบูชาและกำยานมาถวายที่พระวิหารของพระเจ้า
6 และอิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์มาจากมิสปาห์ พบเขาเหล่านั้นเข้า อิชมาเอลเดินมาพลางร้องไห้พลาง เมื่อเขาพบคนเหล่านั้นจึงพูดกับเขาทั้งหลายว่า "เชิญเข้ามาหาเกดาลิยาห์บุตรอาหิคัมเถิด"
7 เมื่อเขาทั้งหลายเข้ามาในเมือง อิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์และคนที่อยู่กับท่าน ก็ฆ่าเขาทั้งหลายเสีย และโยนเขาลงไปในที่ขังน้ำ
8 แต่ในพวกนั้นมีอยู่สิบคนด้วยกันที่พูดกับอิชมาเอลว่า "ขออย่าฆ่าเราเสียเลย เพราะเรามีข้าวสาลี ข้าวบารลี น้ำมัน และน้ำผึ้งซ่อนไว้ในทุ่งนา" ดังนั้นเขาจึงงดไม่ฆ่าเขาทั้งหลายกับเพื่อนๆเสีย
9 ที่ขังน้ำซึ่งอิชมาเอลโยนศพของผู้ที่เขาฆ่าตายลง ไปนั้นเป็นที่ใหญ่ ซึ่งกษัตริย์อาสาสร้างไว้เพื่อป้องกันบาอาชากษัตริย์ แห่งอิสราเอล อิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์ก็ใส่คนที่ถูกฆ่าไว้จนเต็ม
10 แล้วอิชมาเอลก็จับคนทั้งหมดที่เหลืออยู่ในมิสปาห์ ไปเป็นเชลย คือพวกราชธิดาและประชาชนทั้งปวงที่เหลืออยู่ที่มิสปาห์ ผู้ที่เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ได้ มอบหมายให้แก่เกดาลิยาห์บุตรอาหิคัม อิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์ได้จับเขาเป็นเชลย และออกเดินข้ามฟากไปหาคนอัมโมน
11 แต่เมื่อโยฮานันบุตรคาเรอาห์และบรรดา หัวหน้าของกองโจร ซึ่งอยู่กับเขาทราบเรื่องความชั่วร้ายซึ่งอิชมาเอล บุตรเนธานิยาห์ได้กระทำแล้วนั้น
12 เขาก็จัดเอาคนทั้งหมดของเขาไปต่อสู้กับอิชมาเอล บุตรเนธานิยาห์ เขาทั้งหลายปะทะเขาที่สระใหญ่ซึ่งอยู่ที่เมืองกิเบโอน
13 และเมื่อประชาชนผู้ซึ่งอยู่กับอิชมาเอลเห็นโยฮานัน บุตรคาเรอาห์และบรรดาหัวหน้ากองทหารที่อยู่กับเขา เขาทั้งหลายก็เปรมปรีดิ์
14 ประชาชนทั้งปวงซึ่งอิชมาเอลจับเป็นเชลยมาจาก มิสปาห์จึงหันหลังและกลับไป เขาไปหาโยฮานันบุตรคาเรอาห์
15 แต่อิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์ได้หนีรอดจากโยฮานัน พร้อมกับชายแปดคนไปหาคนอัมโมน
16 แล้วโยฮานันบุตรคาเรอาห์และบรรดาหัวหน้าของกองทหาร ซึ่งอยู่กับท่านได้นำประชาชนที่เหลืออยู่ทั้งหมดซึ่ง อิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์ ได้จับเป็นเชลยจากมิสปาห์หลังจากที่ได้ฆ่าเกดาลิยาห์ บุตรอาหิคัมแล้วนั้น คือทหาร ผู้หญิง เด็ก และขันที ผู้ซึ่งโยฮานันนำกลับมายังกิเบโอน
17 และเขาทั้งหลายก็ไปอยู่ที่เกรูธคิมฮัมใกล้เบธเลเฮม ตั้งใจจะไปยังอียิปต์
18 เนื่องด้วยคนเคลเดีย เพราะเขากลัว เพราะว่าอิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์ได้ ฆ่าเกดาลิยาห์บุตรอาหิคัม ผู้ซึ่งพระราชาแห่งบาบิโลนได้ตั้งให้เป็นผู้ว่า ราชการเหนือแผ่นดินนั้นเสีย

เยเรมีย์ 42
1 ฝ่ายผู้หัวหน้ากองทหารและโยฮานันบุตรคาเรอาห์ และอาซาริยาห์บุตรโฮชายาห์ และประชาชนทั้งปวง จากผู้น้อยที่สุดถึงผู้ใหญ่ที่สุดได้เข้ามาใกล้
2 และพูดกับเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะว่า "ขอให้คำอ้อนวอนของข้าพเจ้าทั้งหลายมาอยู่ต่อหน้าท่าน และขอท่านอธิษฐานต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน เพื่อเราทั้งหลาย เพื่อคนที่เหลืออยู่นี้ทั้งสิ้น (เพราะเรามีเหลือน้อยจากคนมาก ตามที่ท่านเห็นอยู่กับตาแล้ว)
3 ขอพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านสำแดงหนทางแก่เรา ว่าเราควรจะไปทางไหน และขอสำแดงสิ่งที่เราควรจะกระทำ"
4 เยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะกล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า "ข้าพเจ้าได้ยินท่านแล้ว ดูเถิด ข้าพเจ้าจะอธิษฐานต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ตามคำขอร้องของท่านทั้งหลาย และพระเจ้าทรงตอบท่านประการใด ข้าพเจ้าจะบอกแก่ท่าน ข้าพเจ้าจะไม่ปิดบังสิ่งใดไว้จากท่านเลย"
5 แล้วเขาทั้งหลายพูดกับเยเรมีย์ว่า "ขอพระเจ้าจงเป็นพยานที่ซื่อสัตย์และ แน่นอนต่อสู้ข้าพเจ้าทั้งหลาย ถ้าข้าพเจ้าทั้งหลายมิได้กระทำตามบรรดา พระวจนะของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านผู้ทรงใช้ท่าน
6 ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ข้าพเจ้าทั้งหลายจะเชื่อฟังพระสุรเสียงของ พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา ผู้ซึ่งข้าพเจ้าทั้งหลายส่งท่านให้ไปหานั้น เพื่อเราจะอยู่เย็นเป็นสุข เมื่อเราเชื่อฟังพระสุรเสียงแห่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา"
7 ครั้นสิ้นสิบวันแล้วพระวจนะของพระเจ้ามายังเยเรมีย์
8 แล้วท่านจึงให้ตามตัวโยฮานันบุตรคาเรอาห์และ บรรดาผู้หัวหน้าของกองทหารผู้อยู่กับท่าน และประชาชนทั้งปวงตั้งแต่คนเล็กที่สุดถึงคนใหญ่ที่สุด
9 และบอกเขาว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้ซึ่งท่านได้ใช้ให้ข้าพเจ้านำเอาคำอ้อนวอนของท่าน ไปเสนอพระองค์นั้น ได้ตรัสดังนี้ว่า
10 ถ้าเจ้าทั้งหลายจะอยู่ต่อไปในแผ่นดินนี้ เราจะสร้างเจ้าทั้งหลายขึ้นและไม่ทำลายลง เราจะปลูกเจ้าไว้ และไม่ถอนเจ้าเสียเพราะเราได้กลับใจจาก เหตุร้ายซึ่งเราได้กระทำไปแล้ว
11 อย่ากลัวพระราชาแห่งบาบิโลนผู้ซึ่ง เจ้ากลัวอยู่นั้นพระเจ้าตรัสว่า อย่ากลัวเขาเลย เพราะเราอยู่กับเจ้าทั้งหลาย เพื่อช่วยเจ้าและช่วยกู้เจ้าให้พ้นจากมือของเขา
12 เราจะให้ความกรุณาแก่เจ้า เพื่อเขาจะได้กรุณาเจ้าและยอม ให้เจ้าอยู่ในแผ่นดินของเจ้าเอง
13 แต่ถ้าเจ้าทั้งหลายพูดว่า 'เราจะไม่อยู่ในแผ่นดินนี้' โดยไม่เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า
14 และกล่าวว่า 'ไม่เอา เราจะเข้าไปในแผ่นดินอียิปต์ ที่ซึ่งเราจะไม่เห็นสงคราม จะไม่ได้ยินเสียงเขาสัตว์ จะไม่หิวขนมปัง
15 และเราทั้งหลายจะอาศัยอยู่ที่นั่น' คนยูดาห์ที่เหลืออยู่เอ๋ย ขอฟังพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าจอมโยธาพระเจ้าของอิสราเอลตรัสดังนี้ ว่า ถ้าเจ้ามุ่งหน้าจะเข้าอียิปต์และไปอาศัยที่นั่น
16 แล้วดาบซึ่งเจ้ากลัวอยู่นั้นจะตามทันเจ้าที่นั่น ในแผ่นดินอียิปต์ และการกันดารอาหารซึ่งเจ้ากลัว อยู่นั้นจะติดตามเจ้าไปถึงอียิปต์และเจ้าจะตายที่นั่น
17 ทุกคนซึ่งมุ่งหน้าไปยังอียิปต์ เพื่อจะอยู่ที่นั่นจะตายเสียด้วยดาบ ด้วยการกันดารอาหาร ด้วยโรคระบาด เขาจะไม่มีคนที่เหลืออยู่หรือที่รอด ตายจากเหตุร้ายซึ่งเราจะนำมาเหนือเขา
18 "เพราะพระเจ้าจอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า เราเทความกริ้วของเรา และความพิโรธของเราลงเหนือชาวเยรูซาเล็มอย่างไร เราจะเทความกริ้วของเราเหนือเจ้าทั้งหลายเมื่อเจ้า ไปยังอียิปต์อย่างนั้น เจ้าจะเป็นคำสาปเป็นที่น่าหวาดเสียว เป็นคำแช่งและเป็นขี้ปาก เจ้าจะไม่เห็นที่นี่อีก
19 คนยูดาห์ที่ยังเหลืออยู่เอ๋ย พระเจ้าได้ตรัสกับท่านแล้วว่า 'อย่าไปยังอียิปต์' จงรู้เป็นแน่ว่าในวันนี้ข้าพเจ้าได้ตักเตือนท่านว่า
20 ท่านทั้งหลายได้หลงเจิ่นไปเสี่ยงชีวิตของท่านเอง เพราะท่านได้ใช้ข้าพเจ้าไปหาพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของท่านว่า 'ขออธิษฐานเพื่อเราต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา และพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราตรัสประการใด ขอบอกแก่เรา และเราจะกระทำตาม'
21 และในวันนี้ข้าพเจ้าได้ประกาศพระวจนะนั้นแก่ ท่านทั้งหลายแล้ว แต่ท่านมิได้ฟังพระสุรเสียงแห่งพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของท่านในสิ่งใดๆ ซึ่งพระองค์ทรงใช้ข้าพเจ้ามาบอกท่าน
22 เพราะฉะนั้นบัดนี้จงทราบเป็นแน่ว่า ท่านทั้งหลายจะตายด้วยดาบ ด้วยการกันดารอาหารและด้วยโรคระบาดในสถานที่ ซึ่งท่านทั้งหลายปรารถนาจะไปอาศัยอยู่"

เยเรมีย์ 43
1 เมื่อเยเรมีย์จบการพูดต่อประชาชนทั้งปวง ถึงพระวจนะเหล่านี้ทั้งสิ้นของพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของเขาทั้งหลาย ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเขาได้ทรงใช้ท่านให้ไป พูดกับเขาทั้งหลายนั้นแล้ว
2 อาซาริยาห์บุตรโฮชายาห์และโยฮานันบุตรคาเรอาห์ และบรรดาผู้ชายที่โอหังได้พูดกับเยเรมีย์ว่า "ท่านพูดมุสา พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรามิได้ใช้ท่านให้มาพูดว่า 'อย่าไปอียิปต์ที่จะอาศัยอยู่ที่นั่น'
3 แต่บารุคบุตรเนริยาห์ ได้ยุท่านให้ต่อสู้กับเรา เพื่อจะมอบเราไว้ในมือของคนเคลเดีย เพื่อเขาทั้งหลายจะได้ฆ่าเราหรือกวาด เราไปเป็นเชลยในบาบิโลน"
4 โยฮานันบุตรคาเรอาห์และบรรดาหัวหน้าของ กองทหารและประชาชนทั้งสิ้นไม่เชื่อฟังพระสุรเสียง ของพระเจ้าที่จะอาศัยอยู่ในแผ่นดินยูดาห์
5 แต่โยฮานันบุตรคาเรอาห์ และบรรดาผู้หัวหน้าของกองทหาร ได้พาคนยูดาห์ที่เหลืออยู่ไป คือผู้ซึ่งกลับมาอยู่ในแผ่นดินยูดาห์ จากบรรดาประชาชาติที่เขาถูกขับไล่ให้ไปอยู่นั้น
6 คือพวกผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก บรรดาธิดา และทุกคนซึ่งเนบูซาระดานผู้บัญชา การทหารรักษาพระองค์ได้เหลือไว้ให้แก่เกดาลิยาห์ บุตรอาหิคัมผู้เป็นบุตรชาฟาน ทั้งเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะ และบารุคบุตรเนริยาห์
7 และเขาทั้งหลายได้มายังแผ่นดินอียิปต์ เพราะเขาทั้งหลายไม่เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า และเขาก็มาถึงนครทาปานเหส
8 แล้วพระวจนะของพระเจ้ามายังเยเรมีย์ใน นครทาปานเหสว่า
9 "จงถือก้อนหินใหญ่ๆไว้ จงซ่อนไว้ที่ในปูนสอที่ทางเดิน ซึ่งอยู่ที่ทางเข้าไปสู่พระราชวัง ของฟาโรห์ในนครทาปานเหสต่อหน้าต่อตาคนยูดาห์
10 และจงกล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า 'พระเจ้าจอมโยธาพระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะใช้และนำเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลน ผู้รับใช้ของเรา และท่านจะตั้งพระที่นั่งของท่านเหนือหินเหล่านี้ ซึ่งเราได้ซ่อนไว้ และท่านจะกางพลับพลาหลวงของท่านเหนือหินเหล่านี้
11 ท่านจะมาโจมตีแผ่นดินอียิปต์ มอบผู้ที่กำหนดให้เกิดโรคระบาดแก่โรคระบาด ผู้ถูกกำหนดให้เป็นเชลยแก่การเป็นเชลย และผู้ที่ถูกกำหนดให้ถูกดาบให้แก่ดาบ
12 และท่านจะก่อไฟในวิหารของพระแห่งอียิปต์ และท่านจะเผาเสียและเก็บไปเป็นเชลย และจะชำระแผ่นดินอียิปต์เหมือนผู้เลี้ยงแกะชำระเสื้อคลุมให้หมดตัวเหา และท่านจะไปเสียจากที่นั่นด้วยสวัสดิภาพ
13 ท่านจะหักเสาศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองเฮลีโอบุรีเสีย และท่านจะเอาไฟเผาวิหารของพระแห่งอียิปต์เสีย"

เยเรมีย์ 44

1 พระวจนะที่มายังเยเรมีย์เกี่ยวด้วยบรรดา ยิวที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินอียิปต์ที่มิกดล ที่ทาปานเหส ที่เมมฟิส และในแผ่นดินปัทโรสว่า
2 "พระเจ้าจอมโยธาพระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า เจ้าทั้งหลายได้เห็นบรรดาเหตุร้ายที่เรานำมาเหนือ กรุงเยรูซาเล็มและเหนือหัวเมืองยูดาห์ทั้งสิ้น ดูเถิด ทุกวันนี้เมืองเหล่านั้นก็เป็นที่ร้างเปล่า ไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่ในนั้น
3 เพราะความอธรรมซึ่งเขาทั้งหลายได้ กระทำได้ยั่วเย้าเราให้มีความโกรธ ด้วยการที่เขาทั้งหลายไปเผาเครื่องหอม และปรนนิบัติพระอื่นซึ่งเขาไม่รู้จัก ไม่ว่าเขาเอง หรือเจ้าทั้งหลายหรือบรรพบุรุษของเจ้า
4 อย่างไรก็ดีเราได้ใช้บรรดาผู้รับใช้ของเรา คือผู้เผยพระวจนะมายังเจ้าอย่างไม่หยุดหย่อนกล่าวว่า 'โธ่เอ๋ย อย่ากระทำสิ่งอันน่าเกลียดนี้ ซึ่งเราเกลียดชัง'
5 แต่เขาไม่ฟังหรือเงี่ยหูฟัง เพื่อจะหันกลับจากความชั่วร้ายของเขาและไม่ เผาเครื่องหอมแก่พระอื่น
6 เพราะฉะนั้น เราจึงได้เทความพิโรธและความโกรธของเราออก ให้พลุ่งขึ้นในหัวเมืองยูดาห์และในถนนหนทางของกรุงเยรูซาเล็ม และเมืองเหล่านั้นก็กลายเป็นที่ทิ้งร้างและ ที่ร้างเปล่าอย่างทุกวันนี้
7 และบัดนี้พระเยโฮวาห์พระเจ้าจอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ทำไมเจ้าทั้งหลายจึงทำความชั่วร้ายนี้แก่ตัวเจ้าเอง และตัดเอาผู้ชายผู้หญิงทั้งทารกและเด็กเสียจากเจ้า เสียจากท่ามกลางยูดาห์ ไม่มีชนที่เหลืออยู่ไว้แก่เจ้าเลย
8 ทำไมเจ้าทั้งหลายจึงยั่วเย้าเราให้โกรธ ด้วยการที่มือของเจ้ากระทำด้วยการเผา เครื่องหอมให้แก่พระอื่น ในแผ่นดินอียิปต์ที่ที่เจ้ามาอยู่นั้น เพื่อเจ้าจะต้องถูกตัดออกและเป็นที่สาปแช่งและเป็นขี้ปากท่ามกลางบรรดาประชาชาติแห่งแผ่นดินโลก
9 เจ้าได้ลืมความอธรรมของบรรพบุรุษของเจ้า ความอธรรมของบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์ บรรดาความอธรรมของนางสนมและมเหสีของเขาทั้งหลาย ความอธรรมของเจ้าเอง และความอธรรมของภรรยาของเจ้า ซึ่งเขาทั้งหลายได้กระทำในแผ่นดินยูดาห์และในถนน หนทางของกรุงเยรูซาเล็มเสียแล้วหรือ
10 แม้กระทั่งวันนี้แล้วเขาทั้งหลายก็ยังมิได้ถ่อมตัวลง หรือเกรงกลัวหรือดำเนินตามพระธรรมหรือตามกฎหมายของเรา ซึ่งเราให้มีไว้หน้าเจ้าทั้งหลายและหน้าบรรพบุรุษของเจ้า
11 "เพราะฉะนั้น พระเจ้าจอมโยธาพระเจ้าอิสราเอล จึงตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะมุ่งหน้าของเราต่อสู้เจ้าหมายลงโทษ จะตัดยูดาห์ออกเสียให้สิ้น
12 เราจะเอาชนยูดาห์ที่เหลืออยู่ ผู้ซึ่งมุ่งหน้ามาที่แผ่นดินอียิปต์เพื่อจะอาศัยอยู่นั้น และเขาทั้งหลายจะถูกผลาญเสียหมด เขาจะล้มลงในแผ่นดินอียิปต์ เขาจะถูกผลาญด้วยดาบ และด้วยการกันดารอาหาร ตั้งแต่คนเล็กน้อยที่สุดจนถึงคนใหญ่โตที่สุด เขาทั้งหลายจะตายด้วยดาบและด้วยการกันดารอาหาร และเขาจะกลายเป็นคำสาป เป็นที่น่าหวาดเสียว เป็นคำแช่งและเป็นขี้ปาก
13 เราจะต้องลงโทษคนเหล่านั้น ผู้อาศัยอยู่ในแผ่นดินอียิปต์ ดังที่เราลงโทษกรุงเยรูซาเล็มด้วยดาบ ด้วยการกันดารอาหาร และด้วยโรคระบาด
14 จนคนยูดาห์ที่เหลืออยู่ ผู้ซึ่งมาอาศัยในแผ่นดินอียิปต์นั้นจะไม่รอดพ้น หรือเหลือกลับไปยังแผ่นดินยูดาห์ ที่ซึ่งเขาปรารถนาจะกลับไปอาศัยอยู่ เพราะว่าเขาจะไม่ได้กลับไป นอกจากผู้ลี้ภัยบางคน"
15 แล้วบรรดาผู้ชาย ผู้รู้ว่าภรรยาของตัวได้ถวายเครื่องหอมแก่พระอื่น และบรรดาผู้หญิงที่ยืนอยู่ใกล้เป็นที่ชุมนุมใหญ่ คือบรรดาประชาชนผู้อาศัยในปัทโรส ในแผ่นดินอียิปต์ได้ตอบเยเรมีย์ว่า
16 "สำหรับถ้อยคำซึ่งท่านได้บอกแก่เรา ในพระนามของพระเจ้านั้น เราจะไม่ฟังท่าน
17 แต่เราจะกระทำทุกสิ่งที่เราได้บนไว้ คือเผาเครื่องหอมถวายเจ้าแม่แห่งฟ้าสวรรค์ และเทเครื่องดื่มถวายแก่พระนางเจ้า ดังที่เราได้กระทำ ทั้งพวกเราและบรรพบุรุษของเรา บรรดากษัตริย์และ เจ้านายของเรา ในหัวเมืองยูดาห์และในถนนหนทางกรุงเยรูซาเล็ม ทำอย่างนั้นแล้วเราจึงมีอาหารบริบูรณ์และอยู่เย็นเป็นสุข และไม่เห็นเคราะห์ร้ายอย่างใด
18 ตั้งแต่เรางดการเผาเครื่องหอมแห่งเจ้าฟ้าสวรรค์ และเทเครื่องดื่มถวายแก่พระนางเจ้า เราก็ขัดสนทุกอย่าง และถูกผลาญด้วยดาบและด้วยการกันดารอาหาร"
19 และพวกผู้หญิงกล่าวว่า "เมื่อเราเผาเครื่องหอมถวายเจ้าแม่แห่งเจ้าฟ้าสวรรค์ และเทเครื่องดื่มถวายแก่พระนางเจ้า ที่เราได้ทำขนมพิมพ์รูปพระนางเจ้าถวาย และที่ได้เทเครื่องดื่มถวายแก่พระนางเจ้านั้น เรากระทำนอกเหนือความเห็นชอบของสามีของเราหรือ"
20 แล้วเยเรมีย์ได้ตอบบรรดาประชาชน ทั้งพวกผู้ชายและผู้หญิง คือประชาชนทั้งปวงผู้ให้คำตอบแก่ท่านว่า
21 "สำหรับเครื่องหอมที่ท่านได้เผาถวายในหัวเมืองยูดาห์ และในถนนหนทางกรุงเยรูซาเล็ม ทั้งตัวท่านบรรพบุรุษของท่าน บรรดาพระราชาและเจ้านายของท่านและราษฎร พระเจ้ามิได้ทรงจดจำไว้ดอกหรือ พระองค์ไม่ได้ ทรงนึกถึงหรือ
22 พระเจ้าจะทรงทนต่อการกระทำอันชั่วร้ายของท่าน และการอันน่าเกลียดซึ่งท่านได้กระทำนั้นต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว เพราะฉะนั้น แผ่นดินของท่านจึงได้กลายเป็นที่ร้างเปล่าและที่ทิ้งร้าง และเป็นที่สาปแช่ง ปราศจากคนอาศัยดังทุกวันนี้
23 เพราะว่าท่านได้เผาเครื่องหอม และเพราะว่าท่านได้กระทำบาปต่อพระเจ้า และไม่เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า หรือดำเนินตามพระธรรมของพระองค์ตามกฎหมายของพระองค์ และตามพระโอวาทของพระองค์ โทษนี้จึงได้ตกแก่ท่าน ดังทุกวันนี้"
24 เยเรมีย์ได้กล่าวแก่ประชาชนทั้งสิ้นและแก่ พวกผู้หญิงทั้งสิ้นว่า "บรรดาท่านทั้งหลายแห่งยูดาห์ผู้อยู่ในแผ่นดินอียิปต์ จงฟังพระวจนะของพระเจ้า
25 พระเจ้าจอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ตัวเจ้าและภรรยาของเจ้าได้ยืนยันด้วยปากของเจ้าทั้งหลายเอง และได้กระทำด้วยมือของเจ้าทั้งหลายให้สำเร็จ กล่าวว่า 'เราจะแก้บนของเราซึ่งเราได้บนไว้แน่นอน คือเผาเครื่องหอมถวายราชินีแห่งฟ้าสวรรค์ และเทเครื่องดื่มถวายแก่พระนางเจ้า' แล้วก็ดำรงการบนของเจ้าและแก้บนของเจ้า
26 เพราะฉะนั้นบรรดาเจ้าทั้งหลายแห่งยูดาห์ ผู้อยู่ในแผ่นดินอียิปต์ จงฟังพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด เราได้ปฏิญาณโดยชื่อใหญ่ยิ่งของเราว่า ปากของคนใดแห่งยูดาห์ตลอดทั่วแผ่นดินอียิปต์จะไม่ออก ชื่อของเรา โดยกล่าวว่า 'พระเยโฮวาห์เจ้าทรงพระชนม์อยู่ตราบใด'
27 ดูเถิด เราคอยดูอยู่เพื่อให้ลงโทษ มิใช่ความดี ชนยูดาห์ทั้งสิ้นผู้อยู่ในแผ่นดินอียิปต์จะถูกผลาญเสียด้วยดาบ และด้วยการกันดารอาหาร จนกว่าจะถึงที่สุดของเขา
28 และบรรดาผู้ที่หนีพ้นดาบจะกลับจากแผ่นดิน อียิปต์ไปยังแผ่นดินยูดาห์ มีจำนวนน้อย และคนยูดาห์ที่เหลืออยู่ทั้งสิ้น ซึ่งมาอาศัยอยู่ที่แผ่นดินอียิปต์ จะทราบว่าคำของใครจะยั่งยืน เป็นคำของเขาหรือคำของเราทั้งหลาย
29 พระเจ้าตรัสว่านี่จะเป็นหมายสำคัญแก่เจ้า คือเราจะลงโทษเจ้าในที่นี้เพื่อเจ้าจะได้ทราบว่า คำของเราจะตั้งมั่นคงอยู่ต่อเจ้าเป็นโทษเป็นแน่
30 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะมอบฟาโรห์โฮฟรา กษัตริย์แห่งอียิปต์ไว้ในมือศัตรูของเขา และในมือของคนเหล่านั้นที่แสวงหาชีวิตของเขา ดังที่เราได้มอบกษัตริย์แห่งยูดาห์ไว้ในมือของ เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน ผู้ซึ่งเป็นศัตรูของเขาและแสวงหาชีวิตของเขา"

เยเรมีย์ 45
1 ถ้อยคำซึ่งเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะบอกแก่บารุคบุตรเนริยาห์ เมื่อเขาเขียนถ้อยคำเหล่านี้ลงในหนังสือตามคำบอก ของเยเรมีย์ ในปีที่สี่แห่งรัชกาล เยโฮยาคิม ราชบุตรของโยสิยาห์ กษัตริย์แห่งยูดาห์ว่า
2 "บารุคเอ๋ย พระเยโฮวาห์พระเจ้า แห่งอิสราเอลตรัสแก่ท่านดังนี้ว่า
3 เจ้าว่า 'วิบัติแก่ข้า เพราะพระเจ้าทรงเพิ่มความทุกข์เข้าที่ความเจ็บของข้า ข้าก็เหน็ดเหนื่อยด้วยการคร่ำครวญของข้า ข้าไม่ประสบความสงบเลย'
4 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เจ้าจงบอกเขาว่า ดูเถิด สิ่งใดที่เราก่อสร้างขึ้นเราจะทำลายลง และสิ่งใดที่เราได้ปลูกเราจะถอนขึ้นคือแผ่นดินทั้งหมด
5 และเจ้าจะหาสิ่งใหญ่โตเพื่อตัวเองหรือ อย่าหามันเลย เพราะพระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด เราจะนำเหตุร้ายมาเหนือมนุษย์ทั้งสิ้น แต่เราจะให้ชีวิตของเจ้าแก่เจ้าเป็นบำเหน็จ แห่งการสงครามในทุกสถานที่ที่เจ้าจะไป"

เยเรมีย์ 46
1 พระวจนะของพระเจ้าซึ่งมายังเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะ เกี่ยวด้วยเรื่องบรรดาประชาชาติ
2 เรื่องอียิปต์เกี่ยวด้วยกองทัพของฟาโรห์เนโค กษัตริย์แห่งอียิปต์ซึ่งอยู่ที่ริมแม่น้ำยูเฟรติสที่เมืองคารเคมิช และซึ่งเนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้โจมตีแตกในปีที่สี่แห่งรัชกาล เยโฮยาคิมราชบุตรของโยสิยาห์ กษัตริย์แห่งยูดาห์ว่า
3 จงเตรียมเขนและโล่ และประชิดเข้าสงคราม
4 จงผูกอานม้า พลม้าเอ๋ย จงขึ้นมาเถิด จงสวมหมวกของเจ้าเข้าประจำที่ จงขัดหอกของเจ้า จงสวมเสื้อเกราะของเจ้าไว้
5 ทำไมเราเห็นเขาทั้งหลายครั่นคร้าม และหันหลังกลับ นักรบของเขาทั้งหลายถูกตีล้มลงและได้เร่งหนีไป เขาทั้งหลายไม่เหลียวกลับ ความสยดสยองอยู่ทุกด้านพระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
6 คนเร็วก็หนีไปไม่ได้ นักรบก็หนีไปไม่รอด เขาทั้งหลายได้สะดุดและล้มลง ในแดนเหนือข้างแม่น้ำยูเฟรติส
7 "นี่ใครนะ โผล่ขึ้นมาดั่งแม่น้ำไนล์ เหมือนแม่น้ำซึ่งน้ำของมันซัดขึ้น
8 อียิปต์โผล่ขึ้นมาอย่างแม่น้ำไนล์ เหมือนแม่น้ำของมันซัดขึ้น เขาว่า ข้าจะขึ้น ข้าจะคลุมโลก ข้าจะทำลายหัวเมืองและชาวเมืองนั้นเสีย
9 ม้าทั้งหลายเอ๋ย รุดหน้าไปเถิด รถรบทั้งหลายเอ๋ย เดือดดาลเข้าเถิด จงให้นักรบออกไป คือเอธิโอเปียและคนพูตผู้ถือโล่ คนลูด นักถือและโก่งธนู
10 วันนั้นเป็นวันแห่งพระเจ้าจอมโยธา เป็นวันแห่งการแก้แค้น ที่จะแก้แค้นศัตรูของพระองค์ ดาบจะกินจนอิ่ม และดื่มโลหิตของเขาจนเต็มคราบ เพราะองค์สมเด็จพระเจ้าจอมโยธา ทำการบูชา ในแดนเหนือข้างแม่น้ำยูเฟรติส
11 ธิดาพรหมจารีแห่งอียิปต์เอ๋ย จงขึ้นไปที่กิเลอาด และไปเอาพิมเสน เจ้าได้ใช้ยาเป็นอันมากแล้ว และก็ไร้ผล สำหรับเจ้านั้นรักษาไม่หาย
12 บรรดาประชาชาติได้ยินถึงความอายของเจ้า และโลกก็เต็มด้วยเสียงคร่ำครวญของเจ้า เพราะว่านักรบสะดุดกัน เขาทั้งหลายได้ล้มลงด้วยกัน"
13 พระวจนะซึ่งพระเจ้าตรัสกับเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะ เรื่องการมาของเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลน เพื่อจะโจมตีแผ่นดินอียิปต์ว่า
14 "จงประกาศในอียิปต์ และป่าวร้องในมิกดล จงป่าวร้องในเมมฟิส และทาปานเหส จงกล่าวว่า 'ยืนให้พร้อมไว้และเตรียมตัวพร้อม เพราะว่าดาบจะกินอยู่รอบตัวเจ้า
15 ทำไมพระอะบิสจึงหนีเสียเล่า ทำไมรูปวัวผู้ของเจ้าไม่ยืนมั่นอยู่ เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงผลักเขาล้มลง
16 ฝูงชนของเจ้าก็สะดุดและล้มลง และเขาทั้งหลายพูดแก่กันและกันว่า 'ลุกขึ้นเถอะ ให้เรากลับไปยังชนชาติของเรา ไปยังแผ่นดินที่เราถือกำเนิด เพราะเรื่องดาบของผู้บีบบังคับ'
17 จงเรียกชื่อฟาโรห์ กษัตริย์แห่งอียิปต์ว่า 'ผู้อึกทึก ผู้ปล่อยให้โอกาสผ่านไป'
18 "พระบรมมหากษัตริย์ ผู้ซึ่งพระนามของพระองค์ คือ พระเยโฮวาห์จอมโยธา ตรัสว่า "เรามีชีวิตอยู่ตราบใดจะมีผู้หนึ่งมา เหมือนภูเขาทาโบร์ท่ามกลางภูเขาทั้งหลาย และเหมือนภูเขาคารเมลข้างทะเล
19 ชาวอียิปต์เอ๋ย จงเตรียมข้าวของสำหรับตัวเจ้า เพื่อการถูกกวาดไปเป็นเชลย เพราะว่าเมืองเมมฟิสจะกลายเป็นที่ทิ้งร้าง เป็นที่ปรักหักพัง ปราศจากผู้อาศัย
20 "อียิปต์เป็นโคสาวตัวงาม แต่ตัวเหลือบจากทิศเหนือมาจับเธอ
21 แม้ว่าทหารที่จ้างมาที่อยู่ท่ามกลางเธอ ก็เหมือนลูกโคที่ได้ขุนไว้ เออ เขาทั้งหลายหันกลับและหนีไปด้วยกัน เขาทั้งหลายไม่ต่อต้าน เพราะวันแห่งภัยพิบัติได้มาเหนือเขาทั้งหลาย เป็นเวลาแห่งการลงโทษเขา
22 "เธอทำเสียงเหมือนงูที่กำลังเลื้อยออกไป เพราะศัตรูของเธอเดินกระบวนเข้ามาด้วยกำลังทัพ และมาสู้กับเธอด้วยขวาน เหมือนอย่างคนเหล่านั้นที่โค่นต้นไม้
23 พระเจ้าตรัสว่า เขาทั้งหลายจะโค่นป่าของเธอลง แม้ว่าป่านั้นใครจะเข้าไปไม่ได้ เพราะว่าพวกเขาทั้งหลายมีจำนวนมากกว่าตั๊กแตน นับไม่ถ้วน
24 ธิดาของอียิปต์จะถูกกระทำให้ได้อาย เธอจะถูกมอบไว้ในมือของชนชาติหนึ่งจากทิศเหนือ"
25 พระเจ้าจอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสว่า "ดูเถิด เราจะนำการลงโทษมาเหนือพระอาโมนแห่ง เธเบสและฟาโรห์ และอียิปต์และบรรดาพระและกษัตริย์ทั้งปวงของ เมืองนั้นลงเหนือฟาโรห์และคนเหล่านั้นก็วางใจในท่าน
26 เราจะมอบเขาทั้งหลายไว้ในมือของบรรดาผู้ ที่แสวงหาชีวิตของเขาในมือของเนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์แห่งบาบิโลน และข้าราชการของท่านพระเจ้าตรัสว่า ภายหลังอียิปต์จึงจะมีคนอาศัยอยู่อย่างสมัยก่อน
27 ยาโคบ ผู้รับใช้ของเราเอ๋ย อย่ากลัวเลย หรืออิสราเอลเอ๋ย อย่าครั่นคร้ามเลย เพราะนี่แน่ะ เราจะช่วยเจ้าให้รอดได้จากที่ไกล และช่วยลูกหลานของเจ้าจากแผ่นดินที่เขาเป็นเชลย ยาโคบจะกลับมาและมีความสงบและความสบาย และไม่มีผู้ใดกระทำให้เขากลัว
28 พระเจ้าตรัสว่า ยาโคบ ผู้รับใช้ของเราเอ๋ย อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า เราจะกระทำให้บรรดาประชาชาติทั้งสิ้น มาถึงซึ่งอวสาน คือประชาชาติที่เราได้ขับเจ้าให้ไปอยู่นั้น แต่ส่วนเจ้าเราจะไม่กระทำให้ถึงอวสานทีเดียว เราจะตีสอนเจ้าตามขนาด เราจะไม่ปล่อยให้เจ้าไม่ถูกทำโทษเป็นอัน ขาด"

เยเรมีย์ 47
1 พระวจนะของพระเจ้าซึ่งมายังเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะ เกี่ยวด้วยเรื่องฟีลิสเตีย ก่อนที่ฟาโรห์โจมตีเมืองกาซา
2 "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด น้ำทั้งหลายกำลังขึ้นมาจากทิศเหนือ และจะกลายเป็นกระแสน้ำท่วม มันจะท่วมแผ่นดินและสารพัดซึ่งอยู่ในนั้น ทั้งเมืองและผู้ที่อาศัยอยู่ในเมือง คนจะร้องร่ำไร และชาวแผ่นดินนั้นทุกคนจะคร่ำครวญ
3 เมื่อได้ยินเสียงกีบม้าพันธุ์ตัวผู้ของเขากระทืบ และเสียงรถรบของเขากรูกันมา และเสียงล้อรถดังกึกก้อง พวกพ่อก็มิได้หันกลับมาดูลูกทั้งหลายของตน เพราะมือของเขาอ่อนเปลี้ยเต็มทีแล้ว
4 เพราะวันที่จะมาถึงซึ่งจะทำลายฟีลิสเตียทั้งสิ้น ซึ่งจะตัดจากเมืองไทระและเมืองไซดอน ผู้อุปถัมภ์ทุกคนที่เหลืออยู่ เพราะพระเจ้าจะทรงทำลายคนฟีลิสเตีย คือชาวชายทะเลแถบคัฟโทร์ที่เหลืออยู่นั้น
5 เมืองกาซาก็ล้านเลี่ยน และเมืองอัชเคโลนก็พินาศ คนอานาคที่เหลืออยู่เอ๋ย เจ้าจะเชือดเนื้อเถือหนังของเจ้าอีกนานเท่าใด
6 ดาบแห่งพระเจ้า เจ้าข้า อีกนานเท่าไรท่านจึงจะหยุด จงสอดตัวเข้าไว้ในฝักเสียเถิด จงหยุดพักและอยู่นิ่งๆเสียที
7 เมื่อพระเจ้าทรงกำชับ มันจะหยุดได้อย่างไรเล่า พระเจ้าทรงแต่งตั้งให้ดาบนั้น ต่อสู้อัชเคโลนและต่อสู้ชายทะเล"

เยเรมีย์ 48

1 เกี่ยวด้วยเรื่องโมอับพระเจ้าจอมโยธาพระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า วิบัติแก่เนโบ เพราะเป็นที่ถูกทิ้งร้าง คีริยาธาอิมได้อาย มันถูกยึดแล้ว ป้อมปราการก็ได้อายและพังลง
2 ไม่มีการสรรเสริญโมอับอีก แล้วในเมืองเฮชโบนนั้นเขาปองร้ายเข้าต่อสู้กับโมอับว่า 'มาเถอะ ให้เราตัดมันออกเสียอย่าให้เป็นประชาชาติ' เมืองมัดเมนเอ๋ย เจ้าก็จะถูกกระทำให้เงียบเหมือนกัน ดาบจะไล่ติดเจ้าไป
3 "ฟังซิ มีเสียงร้องมาแต่โฮโรนาอิมว่า 'การล้างเปล่าและการทำลายอย่างใหญ่หลวง'
4 เมืองโมอับถูกทำลายเสียแล้ว ได้ยินเสียงร้องให้ช่วย จนถึงเมืองโศอาร์
5 เพราะเขาทั้งหลายขึ้นไปร้องไห้ ที่ทางขึ้นเมืองลูฮีท เพราะเขาได้ยินเสียงร้องไห้ เพราะการทำลาย ที่ทางลงจากเมืองโฮโรนาอิม
6 หนีเถิด เอาตัวรอดเถิด จะเป็นเหมือนลาป่าที่ในถิ่นทุรกันดาร
7 เพราะว่าเจ้าได้วางใจ ในที่กำบังเข้มแข็งและในทรัพย์สมบัติของเจ้า เจ้าจะต้องถูกยึดด้วย และพระเคโมชจะต้องถูกกวาดไปเป็นเชลย พร้อมกับปุโรหิตและเจ้านายของเขา
8 ผู้ทำลายจะมาเหนือเมืองทุกเมือง และไม่มีเมืองใดจะรอดพ้นไปได้ ที่ลุ่มจะต้องพินาศ และที่ราบจะต้องถูกทำลาย ดังที่พระเจ้าทรงลั่นพระวาจาไว้
9 "จงให้ปีกแก่โมอับ เพื่อว่ามันจะบินไปเสีย หัวเมืองของมันจะกลายเป็นที่ถูกสาป ไม่มีคนอาศัยอยู่ในนั้นเลย
10 "ผู้ใดกระทำงานของพระเจ้าอย่างอืดอาด ผู้นั้นก็ถูกสาป ผู้ที่กันไม่ให้ดาบของตนกระทำให้โลหิตตก ผู้นั้นจะถูกสาป
11 "โมอับสบายตั้งแต่หนุ่มๆมา และได้ตกตะกอน มันไม่ได้ถูกถ่ายออกจากภาชนะนี้ไปภาชนะนั้น หรือต้องถูกกวาดไปเป็นเชลย ดังนั้น รสจึงยังอยู่ในนั้น และกลิ่นก็ไม่เปลี่ยนแปลง
12 พระเจ้าตรัสว่า "เพราะฉะนั้น ดูเถิด วันเวลาจะมาถึง เมื่อเราจะส่งผู้ถ่ายเทมาให้เขาเพื่อถ่ายเทเขา และเทภาชนะของเขาให้เกลี้ยง และทุบไหของเขาให้แตกเป็นชิ้นๆ
13 แล้วโมอับก็จะได้อายเพราะพระเคโมช อย่างที่ประชาอิสราเอลได้อายเพราะเบธเอล อันเป็นที่วางใจของเขา
14 "เจ้าว่าอย่างไรได้ว่า 'เราเป็นพวกวีรชนและทแกล้วทหาร'
15 ผู้ทำลายเมืองโมอับและหัวเมืองของมันมาถึงแล้ว และคนหนุ่มๆที่เก่งที่สุดของเมืองก็ลงไปสู่การถูกฆ่า พระบรมมหากษัตริย์ผู้ทรงพระนามว่า พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้แหละ
16 ภัยพิบัติของโมอับอยู่ใกล้แค่คืบแล้ว และความทุกข์ใจของเขาก็เร่งก้าวเข้ามา
17 บรรดาท่านที่อยู่รอบเขา จงเสียใจด้วยเขาเถิด ทั้งคนที่รู้จักชื่อเขาด้วย จงกล่าวว่า 'ไม้ธารพระกรอันทรงฤทธิ์หักเสียแล้ว คือคทาอันรุ่งโรจน์นั้น'
18 ชาวเมืองดีโบนเอ๋ย จงลงมาจากศักดิ์ศรีของเจ้า และนั่งบนดินที่แตกระแหง เพราะผู้ทำลายโมอับได้มาสู้กับเจ้า เขาได้ทำลายที่กำบังเข้มแข็งของเจ้าแล้ว
19 ชาวเมืองอาโรเออร์เอ๋ย จงยืนเฝ้าอยู่ข้างทาง จงถามผู้ชายที่หนีมาและผู้หญิงที่รอดพ้นมา ว่า 'เกิดเรื่องอะไรขึ้น'
20 โมอับถูกกระทำให้ได้อาย เพราะมันแตกเสียแล้ว คร่ำครวญและร้องร่ำไรอยู่ จงบอกแถวแม่น้ำอารโนนว่า โมอับถูกทิ้งร้างเสียแล้ว
21 "การพิพากษาได้ตกเหนือที่ราบเหนือโฮโลน และยาซาห์และเมฟาอาท
22 และดีโบนและเนโบ และเบธดิบลาธาอิม
23 และคีริยาธาอิม และเบธกามุล และเบธเมโอน
24 และเคริโอทและโบสราห์ และหัวเมืองทั้งสิ้นของแผ่นดินโมอับ ทั้งไกลและใกล้
25 พระเจ้าตรัสว่า ศักดิ์ของโมอับถูกตัดออกแล้ว และแขนของมันก็หักไป
26 "จงทำให้เขามึนเมา เพราะว่าเขาได้พองตัวขึ้นต่อพระเจ้า เพราะฉะนั้นโมอับจะต้องกลิ้งเกลือกอยู่ในอาเจียนของตัว และเขาจะถูกเยาะเย้ยด้วย
27 อิสราเอลไม่ถูกเจ้าเยาะเย้ยหรือ ไปพบเขาท่ามกลางโจรหรือ เมื่อเจ้าพูดถึงเขา เจ้าจึงสั่นศีรษะ
28 "ชาวเมืองโมอับเอ๋ย จงออกเสียจากหัวเมือง ไปอาศัยอยู่ในหิน จงเป็นเหมือนนกพิราบ ซึ่งทำรังอยู่ที่ข้างปากซอก
29 เราได้ยินถึงความเห่อเหิมของโมอับ เขาเห่อเหิมมาก ได้ยินถึงความยโส ความเห่อเหิมของเขา และความจองหองของเขา และถึงความยกตนข่มท่านในใจของเขา
30 พระเจ้าตรัสว่า เรารู้ความโอหังของเขา ความโอ้อวดของเขาเป็นความเท็จ การกระทำทั้งหลายของเขาก็ไม่เป็นความจริง
31 เพราะฉะนั้น เราจึงคร่ำครวญเพื่อโมอับ เราร้องร่ำไรเพื่อโมอับทั้งมวล เราโอดครวญเพื่อคนของคีร์เฮเรส
32 เถาองุ่นแห่งสิบมาห์เอ๋ย เราร้องไห้เพื่อเจ้ามากกว่าเพื่อยาเซอร์ กิ่งทั้งหลายของเจ้ายื่นข้ามทะเล จนถึงยาเซอร์ ผู้ทำลายได้โจมตี ผลไม้ฤดูร้อนและการเก็บองุ่นของเจ้า
33 ความยินดีและความชื่นบานได้ถูกกวาดออกไปเสีย จากเรือกสวนไร่นาและแผ่นดินของโมอับ เราได้กระทำให้เหล้าองุ่นหยุดไหลจากบ่อย่ำองุ่น ไม่มีคนย่ำด้วยเสียงโห่ร้องเพราะความชื่นบาน เสียงโห่ร้องนั้นไม่ใช่เสียงโห่ร้องแห่งความชื่นบาน
34 "เมืองเฮชโบนและเมืองเอเลอาเลห์ได้ร้องร่ำไร เขาทั้งหลายส่งเสียงร้องไกลถึงเมืองยาฮาสจากโศอาร์ ถึงโฮโรนาอิม และเอกลัทเชลีชิยาห์เพราะน้ำทั้งหลายแห่ง นิมริมก็ร้างเปล่าด้วย
35 พระเจ้าตรัสว่า เราจะนำอวสานมาสู่ผู้ที่ถวายเครื่องบูชาในปูชนียสถานสูง และเผาเครื่องหอมถวายพระของเขาในโมอับ
36 เพราะฉะนั้น ใจของเราจึงโอดครวญเพื่อโมอับเหมือนอย่างปี่ และใจของเราโอดครวญเหมือนปี่เพื่อคนเมืองคีร์เฮเรส เพราะฉะนั้น ทรัพย์สมบัติที่เขาได้มาก็ได้พินาศ
37 "ทุกศีรษะก็ถูกโกนและทุกเคราก็ถูกตัด บนมือทั้งปวงก็มีรอยเชือดเฉือน และมีผ้ากระสอบที่บั้นเอว
38 บนหลังคาเรือนทั้งสิ้นของโมอับและตามบรรดาลานเมือง มีแต่เสียงโอดครวญทั่วไป เพราะเราทุบโมอับเหมือนเราทุบภาชนะที่เราไม่ต้องการ พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
39 โมอับแตกแล้วหนอ เขาทั้งหลายคร่ำครวญจริงๆหนอ โมอับหันหลังกลับด้วยความอับอายแล้วหนอ ดังนั้นแหละโมอับได้กลายเป็นที่เยาะเย้ย และเป็นที่หวาดเสียวแก่บรรดาผู้ที่อยู่ล้อมรอบเขา"
40 เพราะพระเจ้าตรัสว่า "ดูเถิด ผู้หนึ่งโฉบลงเหมือนนกอินทรี และกางปีกออกสู้โมอับ
41 เขาจะเอาหัวเมืองไป และที่กำบังเข้มแข็งจะถูกยึด จิตใจของบรรดานักรบแห่งโมอับในวันนั้น จะเหมือนจิตใจของผู้หญิงซึ่งกำลังเจ็บครรภ์คลอดบุตร
42 โมอับจะถูกทำลายและไม่เป็นชนชาติหนึ่งอีกต่อไป เพราะว่าเขาพองตัวขึ้นต่อพระเจ้า
43 พระเจ้าตรัสว่า ชาวเมืองโมอับเอ๋ย ความสยดสยอง หลุมพรางและกับ อยู่ต่อหน้าเจ้า
44 ผู้ใดที่หนีจากความสยดสยอง จะตกหลุมพราง และผู้ที่ปีนออกมาจากหลุมพรางก็จะติดกับ เพราะเราจะนำสิ่งเหล่านี้มาเหนือโมอับ ในปีแห่งการลงโทษเขา พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
45 "ผู้ลี้ภัยได้ไปยืนอยู่อย่างหมดแรง ที่ในเงาเมืองเฮชโบน เพราะว่าไฟได้ออกมาจากเฮชโบน เปลวไฟได้ออกมาจากเรือนสิโหน มันทำลายหน้าผากของโมอับ กระหม่อมของบรรดาบุตรแห่งความอลเวง
46 โมอับเอ๋ย วิบัติแก่เจ้า ชนชาติแห่งพระเคโมชกำลังวอดวายอยู่แล้ว เพราะบรรดาบุตรชายของเจ้าถูกจับไปเป็นเชลย และบุตรีของเจ้าก็เข้าในความเป็นเชลย
47 แต่เรายังจะให้โมอับ กลับสู่สภาพเดิมในกาลต่อไป พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ" เท่านี้เป็นข้อพิพากษาโมอับ

เยเรมีย์ 49
1 เกี่ยวด้วยเรื่องคนอัมโมนพระเจ้าตรัสว่า "อิสราเอลไม่มีบุตรหรือ เขาไม่มีทายาทหรือ แล้วทำไมพระมิลโคมจึงเข้ายึดกาด และประชาชนของพระนั้นที่ตั้งอยู่ใน หัวเมืองของกาดเหล่านั้น
2 พระเจ้าตรัสว่า เพราะฉะนั้น ดูเถิด วันเวลาจะมาถึง เมื่อเราจะกระทำให้ได้ยินเสียงสัญญาณสงคราม สู้กับนครรับบาห์ของคนอัมโมน มันจะกลายเป็นกองซากเมืองที่ร้างเปล่า และชนบทของเมืองนั้นจะถูกเผาเสียด้วยไฟ แล้วอิสราเอลจะเข้ายึดผู้ที่เข้ายึดเขา พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
3 "เฮชโบนเอ๋ย จงคร่ำครวญเพราะเมืองอัยถูกทิ้งร้าง บุตรีแห่งนครรับบาห์เอ๋ย จงร้องร่ำไร จงเอาผ้ากระสอบคาดเอวไว้ จงโอดครวญ วิ่งไปวิ่งมาอยู่ท่ามกลางคอกหิน เพราะพระมิลโคมจะต้องถูกกวาดไปเป็นเชลย พร้อมกับปุโรหิตและเจ้านายของมัน
4 บุตรีผู้กลับสัตย์เอ๋ย ทำไมเจ้าโอ้อวดบรรดาที่ลุ่ม ที่ลุ่มของเจ้ามีน้ำไหล ผู้วางใจในสมบัติของตนว่า 'ใครจะมาสู้ฉันนะ'
5 พระเยโฮวาห์พระเจ้าจอมโยธาตรัสว่า ดูเถิด เราจะนำความสยดสยองมาเหนือเจ้า จากทุกคนที่อยู่รอบตัวเจ้า และเจ้าจะถูกขับไล่ออกไป ชายทุกคนตรงหน้าเขาออกไป และจะไม่มีใครรวบรวมคนลี้ภัยได้
6 แต่ภายหลังเราจะให้คนอัมโมนกลับสู่ สภาพเดิม" พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ คำพยากรณ์เกี่ยวกับเมืองเอโดม
7 เกี่ยวกับเรื่องเมืองเอโดมพระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้ว่า "สติปัญญาไม่มีในเทมานอีกแล้วหรือ คำปรึกษาพินาศไปจากผู้เฉลียวฉลาดแล้วหรือ สติปัญญาของเขาหายสูญไปเสียแล้วหรือ
8 ชาวเมืองเดดานเอ๋ย จงหนี จงหันกลับ จงอาศัยในที่ลึก เพราะว่าเราจะนำภัยพิบัติของเอซาวมาเหนือเขา เวลาเมื่อเราลงโทษเขา
9 ถ้าคนเก็บองุ่นมาหาเจ้า เขาจะไม่ทิ้งองุ่นตกค้างไว้บ้างหรือ ถ้าขโมยมาเวลากลางคืน เขาจะไม่ทำลายเพียงพอแก่ตัวเขาเท่านั้นหรือ
10 แต่เราได้เปลือยเอซาวให้เปลือยเลย เราได้เปิดที่ซ่อนของเขา และเขาไม่สามารถซ่อนตัวได้ ลูกหลานของเขาถูกทำลาย และพี่น้องของเขา และเพื่อนบ้านของเขา ไม่มีเขาอีกแล้ว
11 จงทิ้งเด็กกำพร้าพ่อของเจ้าไว้เถิด เราจะให้เขามีชีวิตอยู่ และให้แม่ม่ายของเจ้าวางใจในเราเถิด"
12 เพราะพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า "ถ้าคนที่ยังไม่สมควรจะดื่มจากถ้วยนั้นยังต้องดื่ม เจ้าจะพ้นโทษไปได้หรือ เจ้าจะพ้นโทษไปไม่ได้ เจ้าจะต้องดื่ม
13 พระเจ้าตรัสว่า เราได้ปฏิญาณโดยชื่อของเราแล้วว่า โบสราห์จะต้องกลายเป็นความหวาดเสียว เป็นขี้ปาก เป็นที่ทิ้งร้าง และเป็นคำสาปแช่ง และหัวเมืองทั้งสิ้นของเขาจะเป็นที่ทิ้งร้างเป็นนิตย์"
14 ข้าพเจ้าได้ยินข่าวจากพระเจ้า ทูตคนหนึ่งถูกส่งไปท่ามกลางบรรดาประชาชาติ บอกว่า "จงรวบรวมเจ้าทั้งหลายเข้าและมาต่อสู้เมืองนั้น และลุกขึ้นเพื่อกระทำสงครามเถิด"
15 เพราะว่าดูเถิด เราจะกระทำเจ้า ให้เล็กท่ามกลางบรรดาประชาชาติ ให้เป็นที่ดูหมิ่นท่ามกลางมนุษย์
16 เพราะความหวาดเสียวของเจ้าได้หลอกลวงเจ้า ทั้งความเห่อเหิมแห่งใจของเจ้า เจ้าผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในซอกหิน ผู้ยึดยอดภูเขาไว้ แม้เจ้าทำรังของเจ้าสูงเหมือนอย่างรังนกอินทรี เราจะฉุดเจ้าลงมาจากที่นั่น พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
17 "เอโดมจะกลายเป็นความหวาดเสียว ทุกคนที่ผ่านเขาไปจะหวาดเสียว และจะเยาะเย้ยเพราะความหายนะทั้งสิ้นของมัน
18 อย่างเมื่อเมืองโสโดม และเมืองโกโมราห์และหัวเมืองใกล้เคียง ของมันถูกทำลายพระเจ้าตรัส ไม่มีใครจะพำนักอยู่ที่นั่น ไม่มีใครจะอาศัยในเมืองนั้น
19 ดูเถิด เราจะกระทำให้เขาทั้งหลาย หนีไปจากมันอย่างฉับพลัน เหมือนอย่างสิงห์ขึ้นมาจากดงลุ่มแม่น้ำ จอร์แดนโจนเข้าใส่คอกแกะที่แข็งแรง และเราจะแต่งตั้งผู้ที่เราเลือกสรรไว้เหนือมัน ใครเป็นอย่างเราเล่า ใครจะนัดเราเล่า ผู้เลี้ยงแกะคนใดจะทนยืนอยู่ต่อหน้าเราได้
20 เพราะฉะนั้น จงฟังแผนงานซึ่งพระเจ้าทรง กระทำไว้ต่อสู้เมืองเอโดม และบรรดาพระประสงค์ซึ่ง พระองค์ได้ดำริขึ้นต่อสู้ชาวเมืองเทมาน คือถึงตัวเล็กๆที่อยู่ในฝูงก็ต้องถูกลากเอาไป แน่ละคอกของเขานั้นจะครั่นคร้ามเพราะเคราะห์กรรมของตน
21 แผ่นดินโลกจะสั่นสะเทือนเพราะเสียงที่มันล้ม เสียงคร่ำครวญของเขาจะได้ยินถึงทะเลแดง
22 ดูเถิด ผู้หนึ่งจะเหาะขึ้นและโฉบลงเหมือนนกอินทรี และกางปีกของมันออกสู้โบสราห์ และจิตใจของนักรบแห่งเอโดมใน วันนั้นจะเป็นเหมือนจิตใจของหญิงปวดท้องคลอดบุตร"
23 เกี่ยวด้วยเรื่องเมืองดามัสกัส "เมืองฮามัท และเมืองอารปัดได้ขายหน้า เพราะเขาทั้งหลายได้ยินข่าวร้าย เขาก็กลัวลาน เขาก็ทุรนทุรายเหมือนทะเล ซึ่งสงบลงไม่ได้
24 เมืองดามัสกัสก็อ่อนเพลียแล้วเขาหันหนี และความกลัวจนตัวสั่นจับเขาไว้ ความแสนระทมและความเศร้ายึดเขาไว้ อย่างผู้หญิงกำลังคลอดบุตร
25 เมืองที่มีชื่อเสียงนั้นถูกทอดทิ้งแล้วหนอ คือเมืองที่เต็มด้วยความชื่นบานนั่นน่ะ
26 เพราะฉะนั้นคนหนุ่มๆของเมืองนั้นจะล้มลงตามลานเมือง และบรรดาทหารของเมืองนั้นจะถูกทำลายในวันนั้น พระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้แหละ
27 และเราจะก่อไฟขึ้นในกำแพงเมืองดามัสกัส และไฟนั้นจะกินพระราชวังของเบนฮาดัดเสีย"
28 เกี่ยวด้วยเรื่องเผ่าเคดาร์และราชอาณาจักรฮาโซร์ ซึ่งเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนโจมตี พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า จงลุกขึ้น รุดเข้าไปสู้เผ่าเคดาร์ จงทำลายประชาชนแห่งตะวันออกเสีย
29 เต็นท์และฝูงแพะแกะของเขาจะถูกริบเสีย ทั้งม่านและข้าวของทั้งสิ้นของเขา อูฐของเขาจะถูกนำเอาไปจากเขา และคนจะร้องแก่เขาว่า 'ความสยดสยองทุกด้าน'
30 พระเจ้าตรัสว่า ชาวเมืองฮาโซร์เอ๋ย หนีเถิด จงสัญจรไปไกล ไปอาศัยในที่ลึก เพราะเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลน ได้ดำริแผนงานต่อสู้เจ้า และก่อตั้งความประสงค์ไว้สู้เจ้า
31 พระเจ้าตรัสว่า "จงลุกขึ้น รุดหน้าไปสู้ประชาชาติหนึ่งที่อยู่สบาย ซึ่งอาศัยอยู่อย่างมั่นคง ไม่มีประตูเมืองและไม่มีดาลประตู อยู่แต่ลำพัง
32 อูฐของเขาทั้งหลายจะกลายเป็นของที่ปล้นมาได้ และฝูงโคของเขาจะเป็นของที่ริบมา พระเจ้าตรัสว่า เราจะกระจายเขาไปทุกทิศลม คือเขาที่โกนผมจอนหูของเขา และเราจะนำภัยพิบัติ มาจากทุกด้านของเขา
33 เมืองฮาโซร์จะเป็นที่อาศัยของหมาป่า เป็นที่ทิ้งร้างอยู่เป็นนิตย์ ไม่มีใครจะพำนักที่นั่น ไม่มีมนุษย์คนใดจะอาศัยในนั้น"
34 พระวจนะของพระเจ้า ซึ่งมายังเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะเกี่ยวด้วยเรื่องเมืองเอลาม ในตอนต้นรัชกาลเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์
35 พระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้ว่า "ดูเถิด เราจะหักคันธนูของเอลาม ซึ่งเป็นหัวใจแห่งกำลังของเขาทั้งหลาย
36 และเราจะนำลมทั้งสี่ทิศจากฟ้าทั้งสี่ส่วนมาสู้เอลาม และเราจะกระจายเขาไปตามลมเหล่านั้นทั้งหมด จะไม่มีประชาชาติใดซึ่งผู้ถูกขับไล่ออกไป จากเอลามจะมาไม่ถึง
37 เราจะกระทำให้เอลามสยดสยองต่อหน้าศัตรู ของเขาทั้งหลาย และต่อหน้าผู้ที่แสวงหาชีวิตของเขา พระเจ้าตรัสว่า เราจะนำเหตุร้ายมาถึงเขาทั้งหลาย คือความพิโรธอันแรงกล้า เราจะใช้ให้ดาบไล่ตามเขาทั้งหลาย จนกว่าเราจะได้เผาผลาญเขาเสีย
38 และเราจะตั้งพระที่นั่งของเราในเอลาม และ ทำลายกษัตริย์ และบรรดาเจ้านายของเขาทั้งหลาย พระเจ้าตรัสดังนี้
39 พระเจ้าตรัสว่า แต่ในกาลต่อไปเราจะให้เอลามกลับสู่สภาพเดิม"

เยเรมีย์ 50
1 พระวจนะซึ่งพระเจ้าทรงกล่าวด้วยเรื่อง บาบิโลนเกี่ยวด้วยเรื่องแผ่นดินของชาวเคลเดีย โดยเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะ ว่า
2 "จงประกาศท่ามกลางบรรดาประชาชาติและป่าวร้อง จงตั้งธงขึ้นและป่าวร้อง อย่าปิดบังไว้เลย และว่า 'บาบิโลนถูกยึดแล้ว พระเบลก็ได้อาย พระเมโรดัคก็ครั่นคร้าม รูปเคารพทั้งหลายของเมืองนั้นถูกกระทำให้ได้อาย และรูปปั้นทั้งหลายก็ครั่นคร้าม'
3 "เพราะว่ามีประชาชาติหนึ่งออกจากทิศเหนือ ได้มาต่อสู้เมืองนั้น ซึ่งกระทำให้แผ่นดินของเธอเป็นที่ร้างเปล่า และไม่มีสักคนหนึ่งอาศัยในนั้น ทั้งมนุษย์และสัตว์จะหนีไปหมด
4 "พระเจ้าตรัสว่า ในวันเหล่านั้นและในเวลานั้น ประชาชนอิสราเอลและประชาชนยูดาห์จะมารวมกัน มาพลางร้องไห้พลางและเขาทั้งหลายจะแสวงหา พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเขา
5 เขาทั้งหลายจะถามหาทางไปศิโยนโดยหันหน้าตรงไปเมืองนั้น กล่าวว่า 'มาเถิด ให้พวกเรามาติดสนิทกับพระเจ้าโดยทำพันธสัญญาเนือง นิตย์ซึ่งจะไม่ลืมเลย'
6 "ประชากรของเราเป็นแกะที่หลง บรรดาผู้เลี้ยงของเขาทั้งหลายได้พาเขาหลงไป หันเขาทั้งหลายไปเสียบนภูเขา เขาทั้งหลายได้เดินจากภูเขาไปหาเนินเขา เขาลืมคอกของเขาเสียแล้ว
7 บรรดาผู้ที่พบเข้าก็กินเขา และศัตรูของเขาได้กล่าวว่า 'เราไม่มีความผิด เพราะเขาทั้งหลายได้กระทำบาปต่อพระเจ้าผู้เป็นที่ อยู่อันแท้จริงของเขาทั้งหลาย คือพระเจ้าอันเป็นความหวังของบรรพบุรุษของเขาทั้งหลาย'
8 "จงหนีจากท่ามกลางบาบิโลน จงออกไปเสียจากแผ่นดินของชาวเคลเดีย และเป็นเหมือนแพะตัวผู้นำหน้าฝูง
9 เพราะ ดูเถิด เราจะเร้าและนำบรรดาประชาชาติใหญ่หมู่ หนึ่งจากประเทศเหนือมาต่อสู้บาบิโลน และเขาทั้งหลายจะเรียงรายพวกเขามาต่อสู้กับเธอ ตรงนั้นแหละเธอจะถูกยึด ลูกธนูของเขาทั้งหลายก็เหมือนนักรบที่มีฝีมือผู้ไม่เคยกลับมือเปล่า
10 พระเจ้าตรัสว่า ประเทศเคลเดียจะถูกปล้น บรรดาผู้ที่ปล้นเขาจะอิ่มหนำ
11 "บรรดาผู้ปล้นมรดกของเราเอ๋ย แม้ว่าเจ้าจะเปรมปรีดิ์ แม้ว่าเจ้าจะลิงโลด แม้เจ้าจะระเริงอย่างโคสาวอยู่ที่หญ้า และร้องอย่างม้าพันธุ์ผู้
12 มารดาของเจ้าจะละอายอย่างอดสู และนางที่คลอดเจ้าจะถูกหลู่เกียรติ นี่แน่ะ นางจะเป็นบรรดาประชาชาติ ที่รั้งท้ายเป็นถิ่นทุรกันดาร ที่แห้งแล้งและทะเลทราย
13 เมืองนั้นจะไม่มีคนเข้าอาศัย เพราะพระพิโรธของพระเจ้า แต่จะเป็นที่ร้างเปล่าอย่างที่สุด ซึ่งคนที่ผ่านเมืองบาบิโลนไปจะตกตะลึง และเยาะเย้ยเพราะรอยตีทั้งสิ้นของเมืองนั้น
14 จงเรียงรายตัวของเจ้าทั้งหลายเข้ามา สู้บาบิโลนให้รอบข้าง บรรดาเจ้าที่โก่งคันธนู จงยิงเธอ อย่าเสียดายลูกธนู เพราะเธอได้กระทำบาปต่อพระเจ้า
15 เปล่งเสียงโห่ร้องสู้เธอให้รอบข้างเธอยอมแพ้แล้ว เครื่องป้องกันของเธอล้มลงแล้ว กำแพงของเธอถูกพังลงมาแล้ว เพราะนี่เป็นการแก้แค้นของพระเจ้า จงทำการแก้แค้นเธอ ทำกับเธออย่างที่เธอได้กระทำมาแล้ว
16 จงตัดผู้หว่านเสียจากบาบิโลน และตัดผู้ที่ถือเคียวในฤดูเกี่ยว เหตุเพราะดาบของผู้บีบบังคับ ทุกคนจึงหันเข้าหาชนชาติของตน และทุกคนจะหนีไปยังแผ่นดินของตน
17 "อิสราเอลเป็นเหมือนแกะที่ถูกสิงห์ขับล่าไป ทีแรกกษัตริย์อัสซีเรียกินเขา ในที่สุดนี้เนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้แทะกระดูกของเขา
18 เพราะฉะนั้นพระเจ้าจอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะนำการลงโทษมาเหนือกษัตริย์แห่ง บาบิโลนและแผ่นดินของท่าน ดังที่เราได้ลงโทษกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย
19 เราจะให้อิสราเอลกลับสู่ลานหญ้าของเขา และเขาจะกินอยู่บนคารเมลและในบาชาน และเขาจะอิ่มใจบนเนินเขาเอฟราอิมและในกิเลอาด
20 พระเจ้าตรัสว่า ในวันเหล่านั้นและในเวลานั้น จะหาบาปผิดในอิสราเอลและจะหาไม่ได้เลย จะหาบาปในยูดาห์ก็จะหาไม่ได้เลย เพราะเราจะให้อภัยแก่ชนที่เหลืออยู่เหล่านั้น ผู้ที่เราเหลือไว้ให้
21 พระเจ้าตรัสว่า "จงขึ้นไปสู้แผ่นดินเมราธาอิม และต่อสู้ชาวเมืองเปโขด จงฆ่าเขาและตามทำลายเสียให้สิ้นเชิง และจงกระทำทุกอย่างตามที่เราได้บัญชาเจ้าไว้
22 เสียงสงครามอยู่ในแผ่นดิน และการทำลายอย่างใหญ่หลวงก็อยู่ในนั้น
23 ค้อนทุบของแผ่นดินโลกทั้งหมด ได้ถูกตัดลงและถูกหักเสียแล้วหนอ บาบิโลนได้กลายเป็นความหวาดเสียว ท่ามกลางบรรดาประชาชาติ
24 บาบิโลนเอ๋ย เราวางบ่วงดักเจ้า และเจ้าก็ติดบ่วงนั้น และเจ้าไม่รู้เรื่อง เขามาพบเจ้าและจับเจ้า เพราะเจ้าได้ขันสู้กับพระเจ้า
25 พระเจ้าได้ทรงเปิดคลังอาวุธของพระองค์ และทรงให้อาวุธแห่งพระพิโรธของพระองค์ออกมา เพราะพระเจ้าจอมโยธา ทรงมีพระราชกิจ ที่จะกระทำในแผ่นดินแห่งชาวเคลเดีย
26 จงมาต่อสู้กับเธอจากทุกเสี้ยวโลก จงเปิดบรรดาฉางของเธอ จงกองเธอไว้เหมือนอย่างกองข้าว และทำลายเสียจนสิ้นเชิง อย่าให้เธอเหลืออยู่เลย
27 จงฆ่าวัวผู้ของเธอให้หมด ให้มันทั้งหลายลงไปยังการฆ่า วิบัติแก่มันทั้งหลายเพราะวันเวลาของมันมาถึงแล้ว คือเวลาแห่งการลงโทษมัน
28 "ฟังซิ เขาทั้งหลายได้หนีและรอดพ้นจากแผ่นดินบาบิโลน ไปประกาศการแก้แค้นของพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของเราในศิโยน คือการแก้แค้นแทนพระวิหารของพระองค์
29 "จงเรียกนักธนูมาต่อสู้กับบาบิโลน คือบรรดาคนที่โก่งธนู จงตั้งค่ายไว้รอบมัน อย่าให้ผู้ใดหนีรอดพ้นไปได้จงกระทำ กับมันตามการกระทำของมัน จงกระทำแก่มันอย่างที่มันได้กระทำแล้ว เพราะมันจองหองลองดีกับพระเจ้า พระองค์ผู้บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล
30 เพราะฉะนั้น คนหนุ่มๆของมันจะล้มลงที่ลานของมัน และทหารของมันทั้งสิ้นจะถูกทำลาย ในวันนั้น พระเจ้าตรัสดังนี้
31 "พระเจ้าจอมโยธาตรัสว่า ผู้จองหองเอ๋ย ดูเถิด เราต่อสู้กับเจ้า เพราะว่าวันเวลาของเจ้ามาถึงแล้ว คือเวลาที่เราจะลงโทษเจ้า
32 ผู้จองหองจะสะดุดและล้มลง จะไม่มีผู้ใดพยุงเขาขึ้นได้ และเราจะก่อไฟในบรรดาหัวเมืองของมัน และไฟจะกินบรรดาที่อยู่รอบมันเสียสิ้น
33 "พระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้ว่า ประชาชนอิสราเอลถูกบีบบังคับ และประชาชนยูดาห์ก็พลอยไปด้วย ผู้ที่จับเขาทั้งหลายไปเป็นเชลยได้ยึดเขาไว้มั่น เขาทั้งหลายปฏิเสธไม่ยอมให้เขาไป
34 พระผู้ไถ่ของเขาทั้งหลายนั้นเข้มแข็ง พระนามของพระองค์คือพระเยโฮวาห์จอมโยธา พระองค์จะทรงแก้คดีของเขาเป็นแน่ เพื่อพระองค์จะประทานความสงบแก่แผ่นดินโลก แต่ประทานความไม่สงบแก่ชาวเมืองบาบิโลน
35 "พระเจ้าตรัสว่า ให้ดาบอยู่เหนือชาวเคลเดีย และเหนือชาวเมืองบาบิโลน และเหนือเจ้านายและนักปราชญ์ของเขา
36 ให้ดาบอยู่เหนือผู้ทำนาย เพื่อเขาจะกลายเป็นคนโง่ไป ให้ดาบอยู่เหนือบรรดานักรบของเขา เพื่อเขาทั้งหลายจะครั่นคร้าม
37 ให้ดาบอยู่เหนือม้าทั้งหลายของเขา และรถรบของเขา และอยู่เหนือกองทหารชนต่างด้าวท่ามกลางเขา เพื่อเขาทั้งหลายจะกลายเป็นผู้หญิงไป ให้ดาบอยู่เหนือทรัพย์สมบัติทั้งสิ้นของเขา เพื่อว่าทรัพย์สมบัตินั้นจะถูกปล้นเสีย
38 ให้ความแห้งแล้งอยู่เหนือน้ำทั้งหลายของมัน เพื่อน้ำทั้งหลายนั้นจะได้แห้งไป เพราะเป็นแผ่นดินแห่งรูปเคารพ และเขาทั้งหลายก็บ้ารูปนั้น
39 "เพราะฉะนั้น สัตว์ป่าทั้งหลายและบรรดาหมาจิ้งจอก จะอาศัยในบาบิโลน และนกกระจอกเทศจะอาศัยอยู่ในนั้น เมืองนั้นจะไม่มีประชาชนอยู่อีกต่อไปเป็นนิตย์ คือไม่มีชาวเมืองอาศัยอยู่ตลอดชั่วชาติพันธุ์
40 พระเจ้าตรัสว่า เมื่อพระเจ้าได้ทรงคว่ำเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ และหัวเมืองใกล้เคียงดังนั้น จะไม่มีคนพำนักอยู่ที่นั่นและไม่มีมนุษย์คนใด อาศัยอยู่ในเมืองนั้น
41 "ดูเถิด ชนชาติหนึ่งมาจากทิศเหนือ ประชาชาติอันเข้มแข็งชาติหนึ่งและกษัตริย์หลายองค์ จะถูกเร้าให้มาจากที่ไกลที่สุดของแผ่นดินโลก
42 เขาทั้งหลายจับคันธนูและหอก เขาทั้งหลายดุร้าย และไม่มีความกรุณา เสียงของเขาทั้งหลายก็เหมือนเสียงทะเลคะนอง เขาทั้งหลายขี่ม้า เรียงรายกันเป็นคนเข้าสู้สงครามกับเจ้านะ บุตรีแห่งบาบิโลนเอ๋ย
43 "กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้ยินข่าวเรื่องนั้น และพระหัตถ์ของพระองค์ก็อ่อนลง ความแสนระทมจับหัวใจเขา เจ็บปวดอย่างผู้หญิงกำลังคลอดบุตร
44 "ดูเถิด เราจะกระทำให้เขาทั้งหลายหนีไปจากมันอย่างฉับพลัน เหมือนอย่างสิงห์ขึ้นมาจากดงลุ่มแม่น้ำจอร์แดนโจนเข้า ใส่คอกแกะที่แข็งแรง และเราจะแต่งตั้งผู้ที่เราเลือกสรรไว้เหนือมัน ใครเป็นอย่างเราเล่า ใครจะนัดเราเล่า ผู้เลี้ยงแกะคนใดจะทนยืนอยู่ต่อหน้าเราได้
45 เพราะฉะนั้นจงฟังแผนงานซึ่งพระเจ้าทรง กระทำไว้ต่อสู้บาบิโลน และบรรดาพระประสงค์ซึ่งพระองค์ได้ดำริขึ้น ต่อสู้กับแผ่นดินของชาวเคลเดีย แน่ละตัวเล็กๆ ที่อยู่ในฝูงก็ต้องถูก ลากเอาไป แน่ละคอกของเขานั้นจะครั่นคร้าม เพราะเคราะห์กรรมของตน
46 แผ่นดินโลกจะสั่นสะเทือนเพราะเสียงของการที่ บาบิโลนถูกจับเป็นเชลย และเสียงคร่ำครวญของมันดังไปท่ามกลางบรรดาประชาชาติ"

เยเรมีย์ 51
1 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า "ดูเถิด เราจะปลุกวิญญาณของผู้ทำลาย ต่อสู้กับบาบิโลน ต่อสู้กับชาวประเทศเคลเดีย
2 เราจะส่งผู้ฝัดไปยังบาบิโลน และเขาทั้งหลายจะฝัดมัน และเขาทั้งหลายจะไม่ให้แผ่นดินของมันว่างเปล่า เมื่อเขาทั้งหลายมาล้อมมันไว้ทุกด้าน ในวันแห่งความยากลำบาก
3 อย่าให้นักธนูโก่งคันธนูได้ อย่าให้เขาสวมเสื้อเกราะลุกขึ้นได้ อย่าไว้ชีวิตคนหนุ่มๆของมันเลย จงทำลายพลโยธาของมันทั้งหมด
4 เขาทั้งหลายจะถูกฆ่าล้มลงในแผ่นดินของชาวเคลเดีย และบาดเจ็บอยู่ที่ถนนเมืองนั้น
5 เพราะว่าอิสราเอลและยูดาห์มิได้ถูกทอดทิ้ง โดยพระเจ้าของเขาทั้งหลายพระเจ้าจอมโยธา แต่แผ่นดินของชาวเคลเดียนั้นเต็มด้วยความผิด ต่อองค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล
6 "จงหนีเสียจากท่ามกลางบาบิโลน ให้ทุกคนเอาชีวิตของตนรอดเถิด ในการลงโทษมันนั้น เจ้าอย่าถูกตัดออกเลย เพราะนี่เป็นเวลาแก้แค้นแห่งพระเจ้า เป็นการซึ่งพระองค์ทรงตอบสนอง
7 บาบิโลนได้เคยเป็นถ้วยทองคำในพระหัตถ์ของพระเจ้า กระทำให้แผ่นดินโลกทั้งสิ้นมึนเมาไป บรรดาประชาชาติได้ดื่มเหล้าองุ่นของมัน เพราะฉะนั้นประชาชาติต่างๆจึงบ้าไป
8 บาบิโลนได้ล้มลงและแตกไปอย่างฉับพลัน จงคร่ำครวญเพื่อมันเถิด จงเอาพิมเสนมาให้มันบรรเทาปวด ชะรอยจะรักษามันให้หายได้กระมัง
9 เราทั้งหลายอยากจะรักษาบาบิโลนให้หาย แต่มันไม่หาย ละทิ้งมันเสียเถิด และให้เราไป ต่างไปยังประเทศของตน เพราะว่าการพิพากษามันได้ขึ้นไปถึงฟ้าสวรรค์ และได้ถูกยกขึ้นถึงฟากฟ้า
10 พระเจ้าทรงนำความยุติธรรมออกมาให้เรา มาเถิด ให้เราประกาศพระราชกิจ ของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราที่ในศิโยน
11 "จงฝนลูกธนู จงหยิบโล่ขึ้นมา พระเจ้าทรงเร้าใจบรรดากษัตริย์คนมีเดีย เพราะว่าพระประสงค์ของพระองค์เกี่ยวด้วยเรื่องบาบิโลน ก็คือการทำลายมันเสีย เพราะนั่นแหละเป็นการแก้แค้นของพระเจ้า คือการแก้แค้นแทนพระวิหารของพระองค์
12 จงปักธงชิดบรรดากำแพงของบาบิโลน จงทำคนเฝ้าให้เข้มแข็ง จงตั้งคนยามขึ้น จงเตรียมกองซุ่มไว้ เพราะพระเจ้าทรงวางแผนงาน และทั้งทรงกระทำเสร็จ ตามที่พระองค์ทรงลั่นพระวาจาเกี่ยวด้วยชาวเมืองบาบิโลน
13 เจ้าผู้อาศัยตามน้ำมากหลาย ผู้มีสมบัติมากมายเอ๋ย อวสานของเจ้ามาถึงแล้ว เส้นชีวิตของเจ้าได้ถูกตัดขาดเสียแล้ว
14 พระเจ้าจอมโยธาได้ทรงปฏิญาณเองว่า แน่ละ เราจะให้เจ้ามีคนเต็มเมือง ให้มากอย่างตั๊กแตน และเขาทั้งหลายจะเปล่งเสียงโห่ร้องมีชัยเหนือเจ้า
15 "ผู้ทรงสร้างโลกด้วยฤทธิ์เดชของพระองค์ ผู้ทรงสถาปนาพิภพไว้ด้วยพระสติปัญญาของพระองค์ และทรงคลี่ท้องฟ้าออกด้วยความเข้าใจของพระองค์
16 เมื่อพระองค์ทรงเปล่งพระสุรเสียงก็ มีเสียงน้ำคะนองในท้องฟ้า และทรงกระทำให้หมอกลอยขึ้นจากปลายพิภพ ทรงกระทำฟ้าแลบเพื่อฝน และทรงนำลมมาจากพระคลังของพระองค์
17 มนุษย์ทุกคนบัดซบและไม่มีความรู้ ช่างทองทุกคนจะได้อาย เพราะรูปเคารพของตน เพราะรูปเคารพหล่อของเขาเป็นของเท็จ และไม่มีลมหายใจในรูปเคารพนั้น
18 มันเป็นของไร้ค่า และเป็นผลงานที่น่าเยาะเย้ย มันจะต้องพินาศเมื่อถึงเวลาการลงโทษ
19 พระองค์ผู้ทรงเป็นส่วนของยาโคบ ไม่เหมือนสิ่งเหล่านี้ เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ที่ก่อร่างทุกสิ่งขึ้น และอิสราเอลเป็นเผ่าที่เป็นมรดกของพระองค์ พระเยโฮวาห์จอมโยธาเป็นพระนามของพระองค์
20 "เจ้าเป็นค้อนและยุทโธปกรณ์ของเรา เราทุบบรรดาประชาชาติเป็นชิ้นๆด้วยเจ้า เราทำลายราชอาณาจักรทั้งหลายด้วยเจ้า
21 เราทุบม้าและคนขี่เป็นชิ้นๆด้วยเจ้า เราทุบบรรดารถรบและคนขับให้เป็นชิ้นๆด้วยเจ้า
22 เราทุบผู้ชายและผู้หญิงเป็นชิ้นๆด้วยเจ้า เราทุบคนแก่และคนหนุ่มเป็นชิ้นๆด้วยเจ้า เราทุบคนหนุ่มและหญิงพรหมจารีเป็นชิ้นๆด้วยเจ้า
23 เราทุบผู้เลี้ยงแกะและฝูงแกะเป็นชิ้นๆด้วยเจ้า เราทุบชาวนาและโคคู่แอกของเขาเป็นชิ้นๆด้วยเจ้า เราทุบเจ้าเมืองและปลัด เป็นชิ้นๆด้วยเจ้า
24 "พระเจ้าตรัสว่า เราจะสนองบาบิโลนและบรรดาชาวประเทศ เคลเดียต่อหน้าต่อตาของเจ้า ซึ่งบรรดาความชั่วร้าย อันเขาได้กระทำในศิโยน
25 "พระเจ้าตรัสว่า ภูเขาซึ่งทำลายเอ๋ย ดูเถิด เราต่อสู้เจ้า เจ้าผู้ทำลายแผ่นดินโลกทั้งสิ้น เราจะเหยียดมือของเราออกต่อสู้เจ้า และกลิ้งเจ้าลงมาจากหน้าผา และกระทำให้เจ้าเป็นภูเขาที่ถูกไหม้
26 เขาจะไม่เอาหินจากเจ้าไปทำศิลาหัวมุม และไม่เอาไปทำรากฐาน แต่เจ้าจะเป็นของทิ้งร้างเป็นนิตย์ พระเจ้าตรัสดังนี้
27 "จงตั้งธงไว้บนแผ่นดินโลก จงเป่าเขาสัตว์ท่ามกลางประชาชาติทั้งหลาย จงเตรียมประชาชาติทั้งหลายไว้ทำสงครามกับมัน จงเรียกราชอาณาจักรต่อไปนี้มาสู้กับมัน อารารัต มินนี และอัชเคนัส จงตั้งจอมทัพไว้ต่อสู้มัน จงทำม้าขึ้นเหมือนบุ้งคันระเกะระกะ
28 จงเตรียมบรรดาประชาชาติมาทำสงครามกับมัน คือเตรียมบรรดากษัตริย์แห่งมีเดียพร้อมทั้งเจ้าเมือง และปลัดทั้งหลาย และทุกแผ่นดินที่ขึ้นแก่มีเดีย
29 แผ่นดินที่สะเทือนสะท้าน และบิดตัวด้วยความเจ็บ เพราะบรรดาพระประสงค์ของพระเจ้า ต่อบาบิโลนก็ตั้งมั่นอยู่ ที่จะกระทำให้แผ่นดินบาบิโลนเป็นที่ร้างเปล่า ปราศจากคนอาศัย
30 นักรบแห่งบาบิโลนหยุดรบแล้ว เขาทั้งหลายค้างอยู่ในที่กำบังเข้มแข็งของเขา กำลังของเขาถอยเสียแล้ว เขาทั้งหลายกลายเป็นเหมือนผู้หญิง ที่อาศัยของมันก็กำลังไฟไหม้ และดาลประตูของมันก็หัก
31 นักวิ่งคนหนึ่งวิ่งไปพบนักวิ่งอีกคนหนึ่ง ทูตคนหนึ่งวิ่งไปพบทูตอีกคนหนึ่ง เพื่อทูลกษัตริย์แห่งบาบิโลนว่า เมืองของพระองค์ถูกยึดไว้ทุกด้านแล้ว
32 ท่าลุยข้ามก็ถูกยึดแล้ว เครื่องป้องกันก็ถูกไฟไหม้ และบรรดาทหารก็ระส่ำระสาย
33 เพราะพระเจ้าจอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า บุตรีแห่งบาบิโลนก็เหมือนลานนวดข้าว ณ เวลาที่มันถูกเหยียบย่ำ อีกสักประเดี๋ยว เวลาเกี่ยวก็จะมาถึงแล้ว"
34 "ให้ชาวเมืองศิโยนพูดว่า "เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้กินข้าพเจ้าเสียแล้ว ท่านได้ขย้ำข้าพเจ้า ท่านได้ทำให้ข้าพเจ้าเป็นภาชนะว่างเปล่า ท่านได้กลืนข้าพเจ้าดั่งจระเข้ ท่านกินของอร่อยของข้าพเจ้าจนเต็มท้อง และท่านได้ไล่ข้าพเจ้าออกไป
35 ให้ชาวศิโยนกล่าวว่า "ความทารุณที่ได้กระทำแก่ข้าพเจ้าและแก่ญาติของข้าพเจ้า จงตกเหนือบาบิโลน" ให้เยรูซาเล็มกล่าวว่า "ที่ข้าพเจ้าต้องตายนั้นชาวประเทศเคลเดียก็รับผิดชอบ"
36 เพราะฉะนั้น พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า "ดูเถิด เราจะแก้คดีของเจ้า และกระทำการแก้แค้นเพื่อเจ้า เราจะทำทะเลของมันให้แห้ง และกระทำแหล่งน้ำของมันให้เหือด
37 และบาบิโลนจะกลายเป็นสิ่งปรักหักพัง เป็นที่ที่หมาป่าอยู่ เป็นความหวาดเสียวและเป็นที่เยาะเย้ย ปราศจากผู้คนอาศัย
38 พระเจ้าตรัสว่า "เขาทั้งหลายจะคำรามด้วยกันอย่างสิงห์ เขาทั้งหลายจะครางอย่างสิงห์หนุ่ม
39 ขณะที่เขาทั้งหลายผ่าวร้อน เราจะเตรียมการเลี้ยงให้ และกระทำให้เขาทั้งหลายมึนเมา จนเขาทั้งหลายจะสลบไสลไป และนอนหลับอยู่เป็นนิตย์ ไม่ตื่นเลย
40 เราจะนำเขาทั้งหลายลงมาดุจลูกแกะไปยังการฆ่า เหมือนแกะผู้และแพะผู้
41 "บาบิโลนถูกยึดแล้วหนอ ซึ่งเป็นที่สรรเสริญของแผ่นดินโลกถูกจับแล้วเล่า บาบิโลนได้กลายเป็น ความหวาดเสียวท่ามกลางบรรดาประชาชาติเสียแล้วหนอ
42 ทะเลขึ้นมาเหนือบาบิโลน คลื่นอย่างสับสนอลหม่านคลุมมันไว้
43 หัวเมืองของมันกลายเป็นความหวาดเสียว เป็นแผ่นดินที่แห้งแล้งและเป็นทะเลทราย เป็นแผ่นดินที่ไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่ และไม่มีมนุษย์คนใดข้ามไป
44 และเราจะลงโทษพระเบลในบาบิโลน ท่านกลืนอะไรเข้าไปแล้ว เราจะเอาออกจากปากท่านเสีย บรรดาประชาชาติจะไม่ไหลไปหาท่านอีก เออ กำแพงแห่งบาบิโลนล้มลงแล้ว
45 "ประชากรของเราเอ๋ย จงออกไปเสียจากท่ามกลางมัน ให้ทุกคนเอาชีวิตของตนรอด จากความพิโรธอันร้อนแรงของพระเจ้าเถิด
46 อย่าให้ใจของเจ้าวิตกและอย่าให้กลัว ต่อข่าวซึ่งได้ยินในแผ่นดินนั้น เมื่อมีข่าวมาในปีหนึ่ง ต่อมาอีกปีหนึ่งก็มีข่าวมา และความทารุณก็มีอยู่ในแผ่นดิน และผู้ครอบครองก็ต่อสู้กับผู้ครอบครอง
47 "เพราะฉะนั้น ดูเถิด วันเวลาจะมาถึง เมื่อเราจะลงโทษรูปเคารพแห่งบาบิโลน แผ่นดินทั้งสิ้นของมันจะต้องได้อาย และบรรดาชาวบาบิโลน ซึ่งถูกฆ่าจะล้มลงที่ท่ามกลางมัน
48 แล้วฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก และสรรพสิ่งที่มีอยู่ในนั้น จะร้องเพลงเพราะความชื่นบานเหนือบาบิโลน เพราะว่าผู้ทำลายจะมาจากทิศเหนือ ต่อสู้กับเขาทั้งหลาย พระเจ้าตรัสดังนี้
49 บาบิโลนจะต้องล้มลง เนื่องด้วยคนที่ถูกฆ่าแห่งอิสราเอล ดังผู้ที่ถูกฆ่าแห่งแผ่นดินโลกทั้งมวล ได้ล้มลงเพราะบาบิโลน
50 "เจ้าทั้งหลายผู้ที่รอดพ้นไปจากดาบ รีบไปเถิด อย่ายืนนิ่งอยู่ จงระลึกถึงพระเจ้าจากที่ไกล และให้กรุงเยรูซาเล็มเข้ามาในจิตใจของเจ้า
51 ว่า 'เราได้อาย เพราะเราได้ยินคำเยาะเย้ย ความอัปยศคลุมหน้าเราไว้ เพราะคนต่างชาติได้เข้าในสถานบริสุทธิ์ แห่งพระนิเวศของพระเจ้า'
52 พระเจ้าตรัสว่า "เพราะฉะนั้น ดูเถิด วันเวลาจะมาถึง เมื่อเราจะลงโทษรูปเคารพของมัน และคนที่บาดเจ็บจะคร่ำครวญ อยู่ทั่วแผ่นดินทั้งสิ้นของมัน
53 พระเจ้าตรัสว่า ถึงแม้บาบิโลนจะขึ้นไปบนสวรรค์ และถึงแม้มันจะสร้างป้อมกันที่สูง อันเข้มแข็งของมันไว้ บรรดาผู้ทำลายก็ยังมาจากเราเหนือมัน
54 "ฟังซิ มีเสียงร้องมาจากบาบิโลน เสียงโครมครามจากแผ่นดินของคนเคลเดีย
55 เพราะพระเจ้า กำลังทรงกระทำให้บาบิโลนเป็นที่ทิ้งร้าง และกระทำเสียงที่ใหญ่โตของมันให้เงียบ คลื่นของเขาทั้งหลายคะนองเหมือนน้ำมาก เสียงอึกทึกของเขาก็เปล่งออกมา
56 เพราะว่าผู้ทำลายได้มาเหนือมัน มาเหนือบาบิโลน บรรดานักรบของมันถูกยึดแล้ว คันธนูของเขาทั้งหลายถูกหักเป็นชิ้นๆ เพราะพระเยโฮวาห์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งการตอบแทน พระองค์จะทรงสนองเป็นแน่
57 เราจะกระทำให้เจ้านายของมัน และนักปราชญ์ของมันมึนเมา เจ้าเมืองของมัน ผู้บังคับบัญชาของมัน และนักรบของมัน เขาทั้งหลายจะนอนหลับอยู่เป็นนิตย์ ไม่ตื่นอีกเลย พระบรมมหากษัตริย์ ผู้ทรงพระนามว่า พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสดังนี้
58 "พระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้ว่า กำแพงอันกว้างขวางของบาบิโลน จะถูกปราบลงให้เรียบเสมอพื้นดิน และประตูเมืองสูงของมัน จะถูกเผาด้วยไฟ บรรดาประชาชนทำงานอย่างไร้ผล และชนชาติทั้งหลายจะเหน็ด เหนื่อยก็เพื่อเผาไฟเสียเท่านั้น"
59 ถ้อยคำซึ่งเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะ ได้บัญชาแก่เสไรอาห์บุตรเนริยาห์ผู้เป็นบุตรมาอาเสอาห์ เมื่อเขาไปยังบาบิโลนกับเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ ในปีที่สี่แห่งรัชกาลของท่านนั้น เสไรอาห์เป็นหัวหน้าจัดที่พัก
60 เยเรมีย์ได้เขียนบรรดาโทษทั้งสิ้นซึ่งจะมาถึง บาบิโลนนั้นไว้ในหนังสือ ถ้อยคำเหล่านี้เป็นคำที่เขียนไว้เกี่ยวด้วยเรื่องบาบิโลน
61 และเยเรมีย์พูดกับเสไรอาห์ว่า "เมื่อท่านมาถึงบาบิโลนแล้ว ท่านจงอ่านถ้อยคำเหล่านี้ทั้งหมดนะ
62 และกล่าวว่า 'ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ได้ตรัสกับสถานที่นี้ว่า พระองค์จะทรงตัดออกเสีย เพื่อว่าจะไม่มีอะไรอาศัยอยู่ในนั้น ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์ และจะเป็นที่ร้างเปล่าอยู่เป็นนิตย์
63 เมื่อท่านอ่านหนังสือนี้จบแล้ว จงเอาหินก้อนหนึ่งมัดติดมันไว้ และโยนมันทิ้งไปกลางแม่น้ำยูเฟรติส'
64 และจงกล่าวว่า 'บาบิโลนจะจมลงอย่างนี้แหละ ไม่ลอยขึ้นอีกเลย เนื่องด้วยโทษซึ่งเราจะนำมาเหนือมัน'" ถ้อยคำของเยเรมีย์มีเพียงนี้

เยเรมีย์ 52
1 เศเดคียาห์มีพระชนมายุยี่สิบเอ็ดพรรษา เมื่อท่านขึ้นเสวยราชย์ และท่านครอบครองในกรุงเยรูซาเล็มสิบเอ็ดปี พระมารดาของท่านมีชื่อว่าฮามุทาล เป็นบุตรีของเยเรมีย์แห่งลิบนาห์
2 และท่านได้กระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรพระเจ้า ตามการทุกอย่างที่เยโฮยาคิมได้กระทำนั้น
3 เป็นเพราะความโกรธของพระเจ้าเป็นแน่ สิ่งต่างๆได้เป็นไปถึงเพียงนี้ ในกรุงเยรูซาเล็มและยูดาห์ จนพระองค์ทรงเหวี่ยงเขาทั้งหลาย ออกไปเสียจากพระพักตร์ของพระองค์ และเศเดคียาห์ได้กบฏต่อกษัตริย์แห่งบาบิโลน
4 และในปีที่เก้าแห่งรัชกาลของท่าน ในวันที่สิบของเดือนที่สิบ เนบูคัดเนสซาร์แห่งเมืองบาบิโลน พร้อมกับกองทัพทั้งสิ้นของท่านได้ ต่อสู้กับกรุงเยรูซาเล็มและล้อมเมืองไว้ และสร้างเครื่องล้อมไว้รอบ
5 กรุงนั้นจึงถูกล้อมอยู่จนปีที่ สิบเอ็ดแห่งกษัตริย์เศเดคียาห์
6 เมื่อวันที่เก้าของเดือนที่สี่ การกันดารอาหารในกรุงนั้นร้ายกาจมาก จนไม่มีอาหารเลยสำหรับราษฎร
7 แล้วกรุงนั้นก็แตก และทหารทั้งหมดก็หนีออกไปจากกรุงในกลางคืน ไปตามทางประตูเมืองระหว่างกำแพงทั้งสอง ไปตามทางราชอุทยาน ฝ่ายคนเคลเดียก็ล้อมอยู่รอบกรุง และเขาทั้งหลายไปทางทิศลำรางอารบา
8 แต่กองทัพของคนเคลเดียได้ไล่ติดตามกษัตริย์ไป และไปทันเศเดคียาห์ในที่ราบเมืองเยรีโค และกองทัพของท่านก็กระจายอยู่รอบท่าน
9 และเขาก็จับกษัตริย์ นำขึ้นมาถวายแก่กษัตริย์แห่งบาบิโลน ที่ตำบลริบลาห์ในแผ่นดินฮามัท และกษัตริย์ก็ได้พิพากษาโทษของท่าน
10 กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้ประหารบุตรชายทั้งหลายของ เศเดคียาห์ต่อหน้าต่อตาท่าน และได้ประหารเจ้านายทั้งสิ้นแห่งยูดาห์เสียที่ตำบลริบลาห์
11 ท่านทำตาของเศเดคียาห์ให้บอดไปและตีตรวนไว้ และกษัตริย์แห่งบาบิโลนก็นำท่านไปยัง บาบิโลน และขังท่านไว้ในคุกจนวันที่ท่านสิ้นชีวิต
12 เมื่อวันที่สิบในเดือนที่ห้า ซึ่งเป็นปีที่สิบเก้าของรัชกาลกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์พระราชาแห่งบาบิโลน เนบูซาระดานผู้บังคับบัญชาทหารรักษาพระองค์ ผู้ปรนนิบัติกษัตริย์บาบิโลนได้เข้าไปในกรุงเยรูซาเล็ม
13 และเขาได้เผาพระนิเวศของพระเจ้า และพระราชวัง และบรรดาเรือนทั้งสิ้นของกรุงเยรูซาเล็มเสีย ท่านเผาบ้านใหญ่ๆเสียหมดทุกหลัง
14 และกองทัพทั้งสิ้นของคนเคลเดีย ผู้อยู่กับผู้บังคับบัญชาทหารรักษาพระองค์ ได้ทลายกำแพงทั้งหมดที่อยู่รอบกรุงเยรูซาเล็มลง
15 และเนบูซาระดานผู้บังคับบัญชาทหารรักษาพระองค์ ได้จับประชาชนที่จนที่สุดบางคนและประชาชนที่เหลืออยู่ ผู้ซึ่งเหลืออยู่ในกรุงและผู้ที่หลบหนี ผู้หนีไปหากษัตริย์แห่งบาบิโลน พร้อมทั้งช่างที่เหลืออยู่ไปเป็นเชลย
16 แต่เนบูซาระดานผู้บังคับบัญชาทหารรักษา พระองค์ได้ละคนที่จนที่สุดในแผ่นดินไว้บ้างให้ เป็นคนทำสวนองุ่น และเป็นคนทำไร่ไถนา
17 บรรดาเสาทองสัมฤทธิ์ซึ่งอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า และเชิงและขันสาครทองสัมฤทธิ์ ซึ่งอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้านั้นคนเคลเดีย ได้ทุบเสียเป็นชิ้นๆ และขนเอาทองสัมฤทธิ์ทั้งหมดไปยังบาบิโลน
18 และเขาได้ขนเอาหม้อ พลั่ว ตะไกรตัดไส้ตะเกียงและอ่างและชามเครื่องหอม และภาชนะทองสัมฤทธิ์ ซึ่งใช้ในพิธีการของพระวิหาร
19 ทั้งชามอ่างเล็ก กระถางไฟและอ่าง และหม้อ และเชิงตะเกียง และชามเครื่องหอม และขันเครื่องดื่มบูชา อะไรที่ทำด้วยทองคำ ผู้บังคับบัญชาทหารรักษาพระองค์ก็เอาไปเป็นทองคำ อะไรที่ทำด้วยเงินก็เอาไปเป็นเงิน
20 ส่วนเสาสองเสา และขันสาครหนึ่งลูก กับวัวทองสัมฤทธิ์สิบสองตัว ซึ่งอยู่ใต้ขันสาคร และเชิงทั้งหลาย ซึ่งกษัตริย์ซาโลมอนได้สร้างไว้สำหรับพระนิเวศของพระเจ้า ทองสัมฤทธิ์ของสิ่งของเหล่านี้ก็ชั่งกันไม่ไหว
21 ส่วนเสานั้น เสาต้นหนึ่งสูงสิบแปดศอก วัดรอบสิบสองศอก และความหนาของมันเป็นสี่นิ้ว กลางกลวง
22 บนเสานี้มีบัวยอดทองสัมฤทธิ์ บัวยอดอันหนึ่งสูงห้าศอก มีลายไขว้และลูกทับทิม ทั้งหมดทำด้วยทองสัมฤทธิ์อยู่รอบบัวยอด และเสาที่สองก็มีเหมือนกัน ทั้งลูกทับทิมด้วย
23 ข้างๆมีลูกทับทิมเก้าสิบหกลูก บนลายไขว้โดยรอบนั้นมีลูกทับทิม ทั้งหมดหนึ่งร้อยลูก
24 และผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ได้จับเสไรอาห์ ปุโรหิตใหญ่และเศฟันยาห์ปุโรหิตรอง และผู้เฝ้าธรณีประตู อีกสามคน
25 และจากกรุงนั้นท่านจับนายทหารคนหนึ่ง ผู้บังคับทหาร และที่ปรึกษาของกษัตริย์เจ็ดคน ซึ่งพบอยู่ในกรุงนั้น และเลขานุการของผู้บังคับบัญชาของกองทัพ ผู้ซึ่งเกณฑ์ราษฎร และราษฎรอีกหกสิบคนซึ่งพบอยู่ท่ามกลางกรุงนั้น
26 และเนบูซาระดานผู้บังคับบัญชาทหารรักษาพระองค์ ได้จับคนเหล่านี้นำไปถวายกษัตริย์แห่ง บาบิโลนที่ตำบลริบลาห์
27 และกษัตริย์แห่งบาบิโลนทรงตีเขา และประหารเขาเสียที่ตำบลริบลาห์ในแผ่นดินฮามัท ดังนั้นแหละยูดาห์ก็ได้ถูกนำไปเป็นเชลยออกไป จากแผ่นดินของตน
28 ต่อไปนี้เป็นจำนวนประชาชนซึ่งเนบูคัดเนสซาร์ จับไปเป็นเชลย ในปีที่เจ็ด พวกยิวสามพันยี่สิบสามคน
29 ในปีที่สิบแปดแห่งรัชกาลเนบูคัดเนสซาร์ ท่านขนเชลยจากกรุงเยรูซาเล็มแปดร้อยสามสิบสองคน
30 ในปีที่ยี่สิบสามแห่งรัชกาลเนบูคัดเนสซาร์ เนบูซาระดานผู้บังคับบัญชาทหารรักษาพระองค์ จับยิวเป็นเชลยเจ็ดร้อยสี่สิบห้าคน รวมคนทั้งหมดเป็นสี่พันกับหกร้อยคน
31 และในปีที่สามสิบเจ็ดแห่งการเป็น เชลยของเยโฮยาคีนกษัตริย์แห่งยูดาห์นั้น เมื่อวันที่ยี่สิบห้าในเดือนที่สิบสอง เอวิลเมโรดักกษัตริย์แห่งบาบิโลน ในปีที่ท่านขึ้นเสวยราชย์ ท่านได้ยกศีรษะของเยโฮยาคีนกษัตริย์แห่งยูดาห์ขึ้น และได้นำท่านออกมาจากคุก
32 พระองค์ตรัสอย่างเมตตาต่อท่าน และให้นั่งบนที่นั่งเหนือกว่าบรรดากษัตริย์ทั้งหลายที่อยู่ ในบาบิโลน
33 ดังนั้นเยโฮยาคีนจึงถอดเครื่องแต่งกายนักโทษออกเสีย และท่านได้รับประทานที่โต๊ะเสวยของพระราชาทุกวัน ตลอดชีวิต
34 ส่วนงบประมาณที่ให้นั้นท่านก็ได้ รับพระราชทานจากกษัตริย์ตามความต้องการรายวันอยู่เสมอ ตลอดเมื่อท่านมีชีวิตอยู่จนวันตายของท่าน


 © Copyright 2009. Christian Siam.com