Christian Siam

 

 

 

 

Christian Siam - เว็บสำหรับคนอยากรู้จักพระเจ้า

 
 :: สำหรับผู้สนใจพระเจ้า ::
Christian Siam คำถาม - คำตอบ
Christian Siam พระเยซูคือใคร
Christian Siam พระเยซูเกิดจริงหรือ?
Christian Siam เราเกิดมาทำไม
Christian Siam เราตายแล้วไปไหน
Christian Siam ทฤษฎีวิวัฒนาการ...จริง?
Christian Siam เป็นคริสเตียนได้อย่างไร
Christian Siam คำพยานชีวิต

Christian Siam
H O M E
:: สำหรับคริสเตียนใหม่ ::
:: สื่อคริสเตียนออนไลน์ ::
Christian Siam มานาประจำวัน
Christian Siam เพลงจาก Youtube
 

                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN

         CHRISTIAN SIAM.COM
         CHRISTIAN SIAM.COM
         CHRISTIAN SIAM.COM

                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN



ผู้วินิจฉัย

1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |

16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21

ผู้วินิจฉัย 1
1 อยู่มาเมื่อโยชูวาสิ้นชีพแล้ว คนอิสราเอลทูลถามพระเจ้าว่า "ใครในพวกข้าพระองค์ทั้งหลายจะ ขึ้นไปก่อนเพื่อสู้รบกับคนคานาอัน"
2 พระเจ้าตรัสว่า "ยูดาห์จะขึ้นไป ดูเถิด เราได้มอบแผ่นดินนั้นไว้ในมือเขาแล้ว"
3 ยูดาห์จึงพูดกับสิเมโอนพี่ของตนว่า "จงขึ้นไปกับฉันในเขตแดนที่กำหนดให้แก่ฉัน เพื่อเราจะได้รบสู้กับคนคานาอัน และฉันจะไปร่วมรบในเขตแดนที่กำหนดให้แก่ท่านนั้นด้วย" สิเมโอนก็ไปกับเขา
4 แล้วยูดาห์ก็ขึ้นไปและพระเจ้าทรงมอบคนคานาอัน คนเปริสซีไว้ในมือของเขา และเขาก็ประหารคนที่เมืองเบเซกหนึ่งหมื่นคน
5 และเขาทั้งหลายพบอาโดนีเบเซกในเมืองเบเซก และสู้รบกับท่าน เขาได้ประหารคนคานาอัน และคนเปริสซี
6 อาโดนีเบเซกหนีไป แต่เขาตามจับได้ตัดนิ้วหัวแม่มือ และนิ้วหัวแม่เท้าของท่านออกเสีย
7 อาโดนีเบเซกกล่าวว่า "มีกษัตริย์เจ็ดสิบองค์ที่มีหัวแม่มือและหัวแม่เท้าด้วน เก็บเศษอาหารอยู่ใต้โต๊ะของเรา เรากระทำแก่เขาอย่างไร พระเจ้าจึงทรงกระทำแก่เราอย่างนั้น" เขาทั้งหลายก็คุมตัวท่านมาที่กรุงเยรูซาเล็ม และท่านก็สิ้นชีวิตที่นั่น
8 และคนยูดาห์ได้เข้าโจมตี เมืองเยรูซาเล็มและยึดเมืองได้ จึงฆ่าฟันชาวเมืองเสียด้วยคมดาบ และเอาไฟเผาเมืองเสีย
9 ภายหลังคนเผ่ายูดาห์ได้ลงไปสู้รบกับคนคานาอัน ผู้ซึ่งตั้งอยู่ในแดนเทือกเขาในเนเกบ และในที่เนินเชเฟลาห์
10 และยูดาห์ได้ไปสู้รบกับคนคานาอันผู้อยู่ในเฮโบรน (เมืองเฮโบรนนั้นแต่ก่อนมีชื่อว่า คีริยาทอาราบาห์) และเขาทั้งหลายได้ประหารเชชัย อาหิมาน และทัลมัย
11 เขาทั้งหลายยกจากที่นั่นไปสู้รบกับชาวเมืองเดบีร์ (เมืองเดบีร์นั้นแต่ก่อนมีชื่อว่า คีริยาทเสเฟอร์)
12 และคาเลบกล่าวว่า "ใครโจมตีเมืองคีริยาทเสเฟอร์และยึดได้ เราจะยกอัคสาห์บุตรสาวของเราให้เป็นภรรยา"
13 โอทนีเอลบุตรเคนัส น้องชายของคาเลบตีเมืองนั้นได้ ท่านจึงยกอัคสาห์บุตรสาวของตนให้เป็นภรรยา
14 อยู่มาเมื่อแต่งงานกันแล้ว นางจึงชวนสามี ให้ขอที่นาต่อบิดา นางก็ลงมาจากหลังลา คาเลบจึงถามนางว่า "เจ้ามามีเรื่องอะไร"
15 นางจึงตอบท่านว่า "ขอของขวัญให้ลูกสักอย่างหนึ่งเถิด เมื่อพ่อให้ฉันมาอยู่ในดินแดนเนเกบแล้ว ลูกขอน้ำพุด้วย" และคาเลบก็ยกน้ำพุบนและน้ำพุล่างให้แก่นาง
16 คนเคไนต์พ่อตาของโมเสสได้ขึ้น ไปจากเมืองดงอินทผลัม พร้อมกับคนยูดาห์มาถึงถิ่นทุรกันดาร ยูดาห์ซึ่งอยู่ในเนเกบใกล้อาราด และเขาก็เข้าไปตั้งอยู่กับชนชาตินั้น
17 และยูดาห์ก็ยกไปร่วมกับสิเมโอนพี่ของเขา ประหารคนคานาอันซึ่งอยู่ในเมืองเศฟัท และทำลายเมืองนั้นเสียอย่างสิ้นเชิง เขาจึงเรียกชื่อเมืองนั้นว่า โฮรมาห์
18 ยูดาห์ได้ยึดเมืองกาซาพร้อมทั้งอาณาเขต และเมืองอัชเคโลนพร้อมทั้งอาณาเขต และเมืองเอโครนพร้อมทั้งอาณาเขตไว้ด้วย
19 และพระเจ้าทรงสถิตกับยูดาห์ เขาจึงขับไล่ชาวแดนเทือกเขาออกไป แต่จะขับไล่ชาวเมืองที่อยู่ในที่ราบนั้นไม่ได้ เพราะพวกเหล่านั้นมีรถรบเหล็ก
20 เมืองเฮโบรนนั้นเขายกให้ คาเลบดังที่โมเสสได้กล่าวไว้ คาเลบจึงขับไล่บุตรชายทั้งสามคนของอานาค ออกไปเสีย
21 แต่คนเบนยามินมิได้ขับไล่คนเยบุสผู้อยู่ใน เยรูซาเล็มให้ออกไป ดังนั้นคนเยบุสจึงอาศัยอยู่กับคนเบนยามินในเยรูซาเล็ม จนถึงทุกวันนี้
22 อนึ่งพงศ์พันธุ์ของโยเซฟได้ขึ้นไปสู้รบเมืองเบธเอลด้วย และพระเจ้าทรงสถิตกับเขา
23 พงศ์พันธุ์โยเซฟได้ใช้คนไปสอดแนมเมืองเบธเอล (แต่ก่อนเมืองนี้ชื่อ ลูส)
24 และผู้สอดแนมเห็นชายคนหนึ่งเดินออกมาจากเมือง จึงพูดกับเขาว่า "ขอชี้ทางเข้าเมืองนี้ให้แก่เรา และเราจะปรานีเจ้า"
25 ชายคนนั้นก็ชี้ทาง เข้าเมืองให้และเขาประหารเมืองนั้นทำลายเสียด้วยคมดาบ แต่เขาปล่อยให้ชายคนนั้น และวงศ์ญาติทั้งสิ้นของเขารอดไป
26 ชายคนนั้นก็เข้าไปในแผ่นดินของคนฮิตไทต์ และสร้างเมืองขึ้นเมืองหนึ่งเรียกชื่อว่าเมืองลูส ซึ่งเป็นชื่ออยู่จนทุกวันนี้
27 มนัสเสห์มิได้ขับไล่ชาวเมืองเบธชานและ ชาวชนบทของเมืองนั้นให้ออกไป หรือชาวเมืองทาอานาคกับชาวชนบทของเมืองนั้น หรือชาวเมืองโดร์กับชาวชนบทของเมืองนั้น หรือชาวเมืองอิบเลอัมกับชาวชนบทของเมืองนั้น หรือชาวเมืองเมกิดโดกับชาวชนบทของเมืองนั้น แต่คนคานาอันยังขืนอาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้น
28 อยู่มาเมื่อคนอิสราเอลมีกำลังเข้มแข็งขึ้น ก็บังคับคนคานาอันให้ทำงานโยธา แต่มิได้ขับไล่ให้เขาออกไปเสียอย่างสิ้นเชิง
29 และเอฟราอิมมิได้ขับไล่คนคานาอัน ผู้อาศัยอยู่ในเมืองเกเซอร์ให้ออกไป แต่คนคานาอันยังอาศัยอยู่ในเมืองเกเซอร์ ท่ามกลางเขา
30 เศบูลุนมิได้ขับไล่ชาวเมืองคิทโรน หรือชาวเมืองนาหะโลล แต่คนคานาอันได้อาศัยอยู่ท่ามกลางเขา และถูกเกณฑ์ให้ทำงานโยธา
31 อาเชอร์มิได้ขับไล่ชาวเมืองอัคโค หรือชาวเมืองไซดอน หรือชาวเมืองอัคลาบ หรือชาวเมืองอัคซิบ หรือชาวเมืองเฮลบาห์ หรือชาวเมืองอาฟิกหรือชาวเมืองเรโหบ
32 แต่คนเผ่าอาเชอร์ได้อาศัยอยู่ท่ามกลาง คนคานาอันชาวแผ่นดินนั้น เพราะว่าเขาทั้งหลายมิได้ขับไล่ให้ออกไปเสีย
33 นัฟทาลีมิได้ขับไล่ชาวเมืองเบธเชเมช หรือชาวเมืองเบธานาทแต่อาศัยอยู่ ในหมู่คนคานาอันชาวแผ่นดินนั้น แต่อย่างไรก็ดีชาวเมืองเบธเชเมช และชาวเมืองเบธานาทก็ถูกเกณฑ์ให้ทำงานโยธา
34 คนอาโมไรต์ได้ขับดันคนเผ่าดานให้กลับ เข้าไปในแดนเทือกเขาไม่ยอมให้ลงมายังที่ลุ่ม
35 คนอาโมไรต์ยังขืน อาศัยอยู่ที่ฮารเฮเรสในเมืองอัยยาโลน และในเมืองชาอัลบิม แต่มือของพงศ์พันธุ์โยเซฟเหนือกว่ามือเขาทั้งหลาย เขาจึงถูกเกณฑ์ให้ทำงานโยธา
36 อาณาเขตของคนอาโมไรต์ ตั้งต้นแต่ทางข้ามเขาอัครับบิมตั้งแต่เมืองเส-ลาเรื่อยขึ้นไป

ผู้วินิจฉัย 2
1 ฝ่ายทูตของพระเจ้าได้ขึ้นไปจากกิลกาลถึงโบคิม และท่านกล่าวว่า "เราได้ให้เจ้าทั้งหลายขึ้นไปจากอียิปต์ และได้นำเจ้าเข้ามาในแผ่นดินซึ่งเราปฏิญาณไว้ แก่บรรพบุรุษของเจ้าเราว่า 'เราจะไม่หักพันธสัญญาที่เราได้มีไว้กับเจ้าเลย
2 และเจ้าทั้งหลายอย่าทำพันธสัญญา กับชาวแผ่นดินนี้เจ้าต้องทำลายแท่นบูชาของเขา เสีย' แต่เจ้ามิได้เชื่อฟังบัญชาของเรา เจ้าทำอะไรเช่นนี้เล่า
3 ฉะนั้นเรากล่าวด้วยว่า เราจะไม่ขับไล่เขาเหล่านั้นออกไปให้พ้นหน้าเจ้า แต่เขาจะเป็นหอกข้างแคร่ของเจ้า และพระของเขาจะเป็นบ่วงดักเจ้า"
4 อยู่มาเมื่อทูตของพระเจ้ากล่าว คำเหล่านี้แก่คนอิสราเอลแล้ว ประชาชนทั้งหลายก็ส่งเสียงร้องไห้
5 และเขาเรียกที่ตำบลนั้นว่า โบคิม และเขาทั้งหลายได้ถวายสัตวบูชาแด่พระเจ้าที่นั่น
6 เมื่อโยชูวาปล่อยประชาชนไปแล้วคนอิสราเอล ต่างก็เข้าไปอยู่ในมรดกที่ดินของตนเพื่อยึดครอง
7 ประชาชนทั้งหลายได้ปรนนิบัติพระเจ้าตลอดชีวิต ของโยชูวา และตลอดชีวิตของพวกผู้ใหญ่ที่มีอายุยืน นานกว่าโยชูวาผู้ซึ่งได้เห็นปวงมหกิจ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงกระทำเพื่ออิสราเอล
8 โยชูวาบุตรนูนผู้รับใช้ของพระเจ้า สิ้นชีวิตเมื่ออายุได้หนึ่งร้อยสิบปี
9 เขาทั้งหลายก็ฝังท่านไว้ในเขตที่ดินมรดกของ ท่านที่เมืองทิมนาทเฮเรส ในแดนเทือกเขาเอฟราอิมทิศเหนือของภูเขากาอัช
10 และชาติพันธุ์รุ่นนั้นทั้งสิ้น ก็ถูกรวบไปอยู่กับบรรพบุรุษของเขา อีกชาติพันธุ์หนึ่งก็เกิดขึ้นตามมา เขาไม่รู้จักพระเจ้าหรือรู้พระราชกิจ ซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำเพื่ออิสราเอล และงานปฏิบัติของผู้วินิจฉัย
11 คนอิสราเอลก็กระทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรพระเจ้า คือปรนนิบัติพระบาอัลทั้งหลาย
12 เขาได้ละทิ้งพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเขา ผู้ทรงนำเขาออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ และเขาทั้งหลายติดตามพระอื่นซึ่งเป็นพระของ ชนชาติทั้งหลายที่อยู่ล้อมรอบเขา กราบไหว้พระเหล่านั้น กระทำให้พระเจ้าทรงพิโรธ
13 เขาทั้งหลายละทิ้งพระเจ้าไปปรนนิบัติพระบาอัล และพวกพระอัชทาโรท
14 ดังนั้นพระพิโรธของพระเจ้าจึงพลุ่งขึ้นต่ออิสราเอล พระองค์จึงทรงมอบเขาไว้ในมือพวกปล้นผู้ปล้นเขา และทรงขายเขาไว้ในอำนาจของบรรดาศัตรูที่อยู่ รอบเขาทั้งหลาย ดังนั้นเขาทั้งหลายจึงต่อต้านพวก ศัตรูของเขาทั้งหลายต่อไปไม่ได้
15 เขาทั้งหลายออกไปรบเมื่อไร พระหัตถ์ของพระเจ้าก็ต่อต้านเขา กระทำให้เขาพ่ายแพ้ดังที่พระเจ้าได้ตรัสไว้แล้ว และดังที่พระเจ้าทรงปฏิญาณไว้กับเขาและเขา ทั้งหลายก็มีความทุกข์ยิ่งนัก
16 พระเจ้าทรงให้เกิดผู้วินิจฉัย ผู้ช่วยเขาทั้งหลายให้พ้นมือของผู้ที่ปล้นเขา
17 แต่เขาทั้งหลายก็ยังไม่เชื่อฟังผู้วินิจฉัยทั้งหลายของเขา เพราะเขาทั้งหลายเล่นชู้กับพระอื่น และกราบไหว้พระอื่น ไม่ช้าเขาก็หันไปเสียจากทางซึ่งบรรพบุรุษของเขาได้ดำเนิน ผู้ได้เชื่อฟังพระธรรมบัญญัติของพระเจ้า แต่เขาทั้งหลายมิได้กระทำตาม
18 พระเจ้าทรงตั้งผู้วินิจฉัยขึ้นเมื่อไร พระเจ้าก็ทรงสถิตกับผู้วินิจฉัยนั้นเมื่อนั้น และพระองค์ทรงช่วยเขาทั้งหลายให้พ้นจาก เงื้อมมือของศัตรูตลอด ชีวิตของผู้วินิจฉัย เพราะพระเจ้าทรงกลับพระทัยสงสารเขาทั้งหลาย เมื่อทรงฟังเสียงคร่ำครวญของเขาเนื่องด้วย ผู้ข่มเหงและบีบบังคับ
19 แต่อยู่มาเมื่อผู้วินิจฉัยนั้นสิ้นชีวิต เขาทั้งหลายก็หันกลับประพฤติชั่วร้ายเสีย ยิ่งกว่าบิดาของเขาหลงไป ติดตามปรนนิบัติ และกราบไหว้พระอื่น เขามิได้เคยงดเว้นความชั่วที่เคยกระทำหรือหายจาก ทางดื้อดึงของเขา
20 ดังนั้นพระพิโรธของพระเจ้าจึงพลุ่งขึ้นต่ออิสราเอล และพระองค์ตรัสว่า "เพราะประชาชาตินี้ได้ละเมิดต่อพันธสัญญา ซึ่งเราได้บัญชาไว้กับบรรพบุรุษของเขา และไม่ยอมฟังเสียงของเรา
21 ดังนั้นตั้งแต่นี้ต่อไปเราจะไม่ขับไล่ประชาชาติใด ในบรรดาประชาชาติซึ่งโยชูวาทิ้งไว้เมื่อเขาสิ้น ชีวิตนั้นให้พ้นหน้า
22 เพื่อเราจะใช้ประชาชาติเหล่านั้นทั้งสิ้น ทดสอบอิสราเอลว่า เขาจะรักษาพระมรรคาของพระเจ้าและดำเนิน ตามอย่างบรรพบุรุษของเขาหรือไม่"
23 ดังพระเจ้าทรงปล่อยประชาชาติเหล่านั้นไว้ ไม่ทรงขับไล่ให้ออกไปเสียโดยเร็ว และพระองค์มิได้ทรงมอบเขาทั้งหลายไว้ในมือของโยชูวา

ผู้วินิจฉัย 3
1 ต่อไปนี้เป็นประชาชาติที่พระเจ้าทรงให้เหลือไว้ เพื่อใช้ทดสอบบรรดาคนอิสราเอล ผู้ซึ่งยังไม่เคยประสบสงครามในคานาอัน
2 แต่เพียงทรงให้ชาติพันธุ์คนอิสราเอลเข้าใจเรื่องการสงคราม เพื่ออย่างน้อยพระองค์จะได้ทรงสอนแก่ผู้ที่ยังไม่ทราบมาก่อน
3 คือเจ้านายทั้งห้าของพวกฟีลิสเตียคนคานาอันทั้งหมด ชาวไซดอนและคนฮีไวต์ผู้อาศัยอยู่บนภูเขาเลบานอน ตั้งแต่ภูเขาบาอัลเฮอร์โมน จนถึงทางเข้าเมืองฮามัท
4 เหลือคนเหล่านี้อยู่เพื่อทดสอบคนอิสราเอลเพื่อ ให้ทราบว่า อิสราเอลจะเชื่อฟังพระธรรมบัญญัติของพระเจ้า ซึ่งพระองค์ทรงบัญชาไว้กับบรรพบุรุษของเขาโดย โมเสสนั้นหรือไม่
5 ดังนั้นแหละคนอิสราเอลจึงอาศัยอยู่ในหมู่คนคานาอัน คนฮิตไทต์ คนอาโมไรต์ คนเปริสซี คนฮีไวต์และคนเยบุส
6 เขาไปสู่ขอบุตรสาวชนเหล่านั้นมาเป็นภรรยา และยกบุตรสาวของตนให้แก่บุตรชายของคนเหล่านั้นและได้ปรนนิบัติพระของเขาเหล่านั้น
7 คนอิสราเอลได้กระทำความชั่วในสายพระเนตรพระเจ้า ลืมพระเยโฮวาห์พระเจ้าของตนเสีย ไปปรนนิบัติพระบาอัลทั้งหลายและพวกพระอัชทาโรท
8 เพราะฉะนั้นพระพิโรธของพระเจ้าก็พลุ่งขึ้นต่ออิสราเอล และพระองค์ทรงขายเขาไว้ในมือคูชันริชาธาอิมกษัตริย์ เมืองเมโสโปเตเมีย และคนอิสราเอลได้ปฏิบัติคูชันริชาธาอิมแปดปี
9 แต่เมื่อคนอิสราเอลร้องทูลพระเจ้า พระเจ้าทรงให้เกิดผู้ช่วยแก่คนอิสราเอล ผู้ได้ช่วยเขาทั้งหลายให้รอด คือโอทนีเอลบุตรเคนัส น้องชายของคาเลบ
10 พระวิญญาณของพระเจ้าทรงสถิตกับโอทนีเอล และท่านจึงวินิจฉัยคนอิสราเอลและออกไปกระทำสงคราม และพระเจ้าทรงมอบคูชันริชาธาอิมกษัตริย์เมือง เมโสโปเตเมียไว้ในมือของท่าน และมือของท่านชนะคูชันริชาธาอิม
11 ดังนั้นแผ่นดินจึงได้หยุดพักสงบอยู่สี่สิบปี แล้วโอทนีเอลบุตรเคนัสก็สิ้นชีวิต
12 และคนอิสราเอลกระทำความชั่วในสายพระเนตร พระเจ้าอีก พระเจ้าจึงทรงเสริมกำลังเอกโลน กษัตริย์เมืองโมอับเพื่อ ต่อสู้อิสราเอล เพราะว่าเขาทั้งหลายได้ประพฤติชั่วในสายพระเนตรพระเจ้า
13 ท่านจึงได้ให้คนอัมโมนและคนอามาเลขมาสมทบ ยกไปโจมตีอิสราเอลและได้ยึดเมืองดงอินทผลัมไว้
14 และคนอิสราเอลจึงปฏิบัติเอกโลนกษัตริย์เมืองโมอับ อยู่ถึงสิบแปดปี
15 แต่เมื่อคนอิสราเอลร้องทูลพระเจ้า พระเจ้าทรงให้เกิดผู้ช่วยคนหนึ่งแก่เขาทั้งหลาย ชื่อเอฮูด บุตรเก-ราเผ่าเบนยามิน คนถนัดมือซ้าย คนอิสราเอลให้ท่านเป็นผู้นำส่วยไปมอบแก่เอกโลนกษัตริย์ เมืองโมอับ
16 เอฮูดได้ทำดาบสองคมไว้ประจำตัวเล่มหนึ่งยาวศอกหนึ่ง เหน็บไว้ใต้ผ้าที่ต้นขาขวา
17 เขาก็นำส่วยไปมอบแก่เอกโลนกษัตริย์เมืองโมอับ ฝ่ายเอกโลนเป็นคนอ้วนมาก
18 และเมื่อเอฮูดมอบส่วยเสร็จแล้ว ท่านจึงไปส่งคนที่หาบหามส่วยนั้น
19 แล้วตัวท่านกลับไปจาก รูปเคารพสลักที่อยู่ใกล้กิลกาลทูลว่า "ข้าแต่กษัตริย์ ข้าพระบาทมีข้อราชการลับที่จะกราบทูลให้ทรงทราบ" กษัตริย์จึงมีบัญชาว่า "เงียบๆ" บรรดามหาดเล็กที่เฝ้าอยู่ก็ทูลลาออกไปหมด
20 และเอฮูดก็เข้าไปเฝ้าท่าน ขณะนั้นท่านประทับอยู่ลำพังในห้องเย็นชั้นบนของท่าน และเอฮูดทูลว่า "ข้าพระบาทมีพระดำรัสจากพระเจ้าถวายฝ่าพระบาท" ท่านจึงลุกขึ้นจากพระที่นั่ง
21 เอฮูดก็ยื่นมือซ้ายชักดาบ นั้นออกจากต้นขาขวาแทงเข้าไปในท้องของเอกโลน
22 ดาบจมเข้าไปหมดทั้งด้าม ไขมันหุ้มดาบไว้ ท่านเอฮูดก็ไม่ชักดาบออกจากท้องของท่าน ของโสโครกออกมา
23 แล้วเอฮูดออกไปที่เฉลียงปิดทวารห้องชั้นบน ลั่นกุญแจเสีย
24 เมื่อเอฮูดไปแล้วมหาดเล็กก็เข้ามาดู เมื่อเขาเห็นว่าทวารห้องชั้นบนปิดใส่กุญแจอยู่ เขาทั้งหลายคิดว่า "พระองค์ท่านกำลังทรงส่งทุกข์อยู่ที่ในห้องเย็น"
25 เมื่อคอยอยู่ช้านานจนรำคาญ ไม่เห็นมีใครเปิดทวารห้องชั้นบน เขาจึงเอากุญแจมาไขเปิดออกดู เห็นเจ้านายของตนนอนสิ้นชีวิตอยู่บนพื้น
26 เมื่อเขาต่างก็คอย กันอยู่นั้น เอฮูดก็หนีไปพ้นรูปเคารพหินสลัก รอดมาได้ถึงเสอีราห์
27 เมื่อท่านมาถึงแล้วจึงเป่าเขาสัตว์ขึ้นในแดน เทือกเขาเอฟราอิม แล้วคนอิสราเอลก็ยกลงไปกับท่านจากแดนเทือกเขา และท่านนำเขา
28 ท่านจึงสั่งเขาว่า "จงตามเรามาเถิดเพราะพระเจ้าทรงมอบศัตรูของท่าน คือชนโมอับไว้ในมือของท่านแล้ว" เขาทั้งหลายจึงลงตามท่านไปและยึดท่าข้ามแม่น้ำจอร์แดน สกัดคนอัมโมนไว้ไม่ยอมให้ใครข้ามไปได้สักคนเดียว
29 ในคราวนั้นเขาประหารคนโมอับเสียประมาณหนึ่งหมื่นคน ล้วนแต่คนฉกรรจ์และล่ำสันทั้งสิ้น ไม่พ้นไปได้สักคนเดียว
30 โมอับจึงพ่ายแพ้อยู่ใต้มือของอิสราเอลในวันนั้น และแผ่นดินอิสราเอลก็ได้หยุดพักสงบอยู่แปดสิบปี
31 ภายหลังเอฮูด มีชัมการ์บุตรอานาทผู้ใช้ประตักวัวฆ่าคนฟีลิสเตียเสียหกร้อยคน ท่านก็เป็นผู้ช่วยอิสราเอลให้รอดด้วยเหมือนกัน

ผู้วินิจฉัย 4
1 ครั้นเอฮูดสิ้นชีวิตแล้ว คนอิสราเอลก็ประพฤติชั่วอีกในสายพระเนตรของพระเจ้า
2 พระเจ้าจึงทรงขายเขาไว้ในมือของยาบินกษัตริย์เมือง คานาอัน ผู้ครอบครองอยู่ณกรุงฮาโซร์ แม่ทัพของท่านชื่อสิเสรา เป็นชาวเมืองฮาโรเชธฮาโกอิม
3 แล้วคนอิสราเอลก็ร้องทุกข์ถึงพระเจ้า เพราะว่ากษัตริย์ยาบินมีรถรบเหล็กเก้าร้อยคัน และได้บีบบังคับคนอิสราเอลอย่างร้ายถึงยี่สิบปี
4 คราวนั้นผู้เผยพระวจนะหญิงคนหนึ่งชื่อเดโบราห์ ภรรยาของลัปปิโดทเป็นผู้วินิจฉัยคนอิสราเอลสมัยนั้น
5 นางเคยนั่งอยู่ใต้ต้นอินทผลัมเดโบราห์ที่อยู่ ระหว่างรามาห์ และเบธเอลในแดนเทือกเขาเอฟราอิม และคนอิสราเอลก็มาหานางที่นั่น เพื่อให้ชำระความ
6 นางใช้คนไปเรียกบาราคบุตรอาบีโนอัม ให้มาจากเคเดชในนัฟทาลีและกล่าวแก่เขาว่า "พระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอลมิได้ทรง บัญชาท่านหรือว่า 'ไปซิรวบรวมพลไว้ที่ภูเขาทาโบร์ จงเกณฑ์จากเผ่านัฟทาลีและเผ่าเศบูลุนหนึ่งหมื่นคน
7 และเราจะชักนำสิเสราแม่ทัพของ ยาบินให้มาพบกับเจ้าที่แม่น้ำคีโชน พร้อมกับรถรบและกองทหารของเขา และเราจะมอบเขาไว้ในมือของเจ้า'"
8 บาราคจึงตอบนางว่า "ถ้าแม้นางไปกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไป ถ้าแม้นางไม่ไปกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ไม่ไป"
9 นางจึงตอบว่า "ฉันจะไปกับท่านแน่ แต่ว่าทางที่ท่านไปนั้นจะไม่นำท่านไปถึงศักดิ์ศรี เพราะว่าพระเจ้าจะขายสิเสราไว้ในมือของหญิงคนหนึ่ง" แล้วนางเดโบราห์ก็ลุกขึ้นไปกับบาราคถึงเมืองเคเดช
10 บาราคจึงเรียกเศบูลุนกับนัฟทาลีให้ไปที่เคเดช มีคนหนึ่งหมื่นเดินตามขึ้นไปและนางเดโบราห์ก็ไปด้วย
11 มีชายคนหนึ่งชื่อเฮเบอร์คนเคไนต์ ได้แยกออกจากคนเคไนต์ทั้งหลาย คือจากพงศ์พันธุ์ของโฮบับพ่อตาของโมเสส มาตั้งเต็นท์อยู่ไกลออกไปถึงต้นก่อหลวงในศานันนิม ซึ่งอยู่ใกล้เมืองเคเดช
12 เมื่อมีคนไปแจ้งแก่สิเสราว่า บาราคบุตรอาบีโนอัมขึ้นไปที่ภูเขาทาโบร์แล้ว
13 สิเสราก็เรียกรถรบทั้งหมดของท่านออกมา เป็นรถเหล็กเก้าร้อยคัน รวมกับเหล่าทหารทั้งหมดที่ไปด้วย ยกไปจากเมือง ฮาโรเชทฮาโกยิมไปถึงแม่น้ำคีโชน
14 นางเดโบราห์จึงกล่าวแก่บาราคว่า "ลุกขึ้นเถิด เพราะว่านี่เป็นวันที่พระเจ้าทรงมอบสิเสราไว้ในมือของท่าน พระเจ้าเสด็จนำหน้าท่านไปมิใช่หรือ" บาราคจึงลงไปจากภูเขาทาโบร์พร้อมกับ ทหารหนึ่งหมื่นคนติดตามท่านไป
15 พระเจ้าทรงกระทำให้สิเสราพร้อมกับ รถรบทั้งสิ้นของท่าน และกองทัพทั้งหมดของท่านแตกตื่นพ่ายแพ้ ด้วยคมดาบต่อหน้าบาราค แล้วสิเสราก็ลงจากรถรบวิ่งหนีไป
16 และบาราคได้ไล่ติดตามรถรบทั้งหลายและกองทัพ ไปจนถึงฮาโรเชทฮาโกยิม และกองทัพของสิเสราก็ล้มตายด้วยคมดาบ ไม่เหลือสักคนเดียว
17 ฝ่ายสิเสราวิ่งหนีไปถึงเต็นท์ของยาเอล ภรรยาของเฮเบอร์คนเคไนต์ เพราะว่ายาบินกษัตริย์เมืองฮาโซร์เป็นไมตรี กันกับพงศ์พันธุ์เฮเบอร์คนเคไนต์
18 ยาเอลจึงออกไปต้อนรับสิเสราเรียนว่า "เจ้านายของดิฉันเจ้าข้า เชิญแวะเข้ามา เชิญแวะเข้ามาพักกับดิฉัน อย่ากลัวอะไรเลย" สิเสราจึงแวะเข้าไปในเต็นท์ และนางก็เอาผ้าห่มมาคลุมตัวให้
19 ท่านจึงพูดกับนางว่า "ขอน้ำให้เรากินสักหน่อยเพราะเรากระหายน้ำ" นางก็เปิดถุงน้ำนมให้ท่านดื่ม และเอาผ้าคลุมท่านไว้
20 สิเสราจึงบอกแก่นางอีกว่า "ขอยืนเฝ้าที่ประตูเต็นท์ ถ้ามีผู้ใดมาถามว่า 'มีใครมาพักที่นี่บ้างหรือ' จงบอกว่า 'ไม่มี'"
21 แต่ยาเอลภรรยาของเฮเบอร์หยิบหลักขึงเต็นท์ ถือค้อนเดินย่องเข้ามา ตอกหลักเข้าที่ขมับของสิเสราทะลุติดดิน ขณะเมื่อสิเสรากำลังหลับสนิทอยู่เพราะความเหน็ดเหนื่อย แล้วสิเสราก็สิ้นชีวิต
22 และดูเถิด บาราคไล่ติดตามสิเสรามาถึง ยาเอลก็ออกไปต้อนรับเรียนท่านว่า "เชิญเข้ามาเถิด ดิฉันจะชี้ให้ท่านเห็นคนที่ท่านค้นหาอยู่นั้น" บาราคก็เข้าไปเห็นสิเสรานอนสิ้นชีวิตอยู่ มีหลักเต็นท์ในขมับ
23 ดังนี้แหละในวันนั้น พระเจ้าทรงกระทำให้ยาบินกษัตริย์คานาอันนอบน้อมต่อคน อิสราเอล
24 และมือของคนอิสราเอลก็กระทำต่อยาบินหนักขึ้น ทุกที จนเขาทั้งหลายได้ทำลายยาบินกษัตริย์เมืองคานาอันเสีย

ผู้วินิจฉัย 5
1 แล้วนางเดโบราห์กับบาราคบุตรอาบีโนอัม จึงร้องเพลงในวันนั้นว่า
2 "จงถวายสาธุการแด่พระเจ้า ด้วยว่าบรรดาประมุขได้นำคนอิสราเอล และประชาชนก็สมัครใจช่วย
3 "ข้าแต่บรรดากษัตริย์ขอทรงสดับ เจ้านายทั้งหลายขอจงเงี่ยหูฟัง ข้าพเจ้านี่แหละจะร้องเพลงถวายพระเจ้า ข้าพเจ้าจะร้องส่งถวายพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของอิสราเอล
4 "ข้าแต่พระเจ้า เมื่อพระองค์เสด็จออกจากเสอีร์ เมื่อพระองค์เสด็จจากท้องถิ่นเอโดม แผ่นดินก็หวาดหวั่นไหว ท้องฟ้าก็ปล่อยลงมา เออ เมฆก็ปล่อยฝนลงมา
5 ภูเขาก็ไหวสะท้านต่อพระพักตร์พระเจ้า ทั้งภูเขาซีนาย โน้มต่อพระพักตร์ พระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอล
6 "ในสมัยชัมการ์บุตรอานาท สมัยยาเอล ทางหลวงก็หยุดชะงัก ผู้สัญจรไปมาก็หลบไปเดินตามทางซอย
7 ชาวไร่ชาวนาในอิสราเอลก็หยุดยั้ง เขาหยุดยั้งจนดิฉันเดโบราห์ขึ้นมา จนดิฉันขึ้นมาเป็นอย่างมารดาอิสราเอล
8 เมื่อเลือกนับถือพระใหม่ สงครามก็ประชิดเข้ามาถึงประตูเมือง เห็นมีโล่หรือหอกสักอันหนึ่งในพลอิสราเอลสี่หมื่นคนหรือ
9 จิตใจของข้าพเจ้านิยมชมชอบ ในบรรดาเจ้าเมืองของอิสราเอล ผู้อาสาสมัครท่ามกลางประชาชน จงถวายสาธุการแด่พระเจ้า
10 "บรรดาท่านผู้ที่ขี่ลาเผือก จงบอกกล่าวให้ทราบเถิด ทั้งท่านผู้ที่นั่งบนพรมอันมีค่า และท่านที่สัญจรไปมา
11 ณที่ตักน้ำห่างไกลจากเสียงนักธนู เขากล่าวถึงชัยชนะของพระเจ้า คือชัยชนะของชาวไร่ชาวนาในอิสราเอล "แล้วชนชาติของพระเจ้าก็เดินไปที่ประตูเมือง
12 "เดโบราห์เอ๋ย ตื่นเถิด ตื่นเถิด ตื่นเถิด ตื่นมาร้องเพลง ลุกขึ้นเถิด บาราค โอ บุตรอาบีโนอัมเอ๋ย พาพวกเชลยของท่านไป
13 ครั้งนั้นผู้มีศักดิ์ที่เหลืออยู่และประชาชนก็ลงมา พระเจ้าเสด็จลงมาสู้กับผู้มีกำลังเพื่อข้าพเจ้า
14 ผู้ที่มีรากอยู่ในอามาเลขได้ลงมาจากเอฟราอิม เขาเดินตามท่านนะ เบนยามิน ท่ามกลางประชาชนของท่าน ผู้บังคับบัญชาเดินลงมาจากมาคีร์ และผู้ถือไม้ของจอมพลออกมาจากเศบูลุน
15 เจ้านายทั้งหลายของอิสสาคาร์มากับเดโบราห์ และอิสสาคาร์กับบาราคด้วย เขาเร่งติดตามท่านไปในหุบเขา มีความตั้งใจอย่างยิ่ง ในบรรดาตระกูลรูเบน
16 ไฉนท่านจึงรั้งรออยู่ที่คอกแกะ เพื่อจะฟังเสียงปี่ที่เขาเป่าให้แกะฟัง ที่ทางน้ำของรูเบน มีการพิจารณาความมุ่งหมายของจิตใจ
17 กิเลอาดอยู่ฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน ส่วนดานอาศัยอยู่กับเรือกำปั่น ทำไมเล่า อาเชอร์นั่งเฉยอยู่ที่ฝั่งทะเล ตั้งบ้านเรือนอยู่ตามท่าจอดเรือของเขา
18 เศบูลุนเป็นเผ่าที่เสี่ยงชีวิตเข้าสู่ความตาย ฝ่ายนัฟทาลีก็ทำเช่นกันณที่สูง ในสนามรบ
19 "พอบรรดากษัตริย์มาถึง ก็รบกัน บรรดากษัตริย์คานาอันก็รบ ที่ทาอานาค ริมห้วงน้ำเมกิดโด โดยมิได้ริบเงินเลย
20 ดวงดาวก็สู้รบจากสวรรค์ จากวิถีของมัน มันทั้งหลายรบกับสิเสรา
21 แม่น้ำคีโชนพัดกวาดเขาไปเสีย คือแม่น้ำคีโชน แม่น้ำโบราณนั้น จิตของข้าพเจ้าเอ๋ย จงเดินต่อไปด้วยกำลังแข็งขัน
22 "แล้วเสียงกีบม้าก็กระทบแรง โดยม้าของเขาวิ่งควบไป ควบไป
23 "ทูตพระเจ้ากล่าวว่า จงสาปแช่งเมโรสเถิด จงสาปแช่งชาวเมืองให้หนัก เพราะเขาไม่ได้ออกมาช่วยพระเจ้า คือช่วยพระเจ้าสู้ผู้มีกำลังมาก
24 "หญิงที่น่าสรรเสริญมากที่สุดก็คือยาเอล ภรรยาของเฮเบอร์คนเคไนต์ เป็นหญิงที่น่าสรรเสริญมากที่สุดที่อยู่เต็นท์
25 เขาขอน้ำ เธอก็ให้น้ำนม เธอเอานมข้นใส่ชามหลวงมายื่นให้
26 เธอเอื้อมมือหยิบหลักเต็นท์ ข้างมือขวาของเธอฉวยตะลุมพุก เธอตอกสิเสราเข้าทีหนึ่ง เธอบี้ศีรษะของสิเสรา เธอตีทะลุขมับของเขา
27 เขาจมลง เขาล้ม เขานอนที่เท้าของนาง ที่เท้าของนางเขาจมลง เขาล้ม เขาจมลงที่ไหน ที่นั่นเขาล้ม ลงตาย
28 "เธอมองออกไปตามช่องหน้าต่าง มารดาของสิเสรามองไปตามบานเกล็ด ร้องว่า 'ทำไมหนอ รถรบของเขาจึงมาช้าเหลือเกิน ทำไมล้อรถรบของเขาจึงเนิ่นช้าอยู่'
29 บรรดาสตรีผู้ฉลาดของนางจึงตอบนาง เปล่าดอก เธอนึกตอบเอาเองว่า
30 'เขาทั้งหลายยังไม่พบและยังไม่แบ่ง ของที่ริบมาได้หรือ หญิงคนหนึ่งหรือสองคนได้แก่ชายคนหนึ่ง สิ่งของย้อมสีที่ริบมาเป็นของสิเสรา ของย้อมสีที่ปักลวดลาย ของย้อมสีที่ปักลวดลาย สองหน้าสำหรับพันคอของข้าเป็นของที่ริบ'
31 ข้าแต่พระเจ้า ขอศัตรูทั้งปวงของพระองค์พินาศสิ้นดังนี้ แต่ขอให้ผู้ที่รักพระองค์เปรียบดังดวงอาทิตย์ เมื่อโผล่ขึ้นด้วยอานุภาพ และแผ่นดินก็หยุดพักสงบอยู่สี่สิบปี

ผู้วินิจฉัย 6
1 และคนอิสราเอลก็ได้กระทำชั่วในสายพระเนตร ของพระเจ้า และพระเจ้าทรงมอบเขาไว้ในมือของคนมีเดียนเจ็ดปี
2 และมือของคนมีเดียนก็ชนะอิสราเอลเพราะคน มีเดียนเป็นเหตุ ประชาชนอิสราเอลจึงต้องทำที่ซ่อนอยู่ในภูเขาคือถ้ำ และป้อมที่เข้มแข็ง
3 เพราะว่าคนอิสราเอลหว่านพืชเมื่อไร คนมีเดียนและคนอามาเลข และชาวตะวันออกก็ขึ้นมาสู้รบกับเขา
4 เขามาตั้งค่ายไว้แล้วทำลายพืชผลแห่งแผ่นดินเสีย ไกลไปถึงเมืองกาซาไม่ให้มีเครื่องบริโภคเหลือใน อิสราเอลเลย ไม่ว่าแกะหรือวัวหรือลา
5 เพราะว่าคนเหล่านั้นจะขึ้นมาพร้อมทั้งฝูงสัตว์และเต็นท์ เขามาเหมือนตั๊กแตนเป็นฝูงๆ ทั้งคนและอูฐก็นับไม่ถ้วนเมื่อเขาเข้ามา เขาก็ทำลายแผ่นดินเสียอย่างนี้แหละ
6 พวกอิสราเอลจึงตกต่ำลงมาก เพราะคนมีเดียนคนอิสราเอลก็ ร้องทุกข์ถึงพระเจ้าขอให้ทรงช่วยเหลือ
7 เมื่อคนอิสราเอลร้องทุกข์ถึงพระเจ้า เพราะคนมีเดียน
8 พระเจ้าก็ทรงใช้ผู้เผยพระวจนะคนหนึ่งให้มาหา คนอิสราเอล ผู้นั้นพูดกับเขาทั้งหลายว่า "พระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า 'เราได้นำพวกเจ้าขึ้นมาจากอียิปต์ นำเจ้าออกมาจากแดนทาส
9 และเราได้ช่วยเจ้าให้พ้นจากเงื้อมมือของชาวอียิปต์ และให้พ้นจากมือของบรรดาผู้ที่บีบบังคับเจ้า และขับไล่เขา ให้ออกไปเสียให้พ้นหน้าเจ้า และมอบแผ่นดินของเขาให้แก่เจ้า
10 และเราบอกกับเจ้าว่า "เราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า เจ้าอย่าเกรงกลัวพระของคนอาโมไรต์ ในแผ่นดินของเขาซึ่งเจ้าอาศัยอยู่นั้น" แต่เจ้าทั้งหลายหาได้ฟังเสียงของเราไม่'"
11 ฝ่ายทูตของพระเจ้ามานั่งอยู่ที่ใต้ ต้นก่อที่ตำบลโอฟราห์ ซึ่งเป็นของโยอาชตระกูลอาบีเยเซอร์ ฝ่ายกิเดโอนบุตรของท่านกำลังนวดข้าวสาลีอยู่ใน บ่อย่ำองุ่นเพื่อซ่อนให้พ้นตาคนมีเดียน
12 ทูตของพระเจ้าปรากฏแก่กิเดโอนพูดกับเขาว่า "เจ้าบุรุษผู้กล้าหาญเอ๋ย พระเจ้าทรงสถิตกับเจ้า"
13 กิเดโอนจึงทูลท่านผู้นั้นว่า "ท่านเจ้าข้า ถ้าพระเจ้าทรงสถิตกับพวกเราแล้ว ไฉนเหตุเหล่านี้จึงเกิดขึ้นแก่เราเล่า และการอัศจรรย์ต่างๆ ของพระองค์ซึ่งปู่ย่าตายายเคยเล่าให้เราฟังว่า 'พระเจ้าทรงนำเราออกจากอียิปต์มิใช่หรือ' แต่สมัยนี้พระเจ้าทรงทอดทิ้งเราเสียแล้ว และทรงมอบเราไว้ในมือของพวกมีเดียน"
14 และพระเจ้าทรงหันมาหาเขาตรัสว่า "จงไปช่วยคนอิสราเอล ให้พ้นจากเงื้อมมือพวกมีเดียนด้วยกำลังของเจ้านี่แหละ เราใช้เจ้าให้ไปแล้ว มิใช่หรือ"
15 กิเดโอนจึงกราบทูลว่า "ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์จะช่วยอิสราเอลได้อย่างไร ดูเถิด ตระกูลบิดาของข้าพระองค์ต่ำต้อยที่สุดในเผ่ามนัสเสห์ และตัวข้าพระองค์ก็เป็นคนเล็กน้อยที่สุดในครอบครัวของ ข้าพระองค์"
16 พระเจ้าตรัสกับเขาว่า "แต่เราจะอยู่กับเจ้าแน่ และเจ้าจะได้โจมตีคนมีเดียนอย่างกับตีคนคนเดียว"
17 เขาก็ทูลพระองค์ว่า "ถ้าบัดนี้ข้าพระองค์เป็นที่พอพระทัยของพระองค์ ขอพระองค์โปรดให้ข้าพระองค์เห็นหมายสำคัญว่า ผู้ที่พูดอยู่กับข้าพระองค์นี้คือพระองค์เอง
18 ขอพระองค์อย่าเสด็จไปเสียจากที่นี่ จนกว่าข้าพระองค์จะกลับมาหาพระองค์ และนำของมาตั้งถวายต่อพระพักตร์" และพระองค์ตรัสว่า "เราจะคอยอยู่จนกว่าเจ้าจะกลับมาอีก"
19 กิเดโอนก็กลับเข้าบ้าน จัดลูกแพะตัวหนึ่งกับแป้งเอฟาห์หนึ่งทำขนมไร้เชื้อ เขาเอาเนื้อใส่กระจาด ส่วนน้ำแกงใส่ในหม้อ นำสิ่งเหล่านี้มาถวายพระองค์ที่ใต้ต้นก่อหลวง
20 และทูตของพระเจ้าบอกเขาว่า "จงเอาเนื้อและขนมไร้เชื้อวางไว้บนศิลานี้ เทน้ำแกงราดของเหล่านั้น" กิเดโอนก็กระทำตาม
21 แล้วทูตของพระเจ้าก็เอาปลายไม้ที่ถืออยู่แตะต้อง เนื้อและขนมไร้เชื้อ และมีไฟลุกขึ้นมาจากศิลาไหม้เนื้อและขนมไร้เชื้อจนหมด และทูตของพระเจ้าก็หายไปพ้นสายตาของเขา
22 กิเดโอนก็ทราบว่า เป็นทูตของพระเจ้าจริง และกิเดโอนพูดว่า "ข้าแต่พระเจ้า บัดนี้ ข้าพระองค์ได้เห็นทูตของพระเจ้าต่อหน้าต่อตาอนิจจาเอ๋ย"
23 แต่พระเจ้าตรัสกับกิเดโอนว่า "สวัสดิภาพจงมีอยู่แก่เจ้า เจ้าอย่ากลัวเลย เพราะเจ้าจะไม่ตาย"
24 ฝ่ายกิเดโอนก็สร้างแท่นบูชาแท่นหนึ่งถวายพระเจ้าที่นั่น และเรียกตำบลนั้นว่า พระเจ้าคือสวัสดิภาพ ทุกวันนี้แท่นนั้นก็ยังอยู่ที่โอฟราห์ ซึ่งเป็นของตระกูลอาบีเยเซอร์
25 อยู่มาในคืนวันนั้นพระเจ้าตรัสสั่งกิเดโอนว่า "จงเอาโคผู้ของบิดาคือโคผู้ตัวที่สองที่มีอายุเจ็ดปีมา ไปพังแท่นพระบาอัลซึ่งบิดาของเจ้ามีอยู่นั้นลงเสีย จงโค่นอาเชราห์ซึ่งอยู่ข้างๆแท่นเสียด้วย
26 และสร้างแท่นบูชาถวายแด่ พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าที่บนป้อมนี้ ใช้ก้อนหินก่อให้เป็นระเบียบ แล้วนำโคตัวที่สองนั้นฆ่าเสีย ถวายเป็นเครื่องเผาบูชา เผาด้วยไม้รูปอาเชราห์ซึ่งเจ้าโค่นมานั้น"
27 กิเดโอนจึงนำคนใช้สิบคนไป กระทำตามที่พระเจ้าตรัสสั่งแก่เขา แต่เพราะกิเดโอนกลัวครอบครัวของตน และกลัวชาวเมือง จนไม่กล้าทำกลางวัน จึงกระทำในเวลากลางคืน
28 เมื่อชาวเมืองตื่นขึ้นในเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ดูเถิด แท่นบูชาพระบาอัลพังทลาย และอาเชราห์ที่อยู่ข้างๆก็ถูกโค่นลง และมีโคผู้ตัวที่สองวางบูชาอยู่บนแท่นที่สร้างขึ้นใหม่นั้น
29 เขาจึงพูดกันและกันว่า "ใครทำอย่างนี้นะ" เมื่อเขาได้สืบถามแล้ว เขาทั้งหลายจึงกล่าวว่า "กิเดโอนบุตรของโยอาชได้กระทำสิ่งนี้"
30 แล้วชาวเมืองจึงบอกโยอาชว่า "จงมอบลูกของเจ้านั้นมาให้ประหารชีวิตเสีย เพราะเขาได้พังแท่นของพระบาอัล และโค่นอาเชราห์ที่อยู่ข้างแท่นนั้น"
31 แต่โยอาชได้ตอบคนที่มาฟ้องนั้นว่า "ท่านทั้งหลายจะเป็นพยานแทนพระบาอัลหรือ จะสู้ความแทนหรือ ผู้ใดที่เป็นทนายแทนพระบาอัลจะต้องถูก ประหารชีวิตเช้านี้แหละ ถ้าพระบาอัลเป็นพระแท้ก็ให้สู้คดีเองเถิด เพราะมีคนมาพังแท่นของท่านลง"
32 วันนั้นเขาจึงตั้งชื่อท่านว่า เยรุบบาอัล ใจความว่า "ให้บาอัลสู้คดีเอง" เพราะเขาพังแท่นของท่าน
33 ครั้งนั้นคนมีเดียน และคนอามาเลข และชาวตะวันออกก็รวมกันยกทัพข้ามแม่น้ำ จอร์แดนมาตั้งค่ายอยู่ในที่ลุ่มยิสเรเอล
34 แต่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงสถิตกับ กิเดโอนท่านก็เป่าเขาสัตว์ เรียกตระกูลอาบีเยเซอร์ให้มาติดตามท่าน
35 และท่านส่งผู้สื่อสารไปทั่วมนัสเสห์ เรียกให้เขายกติดตามท่านไปด้วย และท่านส่งผู้สื่อสารไปยังอาเชอร์ เศบูลุน และนัฟทาลี คนเหล่านี้ก็ขึ้นมาปะทะข้าศึกด้วย
36 กิเดโอนจึงทูลพระเจ้าว่า "ถ้าพระองค์จะช่วยกู้อิสราเอลด้วยมือของข้าพระองค์ ดังที่พระองค์ตรัสแล้วนั้น
37 ดูเถิด ข้าพระองค์ได้วางกลุ่มขนแกะไว้ที่ลานนวดข้าว แม้มีน้ำค้างเฉพาะที่กลุ่มขนแกะเท่านั้น ส่วนที่พื้นดินโดยรอบนั้นแห้ง ข้าพระองค์ก็จะทราบว่า พระองค์จะทรงช่วยกู้อิสราเอลด้วยมือของข้าพระองค์ ดังที่พระองค์ตรัสนั้น"
38 ก็เป็นไปดังนั้นเมื่อกิเดโอนตื่นขึ้นในวัน รุ่งเช้าก็บีบกลุ่มขนแกะ เขาบีบได้น้ำค้างจากกลุ่มขนแกะจนเต็มชาม
39 แล้วกิเดโอนจึงทูลพระเจ้าว่า "ขออย่าให้พระพิโรธพลุ่งขึ้นต่อข้าพระองค์ ขอข้าพระองค์ทูลอีกสักครั้งเดียว ขอข้าพระองค์ทดลองด้วยกลุ่มขนแกะนี้อีกครั้งหนึ่งเถิด คราวนี้ขอให้แห้งเฉพาะที่กลุ่มขนแกะ ส่วนที่พื้นดินนั้นให้มีน้ำค้างโดยทั่วไป"
40 ในคืนวันนั้นพระเจ้าก็ทรงกระทำตามที่ขอ คือกลุ่มขนแกะนั้นแห้งอยู่ แต่มีน้ำค้างอยู่ทั่วพื้นดิน

ผู้วินิจฉัย 7

1 เยรุบบาอัล (คือกิเดโอน) และคนที่อยู่กับท่านก็ลุกขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่ ไปตั้งค่ายอยู่ที่ริมน้ำพุฮาโรด ฝ่ายค่ายของพวกมีเดียนอยู่ทางเหนือของเขา อยู่ในหุบเขาที่ภูเขาโมเรห์
2 พระเจ้าตรัสกับกิเดโอนว่า "คนที่อยู่กับเจ้ายังมีมาก เกินที่เราจะมอบคนมีเดียนไว้ในมือของเขา เกรงว่าอิสราเอลจะทะนงตัวต่อเรา โดยกล่าวว่า "มือของเราเองได้กู้เราไว้"
3 เพราะฉะนั้นจงประกาศให้เข้าหูคนทั้งปวงว่า 'ผู้ใดที่กลัวและสั่นเทิ้มอยู่ ก็ให้ผู้นั้นกลับเสีย และไปจากภูเขากิเลอาด'" และมีคนกลับไปสองหมื่นสองพันคน และยังเหลืออยู่หนึ่งหมื่นคน
4 พระเจ้าตรัสกับกิเดโอนว่า "ประชาชนยังมากอยู่จงพาเขาลงไปที่น้ำ และเราจะทำการทดสอบเขาให้เจ้าที่นั่น ผู้ที่เราจะบอกเจ้าว่า 'ให้คนนี้ไปกับเจ้า' ผู้นั้นต้องไปกับเจ้า ผู้ที่เราบอกว่า 'คนนี้อย่าให้ไป' ผู้นั้นไม่ต้องไป"
5 ท่านจึงพาประชาชนลงไปที่น้ำ พระเจ้าตรัสกับกิเดโอนว่า "ทุกคนที่ใช้ลิ้นเลียน้ำดังสุนัข จงรวมเขาไว้พวกหนึ่ง ทุกคนที่คุกเข่าลงดื่มน้ำจงรวมไว้อีกพวกหนึ่งดุจกัน"
6 จำนวนคนที่ใช้มือวักน้ำขึ้นเลียมีสามร้อยคน แต่ประชาชนนอกนั้นคุกเข่าลงดื่มน้ำ
7 พระเจ้าตรัสกับกิเดโอนว่า "เราจะช่วยกู้เจ้าทั้งหลายด้วยจำนวนคนสามร้อย ที่เลียน้ำนั้น และมอบคนมีเดียนไว้ในมือของเจ้า นอกนั้นให้กลับไปบ้านเมืองของตนทุกคน"
8 ประชาชนจึงถือเสบียงและเขาสัตว์ไว้ และท่านสั่งให้อิสราเอลกลับไปยังเต็นท์ของตนทุกคน แต่ให้สามร้อยคนนั้นอยู่ และค่ายของมีเดียนก็อยู่ข้างล่างท่านในหุบเขา
9 อยู่มาในคืนวันนั้นพระเจ้าตรัสกับท่านว่า "จงลุกขึ้นลงไปยังค่ายเถิด ด้วยเรามอบเขาไว้ในมือของเจ้าแล้ว
10 ถ้าเจ้ากลัวไม่กล้าลงไป จงพาปูราห์คนใช้ของเจ้าไปด้วยให้ถึงค่ายนั้น
11 เจ้าจะได้ยินว่าเขาพูดอะไรกัน ภายหลังมือของเจ้าจะมีกำลังขึ้นที่จะลงไปตีค่ายนั้น" ท่านจึงไปกับปูราห์คนใช้ของท่าน ไปถึงทหารถืออาวุธด้านนอกซึ่งอยู่ในค่าย
12 ฝ่ายคนมีเดียน และคนอามาเลขกับชาวตะวันออก นอนอยู่ตามหุบเขาเหมือนตั๊กแตนเป็นฝูงๆ ฝูงอูฐของเขาก็นับไม่ถ้วน มากดุจเม็ดทรายที่ฝั่งทะเล
13 ครั้นกิเดโอนแอบมา ดูเถิด มีชายคนหนึ่งเล่าความฝันให้เพื่อนฟังว่า "ดูเถิด เราฝันเรื่องหนึ่ง นี่แน่ะมีขนมบารลีก้อนหนึ่งกลิ้งเข้ามาในค่ายของพวกมีเดียน มาถึงเต็นท์โดนเต็นท์ทำให้เต็นท์ล้มลง พลิกขึ้น แล้วก็ราบไป"
14 เพื่อนของเขาจึงตอบว่า "นี่ไม่ใช่อื่นไกลเลย นอกจากกระบี่ของกิเดโอนบุตรโยอาช บุรุษของอิสราเอลพระเจ้าได้ทรงมอบพวกมีเดียน และกองทัพทั้งสิ้นไว้ในมือของเขาแล้ว"
15 เมื่อกิเดโอนได้ยินเขาเล่าความฝันและคำแก้ฝันเช่นนั้นแล้ว ท่านก็นมัสการและกลับไปสู่ค่ายอิสราเอลสั่งว่า "จงลุกขึ้นเถิด เพราะว่าพระเจ้าทรงมอบกองทัพคนมีเดียนไว้ในมือของ ท่านทั้งหลายแล้ว"
16 ท่านจึงแบ่งคนสามร้อยนั้นออกเป็นสามกอง ให้ถือเขาสัตว์ทุกคน และถือหม้อเปล่า มีคบเพลิงอยู่ข้างในหม้อนั้น
17 และท่านสั่งเขาว่า "จงคอยดูเรา แล้วให้ทำเหมือนกัน และดูเถิด เมื่อเราไปถึงค่ายด้านนอกแล้ว เรากระทำอย่างไรก็จงกระทำอย่างนั้น
18 ขณะเมื่อเราเป่าเขาสัตว์ คือตัวเรากับบรรดาคนที่อยู่กับเรา เจ้าจงเป่าเขาสัตว์รับให้รอบค่ายทั้งหมดแล้วร้องว่า 'เพื่อพระเจ้า และเพื่อกิเดโอน'"
19 กิเดโอนกับทหารหนึ่งร้อยคนที่อยู่กับท่านก็มาถึงด้านนอกค่าย ในเวลาต้นยามกลาง พึ่งผลัดเวรยามใหม่ เขาก็เป่าเขาสัตว์ขึ้นและต่อยหม้อซึ่งอยู่ในมือให้แตก
20 ทหารทั้งสามกองก็เป่าเขาสัตว์และต่อยหม้อ มือซ้ายถือคบเพลิงมือขวาถือเขาสัตว์จะเป่า และเขาร้องขึ้นว่า "กระบี่ของพระเจ้าและของกิเดโอน"
21 ต่างก็ยืนอยู่ตามที่ของตนเรียงรายรอบค่าย บรรดากองทัพก็ร้องอื้ออึงวิ่งหนีไป
22 เมื่อเขาเป่าเขาสัตว์ทั้งสามร้อยอันนั้น พระเจ้าทรงบันดาลให้เขาฆ่าฟันกันทั่วทุกกอง กองทัพก็แตกตื่นหนีไปถึงตำบลเบธชิทธาห์ ทางไปเมืองเศเรราห์ไกลไปจนถึงเขตเมือง อาเบลเมโฮลาห์ ที่ตำบลทับบาท
23 คนอิสราเอลถูกเรียกออกมาจากนัฟทาลี และจากอาเชอร์ และจากทั่วมนัสเสห์และพร้อมกันติดตามพวกมีเดียนไป
24 และกิเดโอนก็ใช้ผู้สื่อสารออกไปทั่ว แดนเทือกเขาเอฟราอิมประกาศว่า "จงลงมารบพวกมีเดียน และยึดแควทั้งหลาย ไกลไปถึงตำบลเบธบาราห์และแม่น้ำจอร์แดนด้วย" เขาก็เรียกบรรดาทหารเอฟราอิมออกมา เขาทั้งหลายยึดท่าน้ำถึงเบธบาราห์ และแม่น้ำจอร์แดนไว้
25 จับโอเรบและเศเอบเจ้านายสองคนของพวกมีเดียนได้ เขาฆ่าโอเรบเสียที่ศิลาโอเรบ และฆ่าเศเอบเสียที่บ่อย่ำองุ่นชื่อเศเอบ แล้วก็ไล่ติดตามพวกมีเดียนไป และเขานำเอาศีรษะโอเรบ และเศเอบมาให้กิเดโอนที่ฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน

ผู้วินิจฉัย 8
1 คนเอฟราอิมจึงพูดกับท่านว่า "ทำไมท่านจึงกระทำแก่เราอย่างนี้ คือเมื่อท่านยกไปต่อสู้พวกมีเดียนนั้น ท่านก็ไม่ได้เชิญเราให้ไปรบด้วย" และเขาทั้งหลายก็ต่อว่าท่านอย่างรุนแรง
2 ท่านจึงตอบเขาทั้งหลายว่า "สิ่งที่เราทำมาแล้วจะเปรียบเทียบกับสิ่งที่ท่านทั้งหลายทำแล้วได้หรือ ผลองุ่นที่ชาวเอฟราอิมเก็บเล็มก็ยังดีกว่าผลองุ่นที่อาบีเยเซอร์เก็บเกี่ยวมิใช่หรือ
3 พระเจ้าประทานโอเรบและเศเอบ เจ้านายมีเดียนไว้ในมือของท่าน ข้าพเจ้าสามารถกระทำอะไรที่จะเทียบกับท่านได้เล่า" เมื่อท่านพูดอย่างนี้เขาทั้งหลายก็หายโกรธ
4 กิเดโอนก็มาที่แม่น้ำจอร์แดนและข้ามไป ทั้งท่านและทหารสามร้อยคนที่อยู่ด้วย ถึงจะอ่อนเปลี้ยแต่ก็ยังติดตามไป
5 ท่านจึงพูดกับชาวเมืองสุคคทว่า "ขอขนมปังให้คนที่ติดตามเรามาบ้างเขาหิวเต็มที เรากำลังไล่ติดตามเศบาห์และศัลมุนนากษัตริย์แห่งมีเดียน"
6 เจ้านายของเมืองสุคคทจึงตอบว่า "มือของเศบาห์และของศัลมุนนาอยู่ในมือเจ้าแล้วหรือ เราจึงจะเอาขนมปังมาเลี้ยงกองทัพของเจ้า"
7 กิเดโอนจึงกล่าวว่า "ถ้าอย่างนั้นเมื่อพระเจ้ามอบเศบาห์และศัลมุนนาไว้ในมือเราแล้ว เราจะเอาหนามใหญ่แห่งถิ่นทุรกันดาร และหนามย่อยมานวดเนื้อเจ้าทั้งหลาย"
8 ท่านก็ออกจากที่นั่นขึ้นไปยังเมืองเปนูเอล และพูดกับเขาในทำนองเดียวกัน ชาวเมืองเปนูเอลก็ตอบท่านอย่างเดียวกับที่ชาวเมืองสุคคทตอบ
9 ท่านจึงพูดกับชาวเมืองเปนูเอลว่า "เมื่อเรากลับมาด้วยสวัสดิภาพเราจะพังป้อมนี้ลงเสีย"
10 ฝ่ายเศบาห์และศัลมุนนาอาศัยอยู่ที่คารโครกับกองทัพมีทหารหนึ่งหมื่นห้าพันคน เป็นกองทัพชาวตะวันออกที่เหลืออยู่ทั้งหมด เพราะว่าผู้ที่ถือกระบี่ล้มตายเสียหนึ่งแสนสองหมื่นคน
11 กิเดโอนขึ้นไปตามทางสัญจรของชาวทะเลทราย ทิศตะวันออกของเมืองโนบาห์และเมืองโยกเบฮาห์เข้าโจมตีกองทัพได้แล้ว เพราะว่ากองทัพคิดว่าพ้นภัย
12 เศบาห์และศัลมุนนาก็หนีไป กิเดโอนก็ไล่ติดตามไปจับเศบาห์กับศัลมุนนากษัตริย์พวกมีเดียนทั้งสององค์ได้ และทำกองทัพให้แตกตื่น
13 ฝ่ายกิเดโอนบุตรโยอาชก็กลับจากการศึกมาตามทางข้ามเขาตำบลเฮเรส
14 จับชายหนุ่มชาวเมืองสุคคทได้คนหนึ่ง จึงซักถามเขา ชายคนนี้ก็เขียนชื่อข้าราชการ และพวกผู้ใหญ่ของเมืองสุคคทให้ รวมเจ็ดสิบเจ็ดคนด้วยกัน
15 กิเดโอนจึงมาหาชาวเมืองสุคคทกล่าวว่า "จงมาดูเศบาห์และศัลมุนนา ซึ่งเมื่อก่อนเจ้าเยาะเย้ยเราว่า 'มือของเศบาห์และของศัลมุนนาอยู่ในมือเจ้าแล้วหรือ เราจะได้เลี้ยงทหารที่หิวโหยของเจ้าด้วยขนมปัง'"
16 กิเดโอนก็จับพวกผู้ใหญ่ในเมืองเอาหนามใหญ่แห่งถิ่นกันดาร และหนามย่อยด้วย มาสั่งสอนชาวเมืองสุคคท
17 ท่านก็พังป้อมเมืองเปนูเอล และประหารชีวิตชาวเมืองเสีย
18 ท่านจึงถามเศบาห์และศัลมุนนาว่า "คนที่เจ้าฆ่าเสียที่ทาโบร์อยู่ที่ไหน" เขาตอบว่า "ท่านเป็นอย่างไรเขาก็เป็นอย่างนั้น เป็นเหมือนราชบุตรทุกคน"
19 กิเดโอนจึงกล่าวว่า "คนเหล่านั้นเป็นพี่น้องท้องเดียวกันกับเรา พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ถ้าเจ้าไว้ชีวิตเขา เราก็จะไม่ประหารชีวิตเจ้าแน่ฉันนั้น"
20 แล้วท่านสั่งเยเธอร์บุตรหัวปีของท่านว่า "จงลุกขึ้นฆ่าเขาทั้งสองเสีย" แต่บุตรชายคนนั้นไม่ยอมชักกระบี่ออกด้วยว่าเขากลัวเพราะเขายังหนุ่มอยู่
21 ฝ่ายเศบาห์กับศัลมุนนาจึงว่า "ท่านลุกขึ้นฟันเราเองซิ เป็นผู้ใหญ่เท่าใดกำลังก็แข็งเท่านั้น" กิเดโอนก็ลุกขึ้นฆ่าเศบาห์และศัลมุนนาเสียแล้วเก็บเครื่องหมายพระจันทร์ ครึ่งซีกที่ประดับคออูฐของเขาไว้
22 ครั้งนั้นคนอิสราเอลก็เรียนกิเดโอนว่า "ขอจงปกครองพวกข้าพเจ้าทั้งหลายเถิด ทั้งตัวท่านและลูกหลานของท่านสืบไปด้วย เพราะว่าท่านได้กู้เราทั้งหลายให้พ้นจากมือของมีเดียน"
23 กิเดโอนจึงตอบเขาทั้งหลายว่า "เราจะไม่ปกครองท่านทั้งหลาย และบุตรของเราก็จะไม่ปกครองท่านทั้งหลาย พระเจ้าจะทรงปกครองท่านทั้งหลายเอง"
24 กิเดโอนก็บอกคนเหล่านั้นว่า "เราจะขอสิ่งหนึ่งจากท่านทั้งหลาย คือ ขอให้ทุกคนถวายตุ้มหูซึ่งริบมาได้นั้น" (ด้วยว่าคนเหล่านั้นมีตุ้มหูทองคำเพราะเป็นชนยิชมาเอล)
25 เขาก็เรียนตอบท่านว่า "เราทั้งหลายเต็มใจจะให้" เขาก็ปูผ้าลง วางตุ้มหูซึ่งริบมาได้นั้นไว้ที่นั่น
26 ตุ้มหูทองคำซึ่งท่านขอได้นั้นมีน้ำหนักประมาณหนึ่งพันเจ็ดร้อยเชเขลทองคำ นอกจากนี้ยังมีเครื่องหมายพระจันทร์ครึ่งซีก จี้และฉลององค์สีม่วง ซึ่งกษัตริย์พวกมีเดียนทรงทั้งเครื่องผูกคออูฐด้วย
27 กิเดโอนก็เอาทองคำนี้ทำเป็นรูปเอโฟดเก็บไว้ที่เมืองของท่าน คือโอฟราห์ และบรรดาคนอิสราเอลก็เล่นชู้กับรูปนี้กระทำให้เป็นบ่วงดักกิเดโอนและพงศ์พันธุ์ของท่าน
28 พวกมีเดียนก็พ่ายแพ้ต่อคนอิสราเอล ไม่อาจยกศีรษะขึ้นอีกได้เลย และแผ่นดินก็พักสงบอยู่ในสมัยของกิเดโอนถึงสี่สิบปี
29 ฝ่ายเยรุบบาอัลบุตรของโยอาชก็ไปอาศัยอยู่ในบ้านของตน
30 กิเดโอนมีบุตรชายเกิดจากสายโลหิตของท่านเจ็ดสิบคน เพราะท่านมีภรรยาหลายคน
31 เมียน้อยของกิเดโอนที่อยู่ณเมืองเชเคมก็มีบุตรกับท่านคนหนึ่งด้วย ท่านตั้งชื่อว่าอาบีเมเลค
32 กิเดโอนบุตรโยอาชมีอายุชราลงมากก็สิ้นชีวิต เขาฝังท่านไว้ที่เมืองโอฟราห์ของคนอาบีเยเซอร์ ในอุโมงค์ฝังศพโยอาชบิดาของท่าน
33 อยู่มาเมื่อกิเดโอนสิ้นชีวิตแล้ว คนอิสราเอลก็หันกลับอีก และเล่นชู้กับบรรดาพระบาอัล ถือว่าบาอัลเบรีทเป็นพระของเขาทั้งหลาย
34 คนอิสราเอลมิได้ระลึกถึงพระเยโฮวาห์พระเจ้าของตน ผู้ทรงช่วยเขาให้พ้นมือศัตรูรอบด้าน
35 เขามิได้แสดงความเมตตาแก่ครอบครัวเยรุบบาอัล (คือกิเดโอน) เป็นการตอบแทนความดีซึ่งกิเดโอนได้กระทำแก่คนอิสราเอล

ผู้วินิจฉัย 9

1 ฝ่ายอาบีเมเลคบุตรเยรุบบาอัลก็ขึ้นไปหาญาติของมารดาที่เมืองเชเคม แล้วพูดกับเขาและกับครอบครัวที่บ้านของตนว่า
2 "ขอบอกความนี้ให้เข้าหูชาวเมืองเชเคมเถิดว่า 'จะให้บุตรเยรุบบาอัลทั้งเจ็ดสิบคนครอบครองท่านทั้งหลายดี หรือจะให้ผู้เดียวปกครองดี' ขอระลึกไว้ด้วยว่า ตัวข้าพเจ้านี้เป็นชาติเชื้อเนื้อเดียวกับท่านทั้งหลาย"
3 ฝ่ายญาติของมารดาของเขาก็กล่าวคำเหล่านี้ให้เข้าหูชาวเชเคมจิตใจของชาวเมืองก็เอนเอียงเข้าข้างอาบีเมเลค ด้วยเขากล่าวกันว่า "เขาเป็นญาติของเรา"
4 เขาจึงเอาเงินเจ็ดสิบแผ่นออกจากวิหารพระบาอัลเบรีทมอบให้อาบีเมเลค อาบีเมเลคก็เอาเงินนั้นไปจ้างนักเลงหัวไม้ไว้ติดตามตน
5 เขาจึงไปที่บ้านบิดาของเขาที่เมืองโอฟราห์ฆ่าพี่น้องของตน คือบุตรเยรุบบาอัลทั้งเจ็ดสิบคนที่ศิลาแผ่นเดียว เหลือแต่โยธามบุตรสุดท้องของเยรุบบาอัลเพราะเขาซ่อนตัวเสีย
6 ชาวเมืองเชเคมและชาวเบธมิลโลทั้งสิ้นก็มาประชุมพร้อมกัน ตั้งอาบีเมเลคให้เป็นกษัตริย์ที่ข้างต้นก่อหลวงแห่งเสาศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในเมืองเชเคม
7 เมื่อมีคนไปบอกโยธาม เขาก็ขึ้นไปยืนอยู่บนยอดภูเขาเกริซิม แผดเสียงร้องให้เขาทั้งหลายฟังว่า "ชาวเมืองเชเคมเอ๋ย ขอจงฟังข้าพเจ้า เพื่อพระเจ้าจะทรงฟังเสียงของท่าน
8 ครั้งหนึ่งต้นไม้ต่างๆ ได้ออกไปเจิมตั้งต้นไม้ต้นหนึ่งไว้เป็นราชา เขาจึงไปเชิญต้นมะกอกเทศว่า 'เชิญท่านปกครองเราเถิด'
9 แต่ต้นมะกอกเทศตอบเขาว่า 'จะให้เราทิ้งน้ำมันของเราซึ่งเขาใช้ถวายเกียรติแด่พระและแก่มนุษย์เพื่อไปกวัดแกว่งอยู่เหนือต้นไม้ทั้งปวงหรือ'
10 แล้วต้นไม้เหล่านั้นจึงไปพูดกับต้นมะเดื่อว่า 'เชิญท่านมาปกครองเหนือเราเถิด'
11 แต่ต้นมะเดื่อตอบเขาว่า 'จะให้เราทิ้งรสหวานและผลดีของเราเสีย และไปกวัดแกว่งอยู่เหนือต้นไม้ทั้งหลายหรือ'
12 ต้นไม้เหล่านั้นก็ไปพูดกับเถาองุ่นว่า 'เชิญท่านมาปกครองเหนือเราเถิด'
13 แต่เถาองุ่นกล่าวแก่เขาว่า 'จะให้เราทิ้งเหล้าองุ่นของเรา อันเป็นที่ชื่นใจพระและมนุษย์ไปกวัดแกว่งอยู่เหนือต้นไม้ทั้งหลายหรือ'
14 บรรดาต้นไม้ก็ไปพูดกับต้นหนามไข่กุ้ง 'เชิญท่านมาปกครองเหนือเราเถิด'
15 ต้นหนามไข่กุ้งจึงตอบต้นไม้เหล่านั้นว่า 'ถ้าแม้ท่านทั้งหลายจะเจิมตั้งเราให้เป็นราชาของเจ้าทั้งหลายจริงๆ จงมาอาศัยใต้ร่มของเราเถิด มิฉะนั้นก็ให้ไฟเกิดจากต้นหนามไข่กุ้งเผาผลาญต้นสนสีดาร์เลบานอนเสีย'
16 "ซึ่งเจ้าทั้งหลายตั้งอาบีเมเลคเป็นกษัตริย์นั้น ถ้าทำด้วยความจริงใจและเที่ยงธรรม และถ้าได้กระทำให้เหมาะต่อเยรุบบาอัลและครอบครัวของท่าน สมกับความดีที่มือท่านได้กระทำไว้
17 (ด้วยว่าบิดาของเราได้รบพุ่งเพื่อเจ้าทั้งหลาย และเสี่ยงชีวิตช่วยเจ้าทั้งหลายให้พ้นจากมือพวกมีเดียน
18 แต่ในวันนี้เจ้าทั้งหลายได้ลุกขึ้นประทุษร้ายต่อเชื้อสายบิดาของเรา ได้ฆ่าบุตรชายทั้งเจ็ดสิบคนของท่านเสียบนศิลาแผ่นเดียว แล้วตั้งอาบีเมเลคลูกหญิงคนใช้ขึ้นเป็นกษัตริย์ ปกครองเหนือชาวเชเคม เพราะว่าเขาเป็นญาติของเจ้าทั้งหลาย)
19 ถ้าเจ้าทั้งหลายได้กระทำด้วยความจริงใจและเที่ยงธรรมต่อเยรุบบาอัล และครอบครัวของท่านในวันนี้ ก็จงชื่นชมในอาบีเมเลคเถิด และให้เขามีความชื่นชมยินดีในเจ้าทั้งหลาย
20 แต่ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น ก็ขอให้ไฟออกมาจากอาบีเมเลค เผาผลาญชาวเมืองเชเคมและเบธมิลโล และให้ไฟออกมาจากชาวเมืองเชเคม และจากเบธมิลโลเผาผลาญอาบีเมเลคเสีย"
21 โยธามก็รีบหนีไปยังเบเออร์อาศัยอยู่ที่นั่น เพราะกลัวอาบีเมเลคพี่ชายของตน
22 อาบีเมเลคครอบครองอิสราเอลอยู่ได้สามปี
23 พระเจ้าทรงใช้ปีศาจร้ายเข้าแทรกระหว่างอาบีเมเลคกับชาวเมืองเชเคม ชาวเมืองเชเคมก็กบฏต่ออาบีเมเลค
24 เพื่อทารุณกรรมที่เขาได้กระทำแก่บุตรเจ็ดสิบคนของเยรุบบาอัลจะสนอง และโทษอันเกิดจากการฆ่าคนเหล่านั้นจะได้ตกแก่อาบีเมเลค พี่น้องผู้ได้ประหารเขาและตกแก่ชาวเมืองเชเคม ผู้เสริมกำลังมืออาบีเมเลคให้ฆ่าพี่น้องของตน
25 ชาวเมืองเชเคมได้วางคนซุ่มซ่อนไว้คอยดักอาบีเมเลคที่บนยอดภูเขา เขาก็ปล้นคนทั้งปวงที่ผ่านไปมาทางนั้น และมีคนบอกอาบีเมเลคให้ทราบ
26 ฝ่ายกาอัลบุตรเอเบดกับญาติของเขาเข้าไปในเมืองเชเคม ชาวเชเคมไว้เนื้อเชื่อใจกาอัล
27 จึงพากันออกไปในสวนองุ่นเก็บผลมาย่ำ ทำการเลี้ยงสมโภชในวัดพระของเขา เขารับประทานและดื่ม และด่าแช่งอาบีเมเลคด้วย
28 กาอัลบุตรเอเบดจึงกล่าวว่า "อาบีเมเลคคือใคร และเราชาวเชเคมเป็นใครกันจึงต้องมาปรนนิบัติเขา บุตรของเยรุบบาอัลและเศบุลเจ้าหน้าที่ผู้ช่วยก็เคยปรนนิบัติคนฮาโมร์ บิดาของเชเคมมิใช่หรือ เราจะปฏิบัติผู้นั้นทำไมเล่า
29 ถ้าคนเมืองนี้อยู่ใต้ปกครองเรานะ เราจะถอดอาบีเมเลคเสีย เราจะท้าเอบีเมเลคว่า 'จงเพิ่มกองทัพของท่านขึ้นแล้วออกมาเถิด'"
30 พอเศบุลเจ้าเมืองได้ยินถ้อยคำของกาอัลบุตรเอเบดก็โกรธ
31 จึงส่งผู้สื่อสารไปยังอาบีเมเลคที่เมืองอารูมาห์ความว่า "ดูเถิด กาอัลบุตรเอเบดและญาติของเขามาที่เมืองเชเคม ยุแหย่เมืองนั้นให้ต่อสู้กับท่าน
32 บัดนี้ขอท่านจงลุกขึ้นในเวลากลางคืน ทั้งท่านและคนที่อยู่กับท่านไปซุ่มคอยอยู่ในทุ่งนา
33 รุ่งเช้าพอดวงอาทิตย์ขึ้น ท่านจงลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ รีบรุกเข้าเมืองเมื่อกาอัลกับกองทัพออกมาต่อสู้ท่าน ท่านจงกระทำแก่เขาตามแต่โอกาสจะอำนวย"
34 ฝ่ายอาบีเมเลค และกองทัพที่อยู่กับท่านก็ลุกขึ้นในเวลากลางคืน แบ่งออกเป็นสี่กองไปซุ่มคอยสู้เมืองเชเคม
35 กาอัลบุตรเอเบดก็ออกไปยืนอยู่ที่ทางเข้าประตูเมือง อาบีเมเลคก็ลุกขึ้นพร้อมกับกองทัพที่อยู่กับเขา ออกมาจากที่ซุ่มซ่อน
36 และเมื่อกาอัลเห็นกองทัพ จึงพูดกับเศบุลว่า "ดูซิกองทัพกำลังเคลื่อนลงมาจากยอดภูเขา" เศบุลตอบเขาว่า "ท่านเห็นเงาภูเขาเป็นคนไปกระมัง"
37 กาอัลพูดขึ้นอีกว่า "ดูซิ กองทัพกำลังออกมาจากกลางแผ่นดินกองหนึ่ง กำลังออกมาจากทางต้นก่อหลวงหมอผี"
38 เศบุลก็กล่าวแก่กาอัลว่า "ปากของท่านอยู่ที่ไหนเดี๋ยวนี้ ท่านผู้ที่กล่าวว่า 'อาบีเมเลคคือผู้ใด ที่เราต้องปรนนิบัติ' คนเหล่านี้เป็นคนที่ท่านหมิ่นประมาทมิใช่หรือ จงยกออกไปสู้รบกับเขาเถิด"
39 กาอัลก็เดินนำหน้ากองทัพเชเคมออกไปต่อสู้กับอาบีเมเลค
40 อาบีเมเลคก็ขับไล่กาอัลหนีไป มีคนถูกบาดเจ็บล้มตายเป็นอันมาก จนถึงทางเข้าประตูเมือง
41 ฝ่ายอาบีเมเลคก็อาศัยอยู่ที่อารูมาห์ และเศบุลก็ขับไล่กาอัลกับญาติของเขาออกไป ไม่ให้อยู่ที่เชเคมต่อไป
42 รุ่งขึ้น มีชาวเมืองออกไปที่ทุ่งนา อาบีเมเลคก็ทราบเรื่อง
43 ท่านจึงแบ่งคนของท่านออกเป็นสามกอง ซุ่มคอยอยู่ที่ทุ่งนา ท่านมองดู ดูเถิด คนออกมาจากในเมือง ท่านจึงลุกขึ้นประหารเขา
44 ส่วนอาบีเมเลคกับทหารที่อยู่ด้วยก็รุกไปยืนอยู่ที่ทางเข้าประตูเมือง ฝ่ายทหารอีกสองกองก็รุกเข้าโจมตีคนทั้งหมด ที่ในทุ่งนาประหารเสีย
45 อาบีเมเลคโจมตีเมืองนั้นตลอดวันยังค่ำ ยึดเมืองนั้นได้ และฆ่าฟันประชาชนที่อยู่ในเมืองนั้นเสีย ทั้งทำลายเมืองนั้นเสียด้วย แล้วก็หว่านเกลือลงไป
46 เมื่อชาวบ้านหอเชเคมได้ยินเช่นนั้น ก็หนีเข้าไปอยู่ในป้อมในวัดของพระเอลเบรีท
47 มีคนไปเรียนอาบีเมเลคว่า ชาวบ้านหอเชเคมไปมั่วสุมกันอยู่
48 อาบีเมเลคก็ขึ้นไปบนภูเขาศัลโมน ทั้งท่านกับคนที่อยู่ด้วยอาบีเมเลคถือขวานตัดกิ่งไม้ใส่บ่าแบกมา ท่านจึงบอกคนที่อยู่ด้วยว่า "เจ้าเห็นข้าทำอะไร จงรีบไปทำอย่างข้าเถิด"
49 ดังนั้นคนทั้งปวงก็ตัดกิ่งไม้แบกตามอาบีเมเลคไปสุมไว้ณที่ป้อมแล้วก็จุดไฟเผาป้อมนั้น ชาวบ้านหอเชเคมก็ตายหมดด้วย ทั้งชายและหญิงประมาณหนึ่งพันคน
50 อาบีเมเลคไปยังเมืองเธเบศตั้งค่ายประชิดเมืองเธเบศไว้ และยึดเมืองนั้นได้
51 แต่ในเมืองมีหอรบแห่งหนึ่ง ประชาชนเมืองนั้นก็หนีเข้าไป อยู่ในหอทั้งผู้ชายและผู้หญิงปิดประตูขังตนเองเสีย เขาก็ขึ้นไปบนหลังคาหอรบ
52 อาบีเมเลคยกมาถึงหอรบนี้ ได้ต่อสู้กัน จนเข้ามาใกล้ประตูหอรบได้ จะเอาไฟเผา
53 มีหญิงคนหนึ่งเอาหินโม่ชิ้นบนทุ่มศีรษะอาบีเมเลค กะโหลกศีรษะของท่านแตก
54 ท่านจึงรีบร้องบอกคนหนุ่มที่ถืออาวุธของท่านว่า "เอาดาบฟันเราเสียเพื่อคนจะไม่กล่าวว่า 'ผู้หญิงคนหนึ่งฆ่าเขาตาย'" ชายหนุ่มของท่านคนนั้นก็แทงท่านทะลุถึงแก่ความตาย
55 เมื่อคนอิสราเอลเห็นว่าอาบีเมเลคสิ้นชีวิตแล้ว ต่างคนก็กลับไปยังที่ของตน
56 ดังนี้แหละพระเจ้าทรงสนองความชั่ว ที่อาบีเมเลคได้กระทำต่อบิดาของตน ที่ได้ฆ่าพี่น้องเจ็ดสิบคนของตนเสีย
57 และพระเจ้าทรงกระทำให้ความชั่วร้ายของชาวเชเคมกลับตกบนศีรษะของเขาทั้งหลายเอง คำสาปแช่งของโยธามบุตรเยรุบบาอัลก็ตกอยู่บนเขาทั้งหลาย

ผู้วินิจฉัย 10
1 ต่อจากอาบีเมเลคมีคนขึ้นมาช่วยกู้อิสราเอลชื่อโทลา บุตรชายของปูวาห์ ผู้เป็นบุตรของโดโดชนเผ่าอิสสาคาร์และเขาอยู่ที่เมือง ชามีร์ในแดนเทือกเขาเอฟราอิม
2 ท่านวินิจฉัยอิสราเอลอยู่ยี่สิบสามปี แล้วท่านก็สิ้นชีวิต เขาฝังศพท่านไว้ที่เมืองชามีร์
3 ต่อมายาอีร์คนกิเลอาดได้ขึ้นมาและท่านวินิจฉัย อิสราเอลอยู่ยี่สิบสองปี
4 ท่านมีบุตรสามสิบคน ขี่ลูกลาสามสิบตัว และมีเมืองอยู่สามสิบหัวเมือง เรียกว่าเมืองฮาวโวทยาอีร์ จนทุกวันนี้ซึ่งอยู่ในแผ่นดินกิเลอาด
5 ยาอีร์ก็สิ้นชีวิตถูกฝังไว้ที่เมืองคาโมน
6 คนอิสราเอลก็กระทำชั่วในสายพระเนตรพระเจ้าอีก ไปปรนนิบัติพระบาอัลทั้งหลายและพวกพระอัชทาโรท พระของเมืองซีเรีย พระของเมืองไซดอน พระของเมืองโมอับ พระของคนอัมโมน พระของคนฟีลิสเตีย และเขาทั้งหลายละทิ้งพระเจ้าเสีย หาได้ปรนนิบัติพระองค์ไม่
7 และพระพิโรธของพระเจ้าก็พลุ่งขึ้นต่ออิสราเอล จึงทรงขายเขาไว้ในมือของคนฟีลิสเตีย และในมือของคนอัมโมน
8 เขาได้ข่มเหงและบีบบังคับคนอิสราเอลในปีนั้น เขาได้บีบบังคับชนอิสราเอลฟากตะวันออกของ แม่น้ำจอร์แดนในแผ่นดินของคนอาโมไรต์ ซึ่งอยู่ในกิเลอาดสิบแปดปี
9 ทั้งคนอัมโมนได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดน ไปต่อสู้กับยูดาห์และต่อสู้กับเบนยามิน และต่อสู้กับพงศ์พันธุ์เอฟราอิม ดังนั้น อิสราเอลจึงเดือดร้อนอย่างยิ่ง
10 และคนอิสราเอลร้องทุกข์ต่อพระเจ้าว่า "ข้าพระองค์ทั้งหลายได้กระทำบาปต่อพระองค์ เพราะว่าข้าพระองค์ได้ทอดทิ้งพระเจ้าของข้าพระองค์เสีย และปรนนิบัติบรรดาพระบาอัล"
11 และพระเจ้าตรัสกับคนอิสราเอลว่า "เรามิได้ช่วยกู้เจ้าให้พ้นจากชาวอียิปต์ จากคนอาโมไรต์จากคนอัมโมน และจากคนฟีลิสเตียหรือ
12 ทั้งคนไซดอน คนอามาเลข และชาวมาโอนได้บีบบังคับเจ้า เจ้าได้ร้องทุกข์ถึงเรา และเราได้ช่วยเจ้าให้พ้นมือเขาทั้งหลาย
13 แม้กระนั้นเจ้าทั้งหลายยังได้ละทิ้งเรา และปรนนิบัติพระอื่น ฉะนี้เราจึงจะไม่ช่วยกู้เจ้าทั้งหลายอีกต่อไป
14 จงไปร้องทุกข์ต่อพระซึ่งเจ้าทั้งหลาย ได้เลือกปรนนิบัตินั้นเถิดให้พระเหล่านั้น ช่วยกู้เจ้าในยามทุกข์เดือดร้อนนี้"
15 และคนอิสราเอลกราบทูลพระเจ้าว่า "ข้าพระองค์ทั้งหลายได้กระทำบาปแล้ว ขอพระองค์ทรงกระทำแก่ข้าพระองค์ ตามที่พระองค์ทรงเห็นชอบ ข้าพระองค์ขอวิงวอนเพียง ว่าขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นในวันนี้เถิด"
16 ดังนั้นเขาทั้งหลายจึงเลิกถือพระอื่น และปรนนิบัติพระเจ้า ฝ่ายพระองค์ทรงเดือดร้อน พระทัยด้วยความทุกข์เข็ญของอิสราเอล
17 ฝ่ายคนอัมโมนก็ถูกเรียกให้จับอาวุธ เขาได้ตั้งค่ายในกิเลอาด และคนอิสราเอลก็มาพร้อมกันตั้งค่ายอยู่ที่มิสปาห์
18 และประชาชน คือบรรดาประมุขของคนกิเลอาดพูดกันว่า "ผู้ใดที่จะเป็นคนแรกที่จะเข้าต่อสู้กับคนอัมโมน ผู้นั้นจะเป็นหัวหน้าของชาวกิเลอาดทั้งหมด"

ผู้วินิจฉัย 11

1 เยฟธาห์คนกิเลอาดเป็นทแกล้วทหาร แต่เป็นบุตรของหญิงแพศยากิเลอาดเป็นบิดาของเยฟธาห์
2 ภรรยาแท้ของกิเลอาดมีบุตรชายหลายคน และเมื่อพวกบุตรเหล่านั้นโตขึ้นแล้ว จึงผลักไสเยฟธาห์ออกไปเสียโดยกล่าวว่า "เจ้าจะมีส่วนในมรดกของบิดาเราไม่ได้ เพราะเจ้าเป็นลูกของหญิงคนอื่น"
3 เยฟธาห์จึงหนีจากพี่น้อง ของตนไปอาศัยอยู่ที่แผ่นดินโทบ พวกนักเลงก็มั่วสุมกับเยฟธาห์ และติดตามเขาไปเที่ยวรังควาน
4 ต่อมาภายหลังคนอัมโมนได้ทำสงครามกับคนอิสราเอล
5 และเมื่อคนอัมโมนทำสงครามกับอิสราเอลนั้น พวกผู้ใหญ่ของเมืองกิเลอาดได้ไปเพื่อจะพาเยฟธาห์มาจากแผ่นดินโทบ
6 เขากล่าวแก่เยฟธาห์ว่า "จงมาเป็นหัวหน้าของเรา เพื่อเราจะได้ต่อสู้กับคนอัมโมน"
7 แต่เยฟธาห์กล่าวแก่พวกผู้ใหญ่ของกิเลอาดว่า "ท่านไม่ได้เกลียดข้าพเจ้า และขับไล่ข้าพเจ้าเสียจากพงศ์พันธุ์บิดาของข้าพเจ้าดอกหรือ เมื่อคราวทุกข์ยากท่านจะมาหาข้าพเจ้าทำไมเล่า"
8 พวกผู้ใหญ่ของกิเลอาดจึงกล่าวแก่เยฟธาห์ว่า "เหตุที่เรากลับมาหาท่าน ณบัดนี้ ก็ด้วยต้องการให้ท่านไปกับเราสู้รบกับคนอัมโมน แล้วมาเป็นหัวหน้าของเราที่จะปกครองชาวกิเลอาดทั้งปวง"
9 เยฟธาห์จึงกล่าวแก่พวกผู้ใหญ่ของกิเลอาดว่า "ถ้าท่านให้ข้าพเจ้ากลับบ้านเพื่อทำศึกกับคนอัมโมน และถ้าพระเจ้าทรงมอบเขาไว้ในมือข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะได้เป็นหัวหน้าของท่าน"
10 พวกผู้ใหญ่ของกิเลอาดจึงตอบเยฟธาห์ว่า "พระเจ้าทรงเป็นพยานระหว่างเรา เราจะกระทำตามที่ท่านสั่งทุกประการ"
11 เยฟธาห์จึงไปกับพวกผู้ใหญ่ของกิเลอาด และประชาชนก็ตั้งท่านให้เป็นหัวหน้า และเป็นประมุขของเขา แล้วเยฟธาห์ก็กล่าวคำที่ตกลงกันทั้งสิ้น ต่อพระเจ้าที่เมืองมิสปาห์
12 เยฟธาห์จึงส่งผู้สื่อสารไปยังกษัตริย์คนอัมโมนถามว่า "ท่านมีเรื่องอะไรกับข้าพเจ้า ท่านจึงยกมาต่อสู้กับแผ่นดินของข้าพเจ้า"
13 กษัตริย์คนอัมโมนตอบผู้สื่อสารของเยฟธาห์ว่า "เพราะว่าเมื่ออิสราเอลออกมาจากอียิปต์ ได้ยึดแผ่นดินของเราไป ตั้งแต่แม่น้ำอารโนนถึงแม่น้ำยับบอก และถึงแม่น้ำจอร์แดน บัดนี้ขอคืนเมืองเหล่านั้นเสียโดยดี"
14 และเยฟธาห์ก็ส่งผู้สื่อสารไปหาคนอัมโมนอีก
15 ให้กล่าวว่า "เยฟธาห์กล่าวดังนี้ว่า อิสราเอลมิได้ยึดแผ่นดินของโมอับ หรือแผ่นดินของคนอัมโมน
16 แต่เมื่ออิสราเอลออกจากอียิปต์ เขาได้เดินไปทางถิ่นทุรกันดารถึงทะเลแดง และมาถึงคาเดช
17 อิสราเอลจึงส่งผู้สื่อสารไปยังกษัตริย์เอโดมกล่าวว่า 'ข้าพเจ้าขออนุญาตยกผ่านเมืองของท่านไป' แต่กษัตริย์เอโดมไม่ฟัง และก็ได้ส่งคำขอเช่นเดียวกันไปยังกษัตริย์เมืองโมอับด้วย แต่ท่านก็ไม่ตกลง ดังนั้นอิสราเอลจึงยับยั้งอยู่ที่คาเดช
18 แล้วเขาก็เดินไปในถิ่นทุรกันดาร อ้อมแผ่นดินเอโดม และแผ่นดินโมอับ และมาทางด้านตะวันออกของแผ่นดินโมอับ และตั้งค่ายอยู่ที่ฟากเหนือของแม่น้ำอารโนน แต่เขามิได้เข้าไปในเขตแดนของโมอับ เพราะว่าแม่น้ำอารโนนเป็นพรมแดนของโมอับ
19 อิสราเอลจึงส่งผู้สื่อสารไปหาสิโหนกษัตริย์คนอาโมไรต์ กษัตริย์กรุงเฮชโบน อิสราเอลเรียนท่านว่า 'ขอให้พวกข้าพเจ้ายกผ่านแผ่นดินของท่านไป ยังประเทศของข้าพเจ้า'
20 แต่สิโหนไม่วางใจที่จะให้อิสราเอล ยกผ่านเขตแดนของตน ฉะนั้นสิโหนจึงได้รวบรวมประชาชนของท่าน ตั้งค่ายอยู่ที่ยาฮาส และสู้รบกับอิสราเอล
21 และพระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอลทรงมอบสิโหน และประชาชนทั้งหมดของท่านไว้ในมืออิสราเอล เขาก็ พ่ายแพ้ไป อิสราเอลจึงยึดครองแผ่นดินของคนอาโมไรต์ผู้ซึ่งเป็น ชาวเมืองนั้น
22 และเขายึดเขตแดนของคนอาโมไรต์ตั้งแต่แม่น้ำ อารโนนถึงแม่น้ำยับบอก และตั้งแต่ถิ่นทุรกันดารถึงแม่น้ำจอร์แดน
23 ดังนั้นพระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอลจึงขับไล่คน อาโมไรต์ออกเสีย ให้อิสราเอลประชากรของพระองค์เข้ายึดครอง ฝ่ายท่านจะมาถือเอาเป็นกรรมสิทธิ์เช่นนั้นหรือ
24 ท่านไม่ถือกรรมสิทธิ์สิ่งซึ่งพระเคโมช พระเจ้าของท่านมอบให้ท่านยึดครองดอกหรือ พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราขับไล่ผู้ใดไปให้พ้นหน้าเรา เราก็ยึดครองที่ของผู้นั้น
25 ฝ่ายท่านจะดีกว่าบาลาคบุตรสิปโปร์กษัตริย์เมืองโมอับ หรือ ท่านเคยแข่งขันกับอิสราเอลหรือ ท่านเคยต่อสู้กับ เขาทั้งหลายหรือ
26 เมื่ออิสราเอลอาศัยอยู่ในกรุงเฮชโบนและชนบทของกรุงนั้น และในเมืองอาโรเออร์และชนบทของเมืองนั้น และอยู่ในบรรดาหัวเมืองที่ตั้งอยู่ตามฝั่ง แม่น้ำอารโนนถึงสามร้อยปี ทำไมท่านไม่เรียกคืนเสียภายในเวลานั้นเล่า
27 ฉะนี้ข้าพเจ้าจึงมิได้กระทำความผิดต่อท่าน แต่ท่านได้กระทำความผิดต่อข้าพเจ้าในการที่ทำ สงครามกับข้าพเจ้า ขอพระเยโฮวาห์จอมผู้พิพากษาเป็นผู้ทรงพิพากษาระหว่างคนอิสราเอลและคนอัมโมนในวันนี้"
28 แต่กษัตริย์ของคนอัมโมนมิได้เชื่อฟังในคำของเยฟธาห์ ซึ่งท่านส่งไปให้
29 พระวิญญาณของพระเจ้าก็มาสถิตกับเยฟธาห์ ท่านจึงยกผ่านกิเลอาดและมนัสเสห์และผ่านมิสปาห์ แห่งกิเลอาด และจากมิสปาห์แห่งกิเลอาดท่าน ยกผ่านต่อไปถึงที่คนอัมโมน
30 และเยฟธาห์บนต่อพระเจ้าว่า "ถ้าพระองค์ทรงมอบคนอัมโมนไว้ในมือของข้าพระองค์แล้ว
31 ผู้ใดที่ออกมาจากประตูเรือนของข้าพระองค์ เพื่อต้อนรับข้าพระองค์ เมื่อข้าพระองค์มีชัยกลับมาจากคนอัมโมนนั้น ผู้นั้นจะต้องเป็นของของพระเจ้า และข้าพระองค์จะถวายผู้นั้นเป็นเครื่องเผาบูชา"
32 แล้วเยฟธาห์จึงยกข้ามไปสู้รบกับคนอัมโมน และพระเจ้าทรงมอบเขาไว้ในมือของท่าน
33 และท่านได้ประหารเขาจากอาโรเออร์จนถึงที่ใกล้ๆเมืองมินนิทรวมยี่สิบหัวเมือง และไกลไปจนถึงอาเบลครามิม ผู้คนล้มตายมาก คนอัมโมนจึงหมดอำนาจอยู่ใต้คนอิสราเอล
34 แล้วเยฟธาห์ก็กลับมาบ้านที่มิสปาห์ ดูเถิด บุตรีของท่านถือฉาบเต้นโลดออกมาต้อนรับท่าน เธอเป็นบุตรีคนเดียว นอกจากบุตรีคนนี้ท่านไม่มีบุตรชายและบุตรหญิงเลย
35 และเมื่อท่านเห็นเธอแล้ว ท่านก็ฉีกเสื้อผ้าของท่าน กล่าวว่า "โอ ลูกเอ๋ย ให้พ่อแย่แล้ว เพราะเจ้าเป็นเหตุให้พ่อเดือดร้อน มากยิ่ง เพราะพ่อได้อ้าปากบนต่อพระเจ้าไว้ จะคืนคำก็ไม่ได้"
36 เธอจึงพูดกับพ่อว่า "คุณพ่อขาเมื่อคุณพ่อออกปากสัญญากับพระเจ้าไว้อย่างไร ขอคุณพ่อกระทำกับฉันอย่างนั้นเถิด เพราะพระเจ้าได้ทรงแก้แค้นคนอัมโมนศัตรูเพื่อคุณพ่อแล้ว"
37 และเธอพูดกับบิดาของเธอว่า "ขอให้ฉันอย่างนี้เถิด ขอปล่อยฉันไว้สักสองเดือน ฉันจะได้จากบ้านและลงไปบนภูเขา ร้องไห้คร่ำครวญถึงความเป็นพรหมจารีของฉัน ฉันกับเพื่อนๆของฉัน"
38 ท่านจึงตอบว่า "ไปเถิด" และท่านก็ปล่อยเธอไปสองเดือน เธอก็ออกไป เธอและพวกเพื่อนของเธอแล้วร้องไห้คร่ำครวญ ถึงความเป็นพรหมจารีของเธอสองเดือน
39 อยู่มาเมื่อครบสองเดือนแล้ว เธอก็กลับมาหาบิดาของเธอ และท่านก็กระทำกับเธอตามที่ได้บนไว้ เธอยังไม่เคยสมสู่กับชายใดเลย
40 และก็เป็นธรรมเนียมในอิสราเอลที่บุตรสาวชาวอิสราเอล ไปร้องไห้ไว้ทุกข์ให้บุตรีของเยฟธาห์คนกิเลอาดปีละสี่วัน

ผู้วินิจฉัย 12

1 ฝ่ายคนเอฟราอิมถูกเรียกให้จับอาวุธข้ามไปถึงศาโฟน พูดกับเยฟธาห์ว่า "เหตุใดท่านยกข้ามไปรบคนอัมโมน แต่ไม่เรียกเราไปด้วย เราจะจุดไฟเผาเรือนทับท่านเสีย"
2 เยฟธาห์จึงตอบเขาว่า "ข้าพเจ้ากับประชาชนติดการศึกใหญ่กับคนอัมโมน เมื่อข้าพเจ้าเรียกท่านให้ช่วยท่านไม่ได้ช่วยเราให้พ้นมือเขา
3 เมื่อข้าพเจ้าเห็นว่าท่านจะไม่ช่วยข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าก็เสี่ยงชีวิตของข้าพเจ้าข้ามไปรบกับคนอัมโมน และพระเจ้าทรงมอบเขาไว้ในมือของข้าพเจ้า วันนี้ท่านจะขึ้นมาทำศึกกับข้าพเจ้าด้วยเหตุอันใด"
4 เยฟธาห์จึงรวบรวมชาวกิเลอาดสู้รบกับคนเอฟราอิม คนกิเลอาดก็ประหารคนเอฟราอิม เพราะเขากล่าวว่า "เจ้าชาวกิเลอาดเจ้าเป็นคนหลบหนีของชาวเอฟราอิม ท่ามกลางคนเอฟราอิมและมนัสเสห์"
5 ชาวกิเลอาดก็เข้ายึดท่าข้ามแม่น้ำ จอร์แดนไว้ไม่ให้คนเอฟราอิมข้าม เมื่อคนเอฟราอิมที่หลบหนีคนใดมาบอกว่า "ขอให้ข้ามไปทีเถิด" คนกิเลอาดจะถามเขาว่า "เจ้าเป็นคนเอฟราอิมหรือ" เมื่อเขาตอบว่า "เปล่า"
6 เขาจะบอกว่า "จงว่าคำว่าชิบโบเลท" คนนั้นจะว่า "สิบโบเลท" เพราะคนเอฟราอิมออกเสียงคำนี้ไม่ชัด เขาจึงจับคนนั้นและฆ่าเสียที่ท่าข้าม คราวนั้นมีคนเอฟราอิมตายสี่หมื่นสองพันคน
7 เยฟธาห์วินิจฉัยอิสราเอลอยู่หกปีแล้ว เยฟธาห์ชาวกิเลอาดก็สิ้นชีวิตและถูกฝัง ไว้ในหัวเมืองหนึ่งในกิเลอาด
8 ถัดเยฟธาห์มาคืออิบซานแห่งเบธเลเฮมได้วินิจฉัยอิสราเอล
9 ท่านมีบุตรชายสามสิบคน และบุตรีสามสิบคน ท่านให้แต่งงานกับคนนอกเผ่าของท่าน และท่านนำบุตรีสามสิบคนของคนนอกเผ่า มาให้แก่บุตรชายของท่าน ท่านวินิจฉัยอิสราเอลอยู่เจ็ดปี
10 แล้วอิบซานก็สิ้นชีวิตถูกฝังไว้ที่เบธเลเฮม
11 ถัดท่านมา เอโลนคนเศบูลุนวินิจฉัยอิสราเอล และท่านวินิจฉัยอิสราเอลสิบปี
12 แล้วเอโลนคนเศบูลุนก็สิ้นชีวิต และถูกฝังไว้ที่อัยยาโลนในเขตแดนของเผ่าเศบูลุน
13 ถัดท่านมา อับโดนบุตรฮิลเลลชาวปิราโธนวินิจฉัยอิสราเอล
14 ท่านมีบุตรชายสี่สิบคน และหลานชายสามสิบคน ขี่ลาเจ็ดสิบตัว ท่านวินิจฉัยอิสราเอลอยู่แปดปี
15 แล้วอับโดนบุตรฮิลเลลชาว ปิราโธนก็สิ้นชีวิตถูกฝังไว้ที่ ปิราโธนในเขตแดนของเอฟราอิม ในแดนเทือกเขาของคนอามาเลข

ผู้วินิจฉัย 13

1 คนอิสราเอลก็กระทำชั่วในสายพระเนตรพระเจ้าอีก พระเจ้าทรงมอบเขาไว้ในมือของคนฟีลิสเตียสี่สิบปี
2 มีชายคนหนึ่งเป็นชาวโศราห์คนเผ่าดาน ชื่อมาโนอาห์ ภรรยาของท่านเป็นหมันไม่มีบุตรเลย
3 ทูตของพระเจ้ามาปรากฏแก่นางนั้น กล่าวแก่นางว่า "ดูเถิด เจ้าเป็นหมันไม่มีบุตร แต่เจ้าจะตั้งครรภ์คลอดบุตรเป็นชาย
4 เพราะฉะนั้นจงระวัง อย่าดื่มเหล้าองุ่น หรือเมรัย และอย่ารับประทานของมลทิน
5 เพราะนี่แน่ะ เจ้าจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรเป็นชาย อย่าให้มีดโกนถูกศีรษะของเขา เพราะเด็กคนนี้จะเป็นพวกนาศีร์ แด่พระเจ้าตั้งแต่เกิดมา เขาจะเป็นคนเริ่มช่วยกู้คนอิสราเอล ให้พ้นจากเงื้อมมือของคนฟีลิสเตีย"
6 ฝ่ายหญิงนั้นจึงไปบอกสามีว่า "มีบุรุษของพระเจ้ามาหาดิฉัน หน้าตาของท่านเหมือนหน้าตาทูตของพระเจ้าน่ากลัวนัก ดิฉันไม่ได้ถามท่านว่ามาจากไหน และท่านก็ไม่บอกชื่อของท่านแก่ดิฉัน
7 แต่ท่านบอกดิฉันว่า 'ดูเถิด เจ้าจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย ฉะนั้นอย่าดื่มเหล้าองุ่นหรือเมรัย อย่ารับประทานของมลทิน เพราะเด็กนั้นจะเป็นพวกนาศีร์แด่พระเจ้าตั้งแต่เกิดมา จนวันตาย'"
8 แล้วมาโนอาห์ก็วิงวอนพระเจ้าทูลว่า "ข้าแต่พระเจ้า ขอบุรุษของพระเจ้าผู้ซึ่งพระองค์ทรงใช้มานั้น ปรากฏแก่ข้าพระองค์ทั้งสองอีกครั้งหนึ่ง สั่งสอนข้าพระองค์ว่า ข้าพระองค์ควรกระทำอย่างไรแก่เด็กที่จะเกิดมานั้น"
9 และพระเจ้าทรงฟังเสียงของมาโนอาห์ และทูตของ พระเจ้ามาหาหญิงนั้นอีก เมื่อนางนั่งอยู่ในทุ่งนาแต่มาโนอาห์สามีของนาง ไม่ได้อยู่ด้วย
10 นางก็รีบวิ่งไปบอกสามีว่า "ดูเถิด บุรุษผู้ที่ปรากฏแก่ดิฉัน วันนั้นได้มาปรากฏแก่ดิฉันอีก"
11 มาโนอาห์ก็ลุกขึ้นตามภรรยาไป เมื่อมาถึงบุรุษผู้นั้นเขาจึงว่า "ท่านเป็นบุรุษผู้ที่พูดกับผู้หญิงคนนี้หรือ" ผู้นั้นตอบว่า "เราเป็นผู้นั้นแหละ"
12 มาโนอาห์จึงกล่าวว่า "เมื่อเกิดเป็นจริงตามถ้อยคำของท่านแล้ว ชีวิตของเด็กคนนั้นจะเป็นอย่างไร เขาจะกระทำอะไร"
13 และทูตของพระเจ้าบอกแก่มาโนอาห์ว่า "บรรดาสิ่งที่เราได้บอกแก่หญิงแล้วนั้นให้นางระวังให้ดี
14 อย่าให้รับประทานสิ่งใดที่ได้มาจากเถาองุ่น อย่าให้นางดื่มเหล้าองุ่นหรือเมรัย อย่ารับประทานของมลทิน สิ่งใดที่เราบัญชานางไว้ให้นางปฏิบัติตามทุกประการ"
15 มาโนอาห์กล่าวแก่ทูตของพระเจ้าว่า "ขอท่านรออยู่ก่อนข้าพเจ้าทั้งสองจะ ไปเตรียมลูกแพะตัวหนึ่งให้ท่าน"
16 ทูตของพระเจ้าบอกมาโนอาห์ว่า "ถึงเจ้าจะให้เรารอ เราจะไม่รับประทานอาหารของเจ้า แต่ถ้าเจ้าจะจัดเครื่องเผาบูชา เจ้าจงถวายแด่พระเจ้า" (เพราะว่ามาโนอาห์ไม่ทราบว่าท่านผู้นั้นเป็นทูตของพระเจ้า)
17 มาโนอาห์ถามทูตของพระเจ้าว่า "ท่านชื่ออะไร เพื่อเมื่อเป็นจริงตามถ้อยคำของท่าน เราจะได้ให้เกียรติแก่ท่าน"
18 ทูตของพระเจ้าบอกมาโนอาห์ว่า "ถามชื่อเราทำไม ชื่อเราก็มหัศจรรย์อยู่"
19 มาโนอาห์ก็เอาลูกแพะกับ ธัญญบูชามาถวายบูชาบนศิลาแด่พระเจ้า ผู้ทรงกระทำการอัศจรรย์ มาโนอาห์และภรรยาก็มองดู
20 และอยู่มาเมื่อเปลวไฟจากแท่นบูชาพลุ่งขึ้นไปสวรรค์ ทูตของพระเจ้าก็ขึ้นไปตามเปลวไฟแห่งแท่นบูชา ขณะเมื่อมาโนอาห์และภรรยาคอยดูอยู่ และเขาทั้งสองก็ซบหน้าลงถึงดิน
21 ทูตของพระเจ้าไม่ปรากฏแก่มาโนอาห์หรือ แก่ภรรยาของเขาอีกเลย แล้วมาโนอาห์จึงทราบว่าผู้นั้นเป็นทูตของพระเจ้า
22 และมาโนอาห์พูดกับภรรยาของตนว่า "เราคงจะตายเป็นแน่ เพราะเราได้เห็นพระเจ้า"
23 แต่ภรรยาบอกเขาว่า "ถ้าพระเจ้าทรงหมายจะฆ่าเราเสีย พระองค์คงจะไม่รับเครื่องเผาบูชาและธัญญบูชาจากมือของเรา หรือทรงสำแดงสิ่งเหล่านี้แก่เราหรือประกาศเรื่องเช่นนี้แก่ เรา"
24 ผู้หญิงนั้นก็คลอดบุตรชายคนหนึ่งเรียกชื่อว่าแซมสัน เด็กนั้นก็เติบโตขึ้น และพระเจ้าทรงอำนวยพระพรแก่เขา
25 และพระวิญญาณของพระเจ้าก็ทรงเริ่มเร้าใจเขาที่ มาหะเนห์ดานระหว่างโศราห์กับเอชทาโอล

ผู้วินิจฉัย 14

1 แซมสันได้ลงไปยังเมืองทิมนาห์ และได้เห็นผู้หญิงคนฟีลิสเตียคนหนึ่งที่เมืองทิมนาห์
2 แล้วเขาจึงขึ้นมาบอกบิดามารดาของเขาว่า "ฉันเห็นผู้หญิงคนฟีลิสเตียคนหนึ่งที่เมืองทิมนาห์ ไปขอเขาให้เป็นเมียฉันที"
3 แต่บิดาและมารดาของเขากล่าวแก่เขาว่า "จะหาเมียในบรรดาญาติพี่น้องของเจ้า หรือในท่ามกลางชนชาติของเราไม่ได้หรือ เจ้าจึงจะไปรับหญิงจากคนฟีลิสเตียที่ไม่ เข้าสุหนัตมาเป็นเมียของเจ้า" แต่แซมสันกล่าวแก่บิดาว่า "ไปขอหญิงนั้นให้ฉันที เพราะเธอเป็นที่พอใจฉันมาก"
4 บิดามารดาของเขาไม่ทราบว่า เรื่องนี้เป็นมาจากพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงหาช่องโอกาสที่จะต่อสู้พวกฟีลิสเตีย ครั้งนั้นพวกฟีลิสเตียมีอำนาจเหนืออิสราเอล
5 ฝ่ายแซมสันก็ลงไปที่เมืองทิมนาห์กับบิดามารดาของตน แซมสันมาถึงสวนองุ่นของทิมนาห์ ดูเถิด มีสิงห์หนุ่มตัวหนึ่งคำรามเข้าใส่เขา
6 พระวิญญาณของพระเจ้าก็ทรงสถิตกับแซมสันอย่างมาก ท่านจึงฉีกสิงห์ออกอย่างคนฉีกลูกแพะ ทั้งที่ไม่มีอะไรในมือ แต่ท่านมิได้บอกให้บิดาหรือมารดาของ ท่านทราบว่าท่านได้ทำอะไรไป
7 แซมสันก็ลงไปพูดจากับหญิงคนนั้น เธอเป็นที่พอใจแก่แซมสันมาก
8 ต่อมาภายหลังแซมสันก็กลับไปเพื่อรับเธอมา เขาก็แวะไปดูซากสิงห์ และดูเถิด มีผึ้งฝูงหนึ่งทำรังอยู่ในซากสิงห์นั้น มีน้ำผึ้งด้วย
9 แซมสันก็ยื่นมือกวาดเอารวงผึ้งมา เดินรับประทานไปพลาง จนมาถึงบิดามารดา ท่านจึงแบ่งให้บิดามารดารับประทานด้วย แต่ท่านมิได้บอกว่า น้ำผึ้งนั้นมาจากซากสิงห์
10 ฝ่ายบิดาของท่านก็ลงไปหาหญิงคนนั้น และแซมสันจัดการเลี้ยงที่นั่น ดังที่คนหนุ่มๆ เขากระทำกัน
11 และเมื่อประชาชนเห็นท่านแล้ว จึงนำเพื่อนสามสิบคนให้มาอยู่ด้วย
12 แซมสันกล่าวแก่เขาว่า "ให้ข้าพเจ้าทายปริศนาท่านสักข้อหนึ่งเถิด ถ้าทายได้ก่อนจบการเลี้ยงเจ็ดวันนี้ เราจะให้เสื้อป่านสามสิบชุด และเสื้อเที่ยวงานสามสิบชุดด้วย
13 ถ้าท่านทั้งหลายทายไม่ได้ ท่านต้องให้เสื้อป่านสามสิบชุด กับเสื้อเที่ยวงานสามสิบชุดแก่ข้าพเจ้า" เขาก็ตอบท่านว่า "ทายมาเถิด เราจะฟัง"
14 ฝ่ายแซมสันจึงกล่าวแก่เขาว่า "มีของกินได้ ออกมาจากตัวผู้กินเขา มีของหวานออกมาจากตัวที่แข็งแรง" ในสามวันเขาก็ยังแก้ปริศนานี้ไม่ได้
15 พอถึงวันที่เจ็ดเขาจึงไปอ้อนวอนภรรยาของแซมสันว่า "จงลวงสามีของเจ้าให้แก้ปริศนานี้ให้เราฟัง มิฉะนั้นเราจะเอาไฟเผาเจ้ากับบ้านครอบครัวบิดาของเจ้าเสีย เจ้าเชิญเรามาหวังจะทำให้เรายากจนหรือ"
16 ภรรยาของแซมสันไปร้องไห้กับแซมสันว่า "เธอเกลียดฉัน เธอไม่รักฉัน เธอทายปริศนาแก่ชาวเมืองของฉัน และเธอก็ไม่แก้ปริศนาให้ฉันฟัง" แซมสันจึงบอกว่า "ดูเถิด พ่อแม่ของฉัน ฉันยังไม่บอกเลย จะบอกเธออย่างไรได้"
17 เธอร้องไห้กับแซมสันตลอดเจ็ดวันซึ่งเป็นวันเลี้ยงกันนั้น ในวันที่เจ็ดแซมสันก็ต้องแก้ปริศนาให้เธอฟัง เพราะเธอกวนท่านมากนัก และนางก็บอกแก้ปริศนาให้ชาวบ้านของนาง
18 พอวันที่เจ็ดก่อนดวงอาทิตย์ตกชาวเมืองจึงบอกแซมสันว่า "มีอะไรหวานกว่าน้ำผึ้ง มีอะไรแข็งแรงกว่าสิงห์" แซมสันจึงบอกเขาว่า "ถ้าเจ้าไม่เอาแม่โคของเราช่วยไถ เจ้าคงจะแก้ปริศนาของเราไม่ได้"
19 และพระวิญญาณของพระเจ้าก็ทรงสถิตกับแซมสันอย่างมาก ท่านจึงลงไปที่อัชเคโลน ฆ่าชาวเมืองนั้นเสียสามสิบคน ริบเอาข้าวของ และมอบเสื้อเที่ยวงานให้ผู้ที่แก้ปริศนา แล้วให้กลับไปบ้านของบิดาด้วยความโกรธอย่างมาก
20 ส่วนภรรยาของแซมสันนั้น พ่อตาก็ยกให้แก่เพื่อน ซึ่งเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวนั้นเสีย

ผู้วินิจฉัย 15

1 ครั้นล่วงมาหลายวันถึงฤดูเกี่ยวข้าวสาลี แซมสันก็เอาลูกแพะตัวหนึ่งไปเยี่ยมภรรยาพูดว่า "ฉันจะเข้าไปหาภรรยาของฉันที่ในห้อง" แต่พ่อตาไม่ยอมให้เขาเข้าไป
2 พ่อตาจึงว่า "ข้าเข้าใจจริงๆว่าเจ้าเกลียดชังนางเหลือเกิน ข้าจึงยกนางให้แก่เพื่อนของเจ้าไป น้องสาวของนางก็สวยกว่านางมิใช่หรือ ขอจงรับน้องแทนพี่เถิด"
3 แซมสันจึงพูดกับเขาว่า "เราจะทำร้ายคนฟีลิสเตียเสียคราวนี้ ก็เอาโทษเราไม่ได้แล้ว"
4 แซมสันจึงออกไปจับสุนัขจิ้งจอกสามร้อยตัว ผูกหางติดกันเป็นคู่ๆ แล้วเอาคบเพลิงผูกติดไว้ระหว่างหางทุกๆคู่
5 พอจุดคบเพลิงแล้วก็ปล่อยเข้าไปในนา ของคนฟีลิสเตียที่ข้าวยังตั้งรวงอยู่ ไฟก็ไหม้ฟ่อนข้าว และข้าวที่ยังตั้งรวงอยู่นั้น ทั้งสวนมะกอกเทศด้วย
6 คนฟีลิสเตียจึงถามว่า "ใครทำอย่างนี้" เขาตอบว่า "แซมสันบุตรเขยชาวทิมนาห์ เพราะว่าพ่อตาเอาภรรยาของแซมสันยกให้เพื่อนเสีย" ชาวฟีลิสเตียก็ขึ้นมาเผานางกับบิดาของนางเสียด้วยไฟ
7 แซมสันจึงบอกพวกเหล่านั้นว่า "เมื่อเจ้าทั้งหลายทำอย่างนี้ เราปฏิญาณว่า เราจะต้องแก้แค้นเจ้าก่อนแล้วเราจึงจะเลิก"
8 แล้วแซมสันก็ฟันคนเหล่านั้นเสียแหลกทีเดียว จนเขาตายเสียเป็นอันมาก แล้วแซมสันก็เข้าไปอาศัยอยู่ที่ช่องศิลาเอตาม
9 ฝ่ายคนฟีลิสเตียก็ขึ้นไปตั้งค่ายอยู่ในเขตยูดาห์ และกระจายกันเข้าโจมตีเมืองเลฮี
10 พวกคนยูดาห์จึงถามว่า "ท่านทั้งหลายจะขึ้นมารบกับเราทำไม" พวกเหล่านั้นตอบว่า "เราขึ้นมามัดแซมสัน เพื่อจะได้กระทำแก่เขาอย่างที่เขาได้กระทำแก่เรา"
11 คนยูดาห์สามพันคนลงไปที่ช่องศิลาเอตาม และกล่าวแก่แซมสันว่า "ท่านไม่ทราบหรือว่าคนฟีลิสเตียเป็นผู้ครอบครองเรา ท่านได้กระทำอะไรแก่เราเช่นนี้" แซมสันจึงตอบเขาว่า "เขาได้กระทำแก่ข้าพเจ้าอย่างไร ข้าพเจ้าก็ต้องกระทำแก่เขาอย่างนั้น"
12 คนเหล่านั้นจึงพูดกับแซมสันว่า "เราจะลงมามัดท่านเพื่อมอบท่านไว้ในมือของคนฟีลิสเตีย" แซมสันจึงบอกเขาว่า "ขอสาบานให้ซี ว่าพวกท่านเองจะไม่ทำร้ายข้าพเจ้า"
13 เขาทั้งหลายจึงตอบท่านว่า "เราจะไม่ทำร้ายท่าน เราจะมัดท่านมอบไว้ในมือของเขาเท่านั้น เราจะไม่ฆ่าท่านเสีย" เขาจึงเอาเชือกพวนใหญ่สองเส้นมัดแซมสันไว้ และพาขึ้นมาจากศิลานั้น
14 เมื่อเขาไปถึงเลฮีคนฟีลิสเตียก็ร้องอึกทึกมาพบเขา และพระวิญญาณของพระเจ้าก็สิงสถิตกับแซมสันอย่างมาก เชือกพวนที่ผูกแขนของท่านก็เป็นประดุจป่านที่ไหม้ไฟ เครื่องจำจองนั้นก็หลุดออกจากมือ
15 ท่านมาพบกระดูกขาตะไกรลาสดๆ อันหนึ่ง จึงยื่นมือหยิบมา และฆ่าคนเหล่านั้นเสียหนึ่งพันคน
16 แซมสันกล่าวว่า "ด้วยขาตะไกรลา เป็นกองซ้อนกอง ด้วยขาตะไกรลา เราได้ฆ่าคนหนึ่งพันเสีย"
17 อยู่มาเมื่อท่านกล่าวเช่นนั้น แล้วก็โยนกระดูกขาตะไกรลาทิ้งไป เขาจึงเรียกชื่อตำบลนั้นว่า รามาทเลฮี
18 แซมสันกระหายน้ำมาก จึงร้องทุกข์ถึงพระเจ้าว่า "การช่วยกู้อันยิ่งใหญ่พระองค์ประทานให้ สำเร็จด้วยมือผู้รับใช้ของพระองค์ บัดนี้ข้าพระองค์จะตายเพราะอดน้ำอยู่แล้ว และตกอยู่ในมือของผู้ไม่เข้าสุหนัตมิใช่หรือพระเจ้าข้า"
19 พระเจ้าจึงทรงเปิดช่องที่เลฮีให้น้ำไหลออกมาจากที่นั้น ท่านก็ได้ดื่มและจิตวิญญาณก็สดชื่นฟื้นขึ้นอีก เพราะฉะนั้นที่แห่งนั้นจึงเรียกชื่อว่า เอนหักโคร์ อยู่ที่เลฮีจนถึงทุกวันนี้
20 และท่านวินิจฉัยอิสราเอลในสมัยของคนฟีลิสเตียยี่สิบปี

ผู้วินิจฉัย 16

1 แซมสันไปที่เมืองกาซาพบหญิงแพศยา คนหนึ่งก็เข้าไปนอนด้วย
2 มีคนไปบอกชาวกาซาว่า "แซมสันมาที่นี่แล้ว" เขาก็ล้อมที่นั้นไว้และคอยซุ่มที่ประตูเมืองตลอดคืน เขาซุ่มเงียบอยู่คืนยังรุ่ง กล่าวว่า "ให้เรารออยู่จนรุ่งเช้าแล้วเราจะฆ่าเขาเสีย"
3 แต่แซมสันนอนอยู่จนถึงเที่ยงคืน พอถึงเที่ยงคืนท่านก็ลุกขึ้น ยกประตูเมืองรวมทั้งเสาสองต้น พร้อมทั้งดาลประตูใส่บ่าแบกไป ถึงยอดภูเขาซึ่งอยู่ตรงหน้าเมืองเฮโบรน
4 อยู่มาภายหลัง แซมสันไปรักผู้หญิงคนหนึ่งที่หุบเขาเมืองโสเรกชื่อเดลิลาห์
5 เจ้านายฟีลิสเตียก็ขึ้นไปหานางพูดกับนางว่า "จงลวงเขาเพื่อดูว่ากำลังมหาศาลของเขาอยู่ที่ไหน ทำอย่างไรเราจึงจะมีกำลังเหนือเขาเพื่อเรา จะได้มัดเขาให้หมดฤทธิ์ เราทุกคนจะให้เงินเจ้าคนละพันหนึ่งร้อยแผ่น"
6 เดลิลาห์จึงพูดกับแซมสันว่า "ขอบอกดิฉันหน่อยเถอะว่ากำลังมหาศาลของเธออยู่ที่ไหน จะมัดเธอไว้อย่างไร เธอจึงจะหมดฤทธิ์"
7 แซมสันจึงบอกนางว่า "ถ้าเขามัดฉันด้วยสายธนูสดที่ยังไม่แห้งเจ็ดเส้น ฉันจะอ่อนเพลีย เหมือนกับชายอื่นๆ"
8 แล้วเจ้านายฟีลิสเตียก็เอาสายธนูสดที่ยังไม่แห้ง เจ็ดเส้นมาให้นาง นางก็เอามามัดท่านไว้
9 นางจัดคนให้ซุ่มอยู่ที่ห้องชั้นในอีกห้องหนึ่ง นางก็บอกท่านว่า "แซมสันจ๋า คนฟีลิสเตียมาจับเธอแล้ว" แซมสันก็ดึงสายธนูที่มัดนั้นขาดเหมือนเชือกป่านขาด เมื่อได้กลิ่นไฟเรื่องกำลังของเขาจึงยังไม่แจ้ง
10 เดลิลาห์พูดกับแซมสันว่า "ดูเถิด เธอหลอกฉัน และเธอมุสาต่อฉัน บอกฉันหน่อยเถอะว่าจะมัดเธออย่างไรจึงจะอยู่"
11 ท่านก็ตอบนางว่า "ถ้าเอาเชือกใหม่ที่ยังไม่เคยใช้มามัดฉัน ฉันก็จะอ่อนกำลังเหมือนชายอื่น"
12 เดลิลาห์จึงเอาเชือกใหม่มัดท่านไว้แล้วบอกท่านว่า "แซมสันจ๋า คนฟีลิสเตียมาจับท่านแล้ว" และคนซุ่มคอยอยู่ในห้องชั้นในแต่ท่าน ก็ดึงเชือกออกจากแขนเหมือนดึงเส้นด้าย
13 เดลิลาห์พูดกับแซมสันว่า "เธอหลอกฉันเรื่อยมาจนถึงเดี๋ยวนี้ เธอมุสาต่อฉัน บอกฉันเถอะว่า จะมัดเธออย่างไรจึงจะอยู่" ท่านจึงบอกนางว่า "ถ้าเธอเอาผมทั้งเจ็ดแหยมของฉันทอเข้ากับด้ายเส้นยืน กระทกด้วยฟืมให้แน่นแล้วฉันก็จะอ่อนเพลียเหมือนกับชายอื่น"
14 ฉะนั้นเมื่อท่านหลับอยู่ เดลิลาห์จึงเอาผมทั้งเจ็ดแหยมทอเข้ากับด้ายเส้นยืน กระทกด้วยฟืมให้แน่นแล้วนางบอกท่านว่า "แซมสันจ๋า คนฟีลิสเตียมาจับท่านแล้ว" ท่านก็ตื่นขึ้นดึงฟืม หูกและด้ายเส้นยืนไปหมด
15 นางจึงพูดกับแซมสันว่า "เธอพูดได้อย่างไรว่า 'ฉันรักเธอ' เมื่อจิตใจของเธอไม่ได้อยู่กับฉันเลย เธอหลอกฉันสามครั้งแล้ว และเธอมิได้บอกฉันจริงๆว่า กำลังมหาศาลของเธออยู่ที่ไหน"
16 อยู่มาเมื่อนางพูดคาดคั้นท่านวันแล้ววันเล่า และชักชวนท่านอยู่ทุกวัน จิตใจของแซมสันก็เบื่อแทบจะตาย
17 จึงบอกความจริงในใจของท่านแก่นางจนสิ้นว่า "มีดโกนยังไม่เคยถูกศีรษะของฉัน เพราะฉันเป็นพวกนาศีร์แด่พระเจ้าตั้งแต่ คลอดจากครรภ์ของมารดา ถ้าโกนผมฉันเสียกำลังก็จะหมดไปจากฉัน ฉันก็จะอ่อนเพลียเหมือนชายอื่น"
18 เมื่อเดลิลาห์เห็นว่าท่านบอกความ จริงในใจแก่นางจนสิ้นแล้ว นางจึงใช้คนไปเรียกเจ้านายฟีลิสเตียว่า "ขอจงขึ้นมาอีกครั้งเดียว เพราะเขาบอกความจริงในใจแก่ฉันจนสิ้นแล้ว" แล้วเจ้านายฟีลิสเตียก็ขึ้นมาหานางถือเงินมาด้วย
19 นางก็ให้แซมสันนอนอยู่บนตักของนาง แล้วนางก็เรียกชายคนหนึ่งให้มาโกนผมเจ็ด แหยมออกจากศีรษะของท่าน นางก็ตั้งต้นรบกวนแซมสัน กำลังของแซมสันก็หมดไป
20 นางจึงบอกว่า "แซมสันจ๋า คนฟีลิสเตียมาจับท่านแล้ว" ท่านก็ตื่นขึ้นจากหลับบอกว่า "ฉันจะออกไปอย่างครั้งก่อนๆ และสลัดตัวให้หลุดไป" ท่านหาทราบไม่ว่าพระเจ้าได้ทรงละท่านไปเสียแล้ว
21 คนฟีลิสเตียก็มาจับท่านทะลวงตาของท่านเสีย นำท่านลงมาที่กาซา เอาตรวนทองสัมฤทธิ์ล่ามไว้ และให้ท่านโม่แป้งอยู่ที่ในเรือนจำ
22 ตั้งแต่โกนผมแล้ว ผมที่ศีรษะของท่านก็ค่อยๆงอกขึ้นมา
23 ฝ่ายเจ้านายฟีลิสเตียประชุมกัน เพื่อถวายเครื่องสัตวบูชายิ่งใหญ่แก่พระดาโกน พระเจ้าของเขาทั้งหลายและชื่นชมยินดี เพราะเขากล่าวว่า "พระของเราได้มอบแซมสันศัตรูของเราไว้ในมือเราแล้ว"
24 เมื่อประชาชนเห็นแซมสันก็สรรเสริญพระของตนว่า "พระของเราได้มอบศัตรูผู้รังควานแผ่นดินของเราไว้ในมือของเรา และเขาฆ่าพวกเราเสียเป็นอันมาก"
25 เมื่อจิตใจของเขาร่าเริงเต็มที่แล้ว เขาจึงพูดว่า "จงเรียกแซมสันมาเล่นตลกให้เราดู" เขาจึงไปเรียกแซมสันออกมาจากเรือนจำ แซมสันก็มาเล่นตลกต่อหน้าเขา เขาพาท่านมายืนอยู่ระหว่างเสา
26 แซมสันจึงบอกเด็กที่จูงมือตนมาว่า "ขอพาฉันให้ไปคลำเสาที่รองรับตึกนี้อยู่ ฉันจะได้พิงเสานั้น"
27 มีผู้ชายและผู้หญิงอยู่เต็มตึกนั้น เจ้านายฟีลิสเตียก็อยู่ที่นั่นทั้งหมด นอกจากนั้นยังมีชายหญิงประมาณสามพันคนบนหลังคาตึก ดูแซมสันเล่นตลก
28 ฝ่ายแซมสันก็ร้องทูลต่อพระเจ้าว่า "ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงระลึกถึงข้าพระองค์ ขอประทานกำลังแก่ข้าพระองค์ครั้งนี้อีกครั้งเดียว เพื่อข้าพระองค์จะได้แก้แค้นคนฟีลิสเตียเพื่อตาข้างหนึ่งใน สองข้างของข้าพระองค์"
29 แซมสันก็กอดเสากลางสองต้นที่รองรับตึกนั้นไว้ และพักพิงที่เสานั้น มือขวายันเสาต้นหนึ่ง มือซ้ายยันเสาอีกต้นหนึ่ง
30 แซมสันกล่าวว่า "ขอให้ข้าตายกับคนฟีลิสเตียเถิด" แล้วก็โน้มตัวลงด้วยกำลังทั้งสิ้นของตน ตึกนั้นก็พังทับเจ้านาย และประชาชนทุกคนที่อยู่ในนั้น ดังนั้นคนที่ท่านฆ่าตายเมื่อท่านตายนี้ก็มากกว่าคนที่ ท่านฆ่าตายเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่
31 แล้วพี่น้องและครอบครัวบิดาของท่านก็ ลงมารับศพของท่านไปฝังไว้ระหว่างโศราห์กับเอชทาโอล ในที่ฝังศพของมาโนอาห์บิดาของท่าน ท่านได้วินิจฉัยอิสราเอลอยู่ยี่สิบปี

ผู้วินิจฉัย 17

1 มีชายคนหนึ่งเป็นชาวแดนเทือกเขาเอฟราอิม ชื่อมีคาห์
2 เขาพูดกับมารดาของเขาว่า "เงินหนึ่งพันหนึ่งร้อยแผ่น ซึ่งมีคนลักไปจากแม่ และแม่ก็ได้แช่งสาป และพูดเข้าหูฉันนั้น ดูเถิด เงินนั้นอยู่ที่ฉัน ฉันเอาไปเอง" มารดาของเขาจึงพูดว่า "ขอพระเจ้าทรงอำนวยพระพรให้ลูกของแม่เถิด"
3 เขาจึงนำเงินพันหนึ่งร้อยแผ่นนั้นมาคืนให้แก่มารดา และมารดาของเขาพูดว่า "เงินรายนี้แม่ขอถวายแด่พระเจ้าเพื่อลูกให้ทำเป็นรูป แกะสลักและรูปหล่อ แม่จึงคืนให้แก่เจ้า"
4 เมื่อมีคาห์คืนเงินให้แก่มารดาแล้ว มารดาก็นำเงินสองร้อยแผ่นมอบให้กับช่างเงิน ทำเป็นรูปแกะสลักและรูปหล่อ รูปนั้นอยู่ในบ้านของมีคาห์
5 มีคาห์คนนี้มีเรือนพระหลังหนึ่ง เขาทำรูปเอโฟด และรูปพระ และแต่งตั้งให้บุตรคนหนึ่งของเขาเป็นปุโรหิต
6 ในสมัยนั้นยังไม่มีกษัตริย์ในอิสราเอล ทุกคนก็กระทำตามที่ตนเองเห็นชอบ
7 มีชายหนุ่มคนหนึ่งชาวบ้านเบธเลเฮมในยูดาห์ ตระกูลยูดาห์เป็นพวกเลวี อาศัยอยู่ที่นั่น
8 ชายนั้นเดินออกจากบ้านเบธเลเฮมในยูดาห์ เที่ยวหาที่เพื่อพักอาศัย เมื่อเขาเดินทางไปนั้นก็มาถึงแดนเทือกเขา เอฟราอิมถึงบ้านของมีคาห์
9 มีคาห์จึงพูดกับเขาว่า "ท่านมาจากไหน" เขาตอบว่า "ข้าพเจ้าเป็นพวกเลวีชาวบ้านเบธเลเฮมในยูดาห์ ข้าพเจ้าเดินทางเที่ยวหาที่พักอาศัย"
10 มีคาห์จึงกล่าวแก่เขาว่า "จงอยู่กับข้าพเจ้าเถิด เป็นอย่างบิดาและปุโรหิตของข้าพเจ้าก็แล้วกัน ข้าพเจ้าจะจ่ายเงินให้ปีละสิบแผ่น ให้เครื่องแต่งตัวสำรับหนึ่ง และอาหารรับประทานด้วย" เลวีคนนั้นจึงเข้าไป
11 เลวีคนนั้นก็พอใจที่จะอยู่กับชายคนนั้น และชายหนุ่มคนนั้นก็เป็นเหมือนลูกของเขา
12 มีคาห์ก็แต่งตั้งเลวีคนนั้น และชายหนุ่มคนนั้นก็เป็นปุโรหิตของเขา และอยู่ในบ้านของมีคาห์
13 มีคาห์กล่าวว่า "บัดนี้ข้าพเจ้าทราบแล้วว่าพระเจ้าจะทรงให้ข้าพเจ้าอยู่เย็นเป็นสุข เพราะว่าข้าพเจ้ามีเลวีคนหนึ่งเป็นปุโรหิต"

ผู้วินิจฉัย 18
1 ในสมัยนั้นไม่มีกษัตริย์ในอิสราเอล และในสมัยนั้นคนเผ่าดานยังเที่ยวหาที่ดิน อันจะเป็นมรดกของตนเพื่อจะได้พักอาศัย เพราะจนบัดนั้นแล้วมรดกในหมู่คนเผ่าอิสราเอล ยังไม่ตกแก่เขา
2 ดังนั้นคนเผ่าดานจึงส่งคนห้าคน จากจำนวนทั้งหมด เป็นชายฉกรรจ์ในตระกูลของตนมาจากโศราห์ และจากเอชทาโอลไปสอดแนมดูแผ่นดินและตรวจดูแผ่นดินนั้น และเขาทั้งหลายพูดแก่เขาว่า "จงไปตรวจดูแผ่นดินนั้น" เขาก็มาถึงแดนเทือกเขาเอฟราอิม ยังบ้านของมีคาห์และอาศัยอยู่ที่นั่น
3 เมื่อเขาอยู่ใกล้บ้านของมีคาห์ เขาก็จำเสียงเลวีหนุ่มคนนั้นได้ จึงแวะเข้าไปถามว่า "ใครพาท่านมาที่นี่ ท่านทำอะไรในที่นี้ ท่านทำงานอะไรที่นี่"
4 เขาตอบคนเหล่านั้นว่า "มีคาห์ทำแก่ข้าพเจ้า อย่างนี้ อย่างนี้ เขาจ้างข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงเป็นปุโรหิตของเขา"
5 คนเหล่านั้นก็พูดกับเขาว่า "ได้โปรดทูลถามพระเจ้าให้หน่อยเถิด เพื่อเราจะทราบว่าทางที่เราจะออก เดินไปนี้จะสำเร็จหรือไม่" ปุโรหิตนั้นจึงตอบเขาทั้งหลายว่า
6 "จงไปเป็นสุขเถิด หนทางที่ท่านไปจะอยู่ภายในสายพระเนตรของพระเจ้า"
7 ชายทั้งห้าคนก็จากไปถึงเมืองลาอิช เห็นประชาชนที่อยู่ที่เมืองนั้น เห็นชาวเมืองอยู่อย่างสบายตามวิสัยคนไซดอน อย่างสงบไม่หวาดระแวงอะไร ไม่ขาดอะไรซึ่งอยู่ในโลกนี้ เป็นคนมีทรัพย์เขาอยู่ห่างไกลจากคนไซดอน ไม่มีเรื่องเกี่ยวข้องกับคนอื่นเลย
8 เมื่อคนทั้งห้ากลับมาถึงญาติพี่น้องที่โศราห์และเอชทาโอล ญาติพี่น้องจึงถามเขาว่า "เจ้าจะว่าอะไร"
9 เขาตอบว่า "จงลุกขึ้น ให้เราไปรบกับเขาเถิดเพราะเราได้เห็นแผ่นดินนั้นแล้ว และดูเถิด เป็นแผ่นดินดีจริงๆ ท่านทั้งหลายจะไม่ทำอะไรเลยหรืออย่าชักช้าที่ จะไปกันและเข้ายึดครองแผ่นดินนั้น
10 เมื่อท่านทั้งหลายไปแล้วจะพบประชาชนที่ไม่หวาดระแวงอะไร เออ แผ่นดินก็กว้างขวางพระเจ้าทรงมอบไว้ในมือของ ท่านทั้งหลายแล้ว เป็นสถานที่ซึ่งไม่ขาดสิ่งใดที่มีในโลก"
11 คนเผ่าดานหกร้อยคนสรรพด้วย เครื่องอาวุธทำสงครามยกทัพออกจากโศราห์และเอชทาโอล
12 เขาทั้งหลายยกขึ้นไปตั้งค่ายอยู่ที่คีริยาทเยอาริมในยูดาห์ เพราะเหตุนี้เขาจึงเรียกที่นั่นว่า มาหะเนห์ดาน จนถึงทุกวันนี้ ดูเถิด เมืองนี้อยู่ทางทิศตะวันตกของคีริยาทเยอาริม
13 เขาก็ผ่านจากที่นั่นไปยังแดนเทือกเขาเอฟราอิม มาถึงบ้านของมีคาห์
14 แล้วชายทั้งห้าคนที่ไปสอดแนมดูเมืองลาอิช ก็บอกแก่พี่น้องของตนว่า "ท่านทราบไหมว่าในบ้านเหล่านี้มีรูปเอโฟด รูปพระ รูปแกะสลัก และรูปหล่อ ฉะนั้นขอใคร่ครวญว่า ท่านทั้งหลายจะทำประการใด"
15 เขาทั้งหลายก็แวะเข้าบ้านของเลวีหนุ่มคนนั้น คือที่บ้านของมีคาห์ถามดูทุกข์สุขของเขา
16 ฝ่ายคนเผ่าดานทั้งหกร้อยคนถืออาวุธทำสงคราม ยืนอยู่ที่ทางเข้าประตูรั้ว
17 ชายทั้งห้าคนที่ออกไปสอดแนมดูบ้านเมือง ก็เดินเข้าไปนำเอารูปแกะสลัก รูปเอโฟด รูปพระ และรูปหล่อไป ฝ่ายปุโรหิตก็ยืนอยู่ที่ทางเข้าประตูรั้ว กับทหารถืออาวุธทำสงครามหกร้อยคนนั้น
18 เมื่อคนเหล่านี้เข้าไปในบ้านของมีคาห์ นำเอารูปแกะสลัก รูปเอโฟด รูปพระ และรูปหล่อนั้น ปุโรหิตถามเขาว่า "นั่นท่านทำอะไร"
19 คนเหล่านั้นจึงตอบเขาว่า "เงียบๆไว้เอามือปิดปากเสีย มากับเราเถิด มาเป็นบิดา และปุโรหิตของเราจะเป็นปุโรหิตในบ้านของชายคนเดียวดี หรือว่าจะเป็นปุโรหิตของเผ่าหนึ่งและตระกูลหนึ่งในอิสราเอลดี"
20 ใจของปุโรหิตก็ยินดี เขาจึงเอารูปเอโฟด รูปพระ และรูปแกะสลัก เดินไปในหมู่ประชาชน
21 แล้วเขาก็กลับออกเดินไปให้เด็กทั้งฝูงสัตว์ และข้าวของเดินไปข้างหน้า
22 เมื่อไปห่างจากบ้านมีคาห์แล้ว คนที่อยู่ในบ้านใกล้เคียงกับบ้านของมีคาห์ก็ร่วมติดตาม ไปทันคนเผ่าดานเข้า
23 จึงตะโกนเรียกคนเผ่าดานเขาก็หันกลับมา พูดกับมีคาห์ว่า "เป็นอะไรเล่า เจ้าจึงยกคนมามากมายอย่างนี้"
24 เขาตอบว่า "ท่านทั้งหลายนำพระของข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าสร้างขึ้นและนำปุโรหิตออกมาเสีย ข้าพเจ้าจะมีอะไรเหลืออยู่เล่าท่านทั้งหลาย ยังจะมาถามข้าพเจ้าอีกว่า 'เป็นอะไรเล่า'"
25 คนเผ่าดานจึงตอบเขาว่า "อย่าให้เราได้ยินเสียงของเจ้าเลย เกลือกว่าคนขี้โมโหจะเล่นงานเจ้าเข้า เจ้าและครอบครัวของเจ้าก็จะเสียชีวิตเปล่าๆ"
26 ฝ่ายคนเผ่าดานก็เดินต่อไป เมื่อมีคาห์เห็นว่าเขาเหล่านั้นมีกำลังมากกว่า จึงหันกลับเดินทางไปบ้านของตน
27 คนเผ่าดานนำเอาสิ่งที่มีคาห์สร้างขึ้น และนำปุโรหิตซึ่งเป็นของเขามาด้วย ก็เดินทางมาถึงลาอิช มาถึงประชาชนที่อยู่อย่างสงบและไม่หวาดระแวงอะไร จึงประหารคนเหล่านั้น ด้วยคมดาบและเอาไฟเผาเมืองเสีย
28 ไม่มีผู้ใดมาช่วยเหลือ เพราะเขาอยู่ไกลจากเมืองไซดอน และไม่ได้ทำการเกี่ยวข้องกับคนอื่น อยู่ในหุบเขาซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองเบธเรโหบ คนเหล่านั้นก็สร้างเมืองใหม่ และอาศัยอยู่ที่นั่น
29 เขาตั้งชื่อเมืองนั้นว่าดาน ตามชื่อดานบรรพบุรุษของเขา ผู้ซึ่งเกิดกับอิสราเอล แต่ตอนแรกเมืองนั้นชื่อว่าลาอิช
30 คนเผ่าดานก็ตั้งรูปแกะสลักไว้สำหรับตน ส่วนโยนาธานบุตรเกอร์โชน บุตรของโมเสส ทั้งท่านและบรรดาบุตรชายของเขาก็เป็นปุโรหิตให้ แก่คนเผ่าดานจนถึงสมัยที่แผ่นดินตกไปเป็นเชลย
31 เขาได้ตั้งรูปแกะสลักซึ่งมีคาห์ได้ ทำไว้นั้นขึ้นนานตลอดเวลาที่ พระนิเวศของพระเจ้าอยู่ที่ชิโลห์

ผู้วินิจฉัย 19

1 อยู่มาในสมัยนั้น เมื่อไม่มีกษัตริย์ในอิสราเอล มีคนเลวีคนหนึ่งอาศัยอยู่ที่แดนเทือกเขาเอฟราอิม แถบที่ไกลออกไปโน้น เขาได้หญิงคนหนึ่งจากเบธเลเฮมในยูดาห์มาเป็นภรรยาน้อย
2 ภรรยาน้อยนั้นเล่นชู้จึงทิ้งสามีเสียกลับไปอยู่บ้านบิดาของ นางที่เบธเลเฮมในยูดาห์ อยู่ที่นั่นสักสี่เดือน
3 สามีของนางก็ลุกขึ้นไปตามนาง เพื่อไปพูดกับนางด้วยจิตเมตตาและจะพานางกลับ เขาพาคนใช้คนหนึ่งและลาคู่หนึ่งไปด้วย นางพาเขาเข้าในบ้านบิดาของนาง เมื่อบิดาของผู้หญิงเห็นเข้าก็มีความยินดีต้อนรับเขา
4 พ่อตาของเขาคือบิดาของผู้หญิงหน่วงเหนี่ยวเขา และเขาพักอยู่ด้วยสามวัน เขาก็กินและดื่ม และพักนอนอยู่ที่นั่น
5 อยู่มาถึงวันที่สี่เขาทั้งหลายก็ตื่นขึ้นแต่เช้ามืด  และคนนั้นลุกขึ้นจะออกเดิน แต่พ่อของผู้หญิงพูดกับบุตรเขยของเขาว่า "จงรับประทานอาหารอีกสักหน่อยหนึ่งให้ชื่นใจ แล้วภายหลังจึงค่อยออกเดิน"
6 ชายสองคนนั้นก็นั่งลงรับประทานและดื่มด้วยกัน และบิดาของผู้หญิงก็บอกชายนั้นว่า "จงค้างอีกสักคืนเถิด กระทำจิตใจให้เบิกบาน"
7 เมื่อชายคนนั้นลุกขึ้นจะออกเดิน พ่อตาก็ชักชวนไว้ จนเขาต้องพักอยู่ที่นั่นอีก
8 ในวันที่ห้าเขาก็ตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อจะออกเดินทางไป บิดาของหญิงนั้นพูดว่า "ขออยู่ให้ชื่นใจจนเวลาบ่ายเถิด" เขาทั้งสองก็รับประทานอยู่ด้วยกันอีก
9 เมื่อชายคนนั้นและภรรยาน้อยกับคนใช้ลุกขึ้นจะออกเดิน พ่อตาของเขาคือบิดาของผู้หญิงก็บอกเขาว่า "ดูเถิด นี่ก็บ่ายใกล้ค่ำแล้ว ขอค้างอยู่อีกคืนหนึ่งเถิด ดูเถิด จะสิ้นวันอยู่แล้ว พักนอนที่นี่เถิด เพื่อใจของเจ้าจะเบิกบาน พรุ่งนี้เช้าขอเจ้าตื่นแต่เช้าเพื่อออกเดินทาง เจ้าจะได้ไปบ้าน"
10 แต่ชายคนนั้นไม่ยอมค้างอีกคืนหนึ่ง เขาจึงลุกขึ้นออกเดินทางไปจนถึงตรงข้ามกับเมืองเยบุส (คือเยรูซาเล็ม) เขามีลาสองตัวที่มีอาน และภรรยาน้อยก็ไปด้วย
11 เมื่อเขามาใกล้เมืองเยบุสก็บ่ายมากแล้ว คนใช้จึงเรียนนายของเขาว่า "ให้เราแวะเข้าไปพักในเมืองของคนเยบุสเถิด ค้างคืนอยู่ในเมืองนี้แหละ"
12 นายของเขาตอบว่า "เราจะไม่แวะเข้าไปในเมืองของคนต่างด้าว ผู้ที่ไม่ใช่คนอิสราเอล เราจะผ่านไปถึงเมืองกิเบอาห์"
13 เขาจึงบอกคนใช้ว่า "มาเถิด ให้เรารีบเข้าไปใกล้ที่เหล่านี้แห่งหนึ่ง และค้างอยู่ที่กิเบอาห์หรือที่รามาห์"
14 เขาจึงเดินทางผ่านไป เมื่อเขามาใกล้กิเบอาห์ซึ่งเป็นของคนเบนยามิน ดวงอาทิตย์ก็ตกแล้ว
15 เขาจึงแวะเข้าไปจะค้างคืนที่เมืองกิเบอาห์ เขาก็แวะเข้าไปนั่งอยู่ที่ลานเมืองเพราะไม่มี ใครเชิญให้เขาเข้าไปค้างในบ้าน
16 ดูเถิด มีชายแก่คนหนึ่งเข้ามาเมื่อเลิกจากงานนาเป็นเวลาเย็นแล้ว เขาเป็นชาวแดนเทือกเขาเอฟราอิมมาอาศัยอยู่ในเมือง กิเบอาห์ชาวเมืองเป็นคนเบนยามิน
17 เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นเห็นผู้เดินทางคนนั้นนั่งอยู่ที่ลานเมือง ชายแก่คนนั้นก็ถามว่า "ท่านจะไปไหน และมาจากไหน"
18 ชายคนนั้นจึงตอบเขาว่า "เราเดินทางจากเบธเลเฮมในยูดาห์ จะไปที่แดนเทือกเขาเอฟราอิมแถบที่ไกลออกไปโน้น ซึ่งข้าพเจ้ามาจากที่นั่น ข้าพเจ้าไปเบธเลเฮมในยูดาห์มา และข้าพเจ้าจะกลับไปบ้านของข้าพเจ้า ไม่มีใครเชิญข้าพเจ้าเข้าไปพักในบ้าน
19 ฟางและอาหารที่จะเลี้ยงลา พวกเราก็มีพร้อมแล้ว ทั้งอาหารและเหล้าองุ่นที่เลี้ยงตนทั้งเลี้ยงหญิงคนนี้ และชายหนุ่มที่อยู่ด้วยก็มีอยู่แล้ว ไม่ขาดสิ่งใดเลย"
20 ชายแก่คนนั้นจึงพูดว่า "ขอท่านเป็นสุขสบายเถิด ถ้าท่านขาดสิ่งใด ข้าพเจ้าขอเป็นธุระทั้งสิ้น ขอแต่อย่านอนที่ลานเมืองนี้เลย"
21 เขาจึงพาชายคนนั้นเข้าไปในบ้าน เอาอาหารให้ลา ต่างก็ล้างเท้าของตน และรับประทานอาหารและดื่ม
22 เมื่อเขากำลังทำให้จิตใจเบิกบาน ดูเถิด ชาวเมืองนั้นที่เป็นคนอันธพาลมาล้อมเรือนไว้ ทุบประตู ร้องบอกชายแก่ผู้เป็นเจ้าของบ้านว่า "ส่งชายที่เข้ามาอยู่ในบ้านของแกมาให้เราสังวาส"
23 ชายผู้เป็นเจ้าของบ้านก็ออกไปพูดกับเขาว่า "อย่าเลย พี่น้องของข้าพเจ้า ขออย่ากระทำการร้ายเช่นนี้เลย เมื่อชายคนนี้มาอาศัยบ้านของข้าพเจ้าแล้ว ขออย่าทำร้ายเขาเลย
24 ดูเถิด นี่ มีลูกสาวพรหมจารีคนหนึ่งและเมียน้อยของเขา ข้าพเจ้าจะพาออกมาให้ท่านเดี๋ยวนี้ จงข่มขืนหรือทำอะไรแก่เขาตามชอบใจเถิด แต่ขออย่าทำลามกกับชายคนนี้เลย"
25 แต่คนเหล่านั้นไม่ยอมฟังเสียง ชายคนนั้นจึงฉวยภรรยาน้อยของตนผลักนางออกไปให้เขา เขาก็สมสู่ทำทารุณตลอดคืนจนรุ่งเช้า พอรุ่งสางๆ เขาทั้งหลายก็ปล่อยนางไป
26 พอแจ้ง ผู้หญิงนั้นก็กลับมาล้มลงที่ประตูบ้านซึ่งนายของตนพักอยู่ จนสว่างดี
27 รุ่งเช้านายของนางก็ลุกขึ้นเมื่อเปิดประตูบ้าน จะออกเดินทาง ดูเถิด ภรรยาน้อยของเขาก็นอน อยู่ที่ประตูบ้านมือเหยียดออกไปถึงธรณีประตู
28 เขาจึงบอกนางว่า "ลุกขึ้นไปกันเถิด" แต่ก็ไม่มีคำตอบ เขาจึงเอานางขึ้นหลังลา ชายนั้นก็ลุกขึ้นเดินทางไปบ้านของตน
29 เมื่อถึงบ้านแล้ว ก็เอามีดฟันศพนางออกเป็นท่อนๆ สิบสองท่อนด้วยกันส่งไปทั่วเขตแดนอิสราเอล
30 ทุกคนที่เห็นก็พูดว่า "เรื่องอย่างนี้ไม่มีใครเคยเห็นตั้งแต่สมัยคน อิสราเอลออกจากแผ่นดินอียิปต์จนถึงวันนี้ จงตรึกตรองปรึกษากันดูแล้วก็ว่ากันไปเถิด"

ผู้วินิจฉัย 20

1 คนอิสราเอลทั้งหมดตั้งแต่ดานถึงเบเออร์เชบา ทั้งแผ่นดินกิเลอาดก็ออกมา ชุมนุมชนนั้นได้ประชุมกันเป็นใจเดียวกันต่อพระเจ้าที่ เมืองมิสปาห์
2 หัวหน้าประชาชนทั้งสิ้นคือของเผ่าคนอิสราเอลทั้งหมด เข้ามาปรากฏตัวในที่ประชุมแห่งประชากรของพระเจ้า มีทหารราบถือดาบสี่แสนคน
3 (ครั้งนั้นคนเบนยามินได้ยินว่า คนอิสราเอลได้ขึ้นไปยังมิสปาห์) ประชาชนอิสราเอลกล่าวว่า "ขอบอกเรามาว่า เรื่องชั่วร้ายนี้เกิดขึ้นมาอย่างไรกัน"
4 คนเลวีซึ่งเป็นสามีของหญิงผู้ที่ถูกฆ่านั้นกล่าวตอบว่า "ข้าพเจ้าและภรรยาน้อยของข้าพเจ้ามาถึงเมืองกิเบอาห์ ซึ่งเป็นเมืองเบนยามิน เพื่อจะค้างคืนที่นั่น
5 เวลากลางคืนผู้ชายใน เมืองกิเบอาห์ก็ลุกขึ้นล้อมบ้านที่ข้าพเจ้าพักอยู่ เขาหมายจะฆ่าข้าพเจ้าเสีย เขาข่มขืนภรรยาน้อยของข้าพเจ้าจนตาย
6 ข้าพเจ้าจึงนำศพนางมาฟันออกเป็นท่อนๆ ส่งไปทั่วประเทศที่เป็นมรดกของอิสราเอล เพราะเกิดการอนาจารและลามกในอิสราเอลขึ้นแล้ว
7 ดูเถิด ท่านผู้เป็นคนอิสราเอลทั้งหลาย จงให้คำปรึกษาและความเห็นณที่นี่เถิด"
8 ประชาชนทุกคนก็ลุกขึ้นกล่าวเป็นใจเดียวกันว่า "พวกเราจะไม่กลับไปเต็นท์ของเรา เราจะไม่กลับไปเรือนของเรา
9 แต่เราจะกระทำกับกิเบอาห์ดังนี้ เราจะจับฉลากยกขึ้นไปสู้รบกับเขา
10 เราจะเลือกคนอิสราเอลทุกเผ่าคัดเอาร้อยละสิบคน พันละร้อย หมื่นละพันให้ไปหาเสบียงอาหาร มาให้ประชาชน เพื่อเขาทั้งหลายจะตอบสนองความชั่วลามก ซึ่งพวกกิเบอาห์กระทำขึ้นในอิสราเอล เมื่อเขาทั้งหลายมาถึงเมืองกิเบอาห์ของเผ่าเบนยามิน"
11 คนอิสราเอลทั้งปวงก็ร่วมยกไปสู้เมืองนั้นเป็น พรรคพวกใจเดียวกัน
12 เผ่าคนอิสราเอลก็ส่งคนไปทั่วเผ่าคน เบนยามินบอกว่า "ทำไมการชั่วช้านี้จึงเกิดขึ้นมาได้ในหมู่พวกท่าน
13 เหตุฉะนั้นจงมอบชายอันธพาลในเมืองกิเบอาห์ มาให้เราประหารชีวิตเสีย จะได้กำจัดความชั่วเสียจากคนอิสราเอล" แต่คนเบนยามิน ไม่ยอมฟังเสียงคนอิสราเอลพี่น้องของตน
14 คนเบนยามินก็ออกมาจากบรรดาหัวเมืองเข้า ไปสู่กิเบอาห์พร้อมกัน เพื่อยกออกไปกระทำสงครามกับคนอิสราเอล
15 คราวนั้นคนเบนยามินรวมจำนวนทหารถือดาบออกจาก บรรดาหัวเมืองได้สองหมื่นหกพันคน นอกจากชาวเมืองกิเบอาห์ ซึ่งนับทหารที่คัดเลือกแล้วได้เจ็ดร้อยคน
16 ในจำนวนทั้งหมดนี้มีคนที่คัดเลือกแล้วเจ็ดร้อยคน ถนัดมือซ้ายทุกคนเอาสลิงเหวี่ยงก้อนหินให้ถูกเส้นผมได้ ไม่ผิดเลย
17 จำนวนคนอิสราเอลที่ถือดาบ ไม่นับคนเบนยามินได้สี่แสนคนเหล่านี้เป็นทหารทุกคน
18 คนอิสราเอลก็ลุกขึ้นไปยังเมืองเบธเอล และทูลถามพระเจ้าว่า "ผู้ใดในพวกข้าพระองค์ที่จะขึ้นไปสู้รบกับคน เบนยามินก่อน" พระเจ้าตรัสว่า "ให้ยูดาห์ขึ้นไปก่อน"
19 รุ่งเช้าคนอิสราเอลก็ลุกขึ้นตั้งค่ายต่อสู้เมืองกิเบอาห์
20 คนอิสราเอลออกไปสู้รบกับคนเบนยามิน และคนอิสราเอลได้วางพลเรียงรายต่อสู้เขาที่เมืองกิเบอาห์
21 ในวันนั้นคนเบนยามินออกมาจากเมืองกิเบอาห์ ฆ่าฟันคนอิสราเอลล้มตายสองหมื่นสองพันคน
22 แต่คนอิสราเอลยังหนุนใจกันและวางพลเรียงรายในที่ซึ่งเขา วางพลในวันแรก
23 และคนอิสราเอลก็ขึ้นไปร้องไห้ คร่ำครวญต่อพระเจ้าจนถึงเวลาเย็น เขาทั้งหลายทูลถามพระเจ้าว่า "สมควรที่ข้าพระองค์จะเข้าประชิดรบกับคนเบนยามิน พี่น้องของข้าพระองค์หรือไม่" พระเจ้าตรัสว่า "ไปสู้เขาเถิด"
24 คนอิสราเอลจึงยกเข้าประชิดคนเบนยามินในวันที่สอง
25 และในวันที่สองนั้นเบนยามินก็ยกออกไปจากกิเบอาห์ ฆ่าฟันคนอิสราเอลตายอีกหนึ่งหมื่นแปดพันคน ทุกคนเป็นทหารถือดาบ
26 แล้วบรรดาคนอิสราเอลคือกองทัพทั้งหมด ได้ขึ้นไปที่เบธเอลและร้องไห้คร่ำครวญ เขานั่งเฝ้าพระเจ้า และอดอาหารจนเวลาเย็น ถวายเครื่องเผาบูชาและศานติบูชาแด่พระเจ้า
27 คนอิสราเอลจึงทูลถามพระเจ้า (เพราะในสมัยนั้น หีบพันธสัญญาของพระเจ้าอยู่ที่นั่น
28 และฟีเนหัสบุตรเอเลอาซาร์ ผู้เป็นบุตรอาโรน ก็ปรนนิบัติอยู่หน้าหีบนั้นในสมัยนั้น) เขาทูลถามว่า "สมควรที่ข้าพระองค์จะยังยกไปสู้รบกับ เบนยามินพี่น้องของข้าพระองค์อีกครั้งหนึ่ง หรือควรจะหยุดเสีย" และพระเจ้าตรัสว่า "จงยกขึ้นไปเถิด เพราะว่า พรุ่งนี้เราจะมอบเขาไว้ในมือของเจ้า"
29 ดังนั้น อิสราเอลจึงซุ่มคนไว้รอบเมืองกิเบอาห์
30 และประชาชนอิสราเอลก็ขึ้นไปสู้รบ กับคนเบนยามินในวันที่สาม และวางพลไว้ต่อสู้เมืองกิเบอาห์อย่างคราวก่อน
31 คนเบนยามินก็ยกออกมาสู้รบกับประชาชน ถูกลวงให้ห่างออกไปจากตัวเมือง เขาก็เริ่มฆ่าฟันประชาชนอย่างคราวก่อนคือตามถนน ซึ่งสายหนึ่งไปเบธเอล อีกสายหนึ่งไปกิเบอาห์และที่ กลางทุ่งแจ้งอิสราเอลล้มตายประมาณสามสิบคน
32 คนเบนยามินกล่าวกันว่า "เขาแพ้เราอย่างคราวก่อน" แต่คนอิสราเอลว่า "ให้เราถอย นำเขาออกห่างจากเมืองไปถึงถนนหลวง"
33 คนอิสราเอลทั้งหมดก็ลุกออกจาก ที่ของตนเรียงรายเข้าไปที่บาอัลทามาร์ ส่วนคนอิสราเอลที่คอยซุ่มอยู่ก็ออกจาก ที่ของตนใกล้เมืองเกบา
34 มีทหารอิสราเอลที่คัดเลือกแล้วหนึ่งหมื่นคนรุกเข้า เมืองกิเบอาห์ การสงครามกำลังทรหด คนเบนยามินไม่ทราบว่าเหตุร้ายกำลังมาใกล้ตนแล้ว
35 พระเจ้าทรงให้คนเบนยามินพ่ายแพ้คนอิสราเอล ในวันนั้นคนอิสราเอลทำลายคนเบนยามินเสียสอง หมื่นห้าพันหนึ่งร้อยคน ทุกคนเหล่านี้เป็นทหารถือดาบ
36 ดังนั้นเบนยามินจึงเห็นว่า เขาแพ้แล้ว คนอิสราเอลทำเป็นล่าถอยต่อเบนยามิน เพราะเขาวางใจคนที่เขาให้ซุ่มอยู่รอบเมืองกิเบอาห์
37 คนที่ซุ่มอยู่ก็รีบรุกเข้าไปในเมืองกิเบอาห์ ทหารที่ซุ่มอยู่นั้นก็รุกออกมาประหารเมืองนั้นเสียด้วยคมดาบ
38 คนอิสราเอลและคนที่ซุ่มซ่อนอยู่นัดให้อาณัติสัญญาณว่า ถ้าเห็นควันกลุ่มใหญ่พลุ่งขึ้นมาจากในเมือง
39 ก็ให้คนอิสราเอลหันกลับเข้ามารบ ฝ่ายเบนยามินได้เริ่มฆ่าคนอิสราเอลได้สัก สามสิบคนก็พูดว่า "เขาต้องล้มตายต่อหน้าเราอย่างคราวก่อนแน่แล้ว"
40 แต่อาณัติสัญญาณเป็นควันไฟลุกพลุ่งขึ้นมาจากในเมือง คนเบนยามินก็เหลียวหลังมาดู ดูเถิด ทั้งเมืองก็มีควันพลุ่งขึ้นถึงท้องฟ้า
41 คนอิสราเอลก็หันกลับ คนเบนยามินก็ท้อแท้ เพราะเขาเห็นว่าเหตุร้ายมาใกล้เขาแล้ว
42 เขาจึงหันหลังให้คนอิสราเอลหนีเข้าไปทาง ถิ่นทุรกันดาร แต่สงครามติดตามเขาไปอย่างหนัก คนที่ออกมาจากเมืองก็ทำลายเขาที่อยู่ท่ามกลาง
43 เขาทั้งหลายล้อมคนเบนยามิน และขับไล่เขาไปและทันเขาที่ที่เขาหยุดพัก จนไปถึงที่ตรงข้ามเมืองกิเบอาห์ทางตะวันออก
44 คนเบนยามินล้มตายหนึ่งหมื่นแปดพันคน ทุกคนเป็นทแกล้วทหาร
45 เขาก็หันกลับหนีเข้าไปในถิ่นทุรกันดารถึงศิลาริมโมน คนอิสราเอลฆ่าเขาตายตามถนนห้าพันคน และติดตามอย่างกระชั้นชิดไปถึงกิโดม และฆ่าเขาตายสองพันคน
46 คนเบนยามินที่ล้มตายในวันนั้น เป็นทหารถือดาบสองหมื่นห้าพันคนทุกคนเป็นทแกล้วทหาร
47 แต่มีทหารหกร้อยคนหันกลับหนี เข้าไปในถิ่นทุรกันดารถึงศิลาริมโมน และไปอาศัยอยู่ที่ศิลาริมโมนสี่เดือน
48 คนอิสราเอลก็หันกลับไปสู้คนเบนยามินอีก และได้ประหารเขาเสียด้วยคมดาบทั้งชาวเมือง และฝูงสัตว์และบรรดาสิ่งที่เขาเห็น ยิ่งกว่านั้นบรรดาเมืองที่เขาพบเขาก็เอาไฟเผาเสียทั้งหมด

ผู้วินิจฉัย 21

1 ฝ่ายคนอิสราเอลได้ปฏิญาณไว้ที่มิสปาห์ว่า "พวกเราไม่มีใครสักคนเดียวที่ จะให้บุตรีของตนแต่งงานกับคนเบนยามิน"
2 และประชาชนก็มาที่เบธเอล นั่งอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าจนเวลาเย็น เขาทั้งหลายก็ร้องไห้คร่ำครวญหนักหนา
3 เขากล่าวว่า "โอ พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ทำไมเหตุการณ์อย่างนี้จึงเกิดขึ้นในอิสราเอล ซึ่งวันนี้จะมีคนอิสราเอลขาดไปเผ่าหนึ่ง"
4 อยู่มารุ่งขึ้นประชาชนก็ลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ และสร้างแท่นบูชาแท่นหนึ่งถวายเครื่องเผาบูชา และเครื่องศานติบูชา
5 และคนอิสราเอลกล่าวว่า "คนอิสราเอลผู้ใดที่มิได้ขึ้นมาประชุมต่อพระเจ้า" เพราะเขาได้ปฏิญาณไว้แข็งแรงถึงผู้ที่มิได้มาประชุม ต่อพระเจ้าที่มิสปาห์ว่า "ผู้นั้นจะต้องตาย"
6 และประชาชนสงสารเบนยามินน้องของตน กล่าวว่า "วันนี้เผ่าหนึ่งถูกตัดขาดจากอิสราเอลเสียแล้ว
7 เราจะทำอย่างไรเรื่องหาภรรยาให้คนที่ยังเหลืออยู่ ฝ่ายเราก็ได้ปฏิญาณในพระนามพระเจ้าแล้ว ว่าเราจะไม่ยอมยกบุตรีของเราให้เป็นภรรยาของเขา"
8 เขาทั้งหลายถามขึ้นว่า "มีเผ่าใดในอิสราเอลที่มิได้ขึ้นมาเฝ้าพระเจ้าที่มิสปาห์" ดูเถิด ไม่มีคนใดจากยาเบชกิเลอาดมา ประชุมที่ค่ายเลยสักคนเดียว
9 เพราะว่าเมื่อประชาชนรวมกันอยู่นั้น ดูเถิด ไม่มีชาวเมืองยาเบชกิเลอาดอยู่ที่นั่นเลย
10 ดังนั้นชุมนุมชนจึงส่งทหารผู้กล้าหาญที่สุดหนึ่งหมื่นสองพันคน แล้วบัญชาเขาว่า "จงไปฆ่าชาวยาเบชกิเลอาดเสียด้วยคมดาบทั้งผู้หญิงและ พวกเด็กๆ
11 เจ้าทั้งหลายจงกระทำอย่างนี้คือผู้ชายและผู้หญิงทุกคน ที่ได้หลับนอนกับผู้ชายแล้วจึงฆ่าเสียให้หมด"
12 ในหมู่ชาวยาเบชกิเลอาดนั้นเขาพบหญิง พรหมจารีสี่ร้อยคนผู้ที่ยังไม่ได้สมสู่กับผู้ชายเลย เขาจึงพาหญิงเหล่านั้นมาที่ค่ายชิโลห์ซึ่งอยู่ในแผ่นดิน คานาอัน
13 ชุมนุมชนทั้งหมดก็ส่งข่าวไปที่คนเบนยามินซึ่ง อยู่ที่ศิลาริมโมน ประกาศข่าวสงบสุข
14 คนเบนยามินก็กลับมาในคราวนั้น แล้วเขาก็มอบผู้หญิงที่เขาไว้ชีวิตในหมู่ ผู้หญิงแห่งยาเบชกิเลอาด แต่ก็ไม่พอแก่กัน
15 ประชาชนก็สงสารเบนยามิน เพราะว่าพระเจ้าทรงกระทำ ให้เขาจะขาดไปเผ่าหนึ่งจากเผ่าอิสราเอล
16 พวกผู้ใหญ่ของชุมนุมชนนั้นจึงกล่าวว่า "เมื่อพวกผู้หญิงในเบนยามินถูกทำลายเสียหมดเช่นนี้แล้ว เราจะทำอย่างไรเรื่องหาภรรยาให้คนที่ยังเหลืออยู่"
17 เขาทั้งหลายกล่าวว่า "ต้องมีมรดกให้แก่คนเบนยามินที่รอดตาย เพื่อว่าคนเผ่าหนึ่งจะมิได้ลบล้างเสียจากอิสราเอล
18 แต่เราจะยกบุตรีของเราให้เป็นภรรยาเขาก็ไม่ได้" เพราะคนอิสราเอลได้ปฏิญาณไว้ว่า "ผู้ใดให้หญิงแก่เบนยามินเป็นภรรยาขอให้ถูกแช่งสาปเถิด"
19 ดังนั้นเขาจึงกล่าวว่า "ดูเถิด ทุกปีมีเทศกาลถวายพระเจ้าที่ชิโลห์ ซึ่งอยู่เหนือเบธเอล ทางทิศตะวันออกของถนนขึ้นจากเบธเอลถึงเชเคม และอยู่ใต้เลโบนาห์"
20 เขาจึงบัญชาสั่งคนเบนยามินว่า "จงไปซุ่มอยู่ในสวนองุ่น
21 คอยเฝ้าดูอยู่ ถ้าบุตรีชาวชิโลห์ออกมาเต้นรำในพิธีเต้นรำ จงออกมาจากสวนองุ่นฉุดเอาบุตรีชาวชิโลห์ คนละคนไปเป็นภรรยาของตน แล้วให้กลับไปแผ่นดินเบนยามินเสีย
22 ถ้าบิดาหรือพี่น้องของหญิงเหล่านั้น มาร้องทุกข์ต่อเราเราจะบอกเขาว่า 'ขอโปรดยินยอมเพราะเห็นแก่เราเถิด ในเวลาสงคราม เราไม่ได้ผู้หญิงให้พอแก่ทุกคน ทั้งท่านทั้งหลายเองก็ไม่ได้ให้แก่เขา ถ้ามิฉะนั้นบัดนี้พวกท่านก็จะมีโทษ'"
23 คนเบนยามินก็กระทำตามต่างก็ได้ภรรยาไปตามจำนวน คือได้หญิงเต้นรำที่เขาไปฉุดมา เขาก็กลับไปอยู่ในที่ดินมรดกของเขา สร้างเมืองขึ้นใหม่และอาศัยอยู่ในนั้น
24 ครั้งนั้นอิสราเอลก็กลับจากที่นั่นไปยังเผ่าและตระกูลของตน ต่างก็ยกกลับไปสู่ดินแดนมรดกของตน
25 ในสมัยนั้นไม่มีกษัตริย์ในอิสราเอล ต่างก็กระทำตามที่ตนเองเห็นชอบ


 © Copyright 2009. Christian Siam.com